หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 976 มั่วเฟิง มั่วหลิง
“ท่านประมุขเทียนฮวง ข้าคงต้องขอรับตำแหน่งสุดท้ายไปนะขอรับ”
เสียงของมู่เฉินดังก้องมาจากลานประลองดึงดูดสายตาซับซ้อนนับไม่ถ้วน แต่ในเวลานี้ไม่มีใครออกปากหักล้างคำพูดของเขา นั่นเป็นเพราะไม่เพียงแต่การแสดงฝีมือของมู่เฉินที่ทำให้พวกเขาเชื่อสนิทใจ แม้แต่ผู้อาวุโสที่เคยหาข้อผิดพลาดของมู่เฉินก็ยังใบ้กิน
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเอาชนะทั้งฉิงเฉวียนและเจียงย่าด้วยตัวคนเดียวได้จริงๆ
“มู่เฉินมีคุณสมบัติเป็นตัวแทนเผ่าวิหคโลกันตร์ของเราเพื่อเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่…” สมาชิกบางคนในเผ่าก็พยักหน้า จากการแสดงฝีมือของมู่เฉินก่อนหน้า ในเผ่าวิหคโลกันตร์อาจมีเพียงมั่วเฟิงและจิ่วโยวที่ต่อกรกับอีกฝ่ายได้
ที่สำคัญก็คือขุมพลังของมู่เฉินอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น ขณะที่มั่วเฟิงบรรลุขั้นเจ็ดไปแล้ว ส่วนจิ่วโยวก็บรรลุสำเร็จหลังจากรับพลังสืบทอดเมื่อกลับมาที่เผ่า
ดังนั้นถือว่ามู่เฉินมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่มาก ถ้าเขาสามารถก้าวไปอีกในดินแดนเสินโซ่และบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดได้ เขาน่าจะสามารถต่อสู้กับอัจฉริยะทุกคนที่พบในดินแดนเสินโซ่เลยทีเดียว
บนแท่นหินเหล่าผู้อาวุโสมองการพูดคุยของกลุ่มคน พวกเขาก็แลกเปลี่ยนสายตาพร้อมกับเผยรอยยิ้มขมขื่น
เทียนเช่อถอนสายตาออกจากมู่เฉิน ก่อนที่จะมองผู้อาวุโสชุดสีฟ้าอมเขียวที่ทุ่มเถียงกันมาตลอด เขาแย้มยิ้ม “ผู้อาวุโสชิง ตอนนี้เจ้าคงไม่ขัดขวางเจ้าหนุ่มนี่อีกแล้วใช่ไหม?”
ใบหน้าของผู้อาวุโสชิงเป็นสีเขียวสลับสีขาว พักใหญ่กว่าจะพูดว่า “พลังของชายหนุ่มคนนี้ถือว่าดีพอใช้ แต่ยังไงเขาก็เป็นมนุษย์ คงไม่เหมาะที่จะเข้าไปในดินแดนเสินโซ่รึเปล่า?”
“แม้ว่าเขาจะเป็นมนุษย์ แต่เขาก็ได้สร้างพันธะโลหิตกับจิ่วโยว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับเขาที่จะเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่” เทียนเช่อกล่าว
ผู้อาวุโสชิงเถียงไม่ออก เขามองรอยยิ้มครึ่งบึ้งครึ่งยิ้มของเทียนเช่อก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “หวังว่าเขาจะไม่ใช่พวกดาษดื่นเมื่อเข้าไปในดินแดนเสินโซ่นะ”
เทียนเช่อไม่ได้สนใจผู้อาวุโสชิงแต่มองไปที่เทียนฮวงรอการตัดสินใจสุดท้าย
เทียนฮวงฉายสีหน้าสงบเยือกเย็น มือเขาลูบเบาๆ ที่พนักเก้าอี้พูดหลังจากครุ่นคิดครู่สั้นๆ “เผ่าวิหคโลกันตร์ถือสัจจะเสมอ ในเมื่อเจ้าสามารถเอาชนะทั้งเจียงย่าและฉิงเฉวียน ตำแหน่งที่สี่ในการเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่…ก็จะเป็นของเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดนี่ มู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก แม้ว่าดินแดนเสินโซ่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจเขาก็คือการช่วยจิ่วโยวแก้ปัญหาแก่นโลหิตที่ถูกปนเปื้อนเนื่องจากพันธะโลหิตของพวกเขา
แก่นโลหิตของจิ่วโยวมีการปนเปื้อนเนื่องจากเขา ถ้าเขาไม่สามารถช่วยนางกำจัดสิ่งเจือปนออกไปได้ ความรู้สึกผิดคงเกาะกุมใจเขาไปตลอด
“ขอบพระคุณท่านประมุขเทียนฮวง!”
มู่เฉินประสานมือขณะที่ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยมารยาทสูงสุด เขารู้ว่าอย่างน้อยในแง่มุมหนึ่งก็ได้สยบเรื่องแก่นโลหิตของจิ่วโยวที่ถูกปนเปื้อนไปได้ ซึ่งนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเนื่องจากเขาไม่ต้องออกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์และขณะเดียวกันจิ่วโยวก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกระหว่างการไล่ล่าเขากับเผ่าของนาง
เทียนฮวงมองมู่เฉินจากด้านบน ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มบางจางบนใบหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีการแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น “ที่ข้าพอใจที่สุดก็คือเจ้ามาที่นี่ เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียวก็เทียบกับการที่เจ้าเอาชนะเจียงย่าและฉิงเฉวียนไม่ได้”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนฮวง
“หากเจ้าไม่มีความรับผิดชอบในฐานะลูกผู้ชาย รู้เพียงวิธีซุ่มซ่อนตัวอย่างเดียว แม้ว่าจะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เจ้าก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในอนาคตได้”
สายตาของเทียนฮวงลึกล้ำลงขณะที่สำรวจมู่เฉินด้วยความพึงพอใจ “แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยตัดสินใจแทนจิ่วโยว แต่หากเจ้าไม่มาปรากฏตัวที่นี่ตามสัญญา ข้าก็จะทำลายพันธะโลหิตระหว่างพวกเจ้าอย่างแน่นอน ในเวลานั้นไม่ว่าเจ้าจะซุกหัวที่ไหนเผ่าวิหคโลกันตร์ก็จะไล่ล่าจนสุดขอบนรก”
“แต่…โชคดีที่ข้าไม่ต้องใช้วิธีโหดร้ายนี้ ครั้งนี้จิ่วโยวมองคนไม่ผิด”
พูดถึงตอนท้ายเทียนฮวงก็พยักหน้าเบาๆ การยอมรับที่มีต่อมู่เฉินเผยให้เห็นได้ชัดในน้ำเสียง
เหล่าผู้อาวุโสโดยรอบก็จ้องมองมู่เฉินด้วยสายตาอัศจรรย์ หลังจากได้ยินคำพูดของประมุข พวกเขารู้ดีเกี่ยวกับเกณฑ์ตัดสินของประมุข หลายปีที่ผ่านมามีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ไม่กี่คนในเผ่าที่เทียนฮวงจะยอมรับ…
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของประมุข ดูเหมือนว่าเขาจะพึงพอใจมู่เฉินมาก
จิ่วโยวยืนอยู่ด้านข้างบิดาก็มองไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เนื่องจากนางไม่คิดว่าบิดาจะให้การประเมินแบบนี้กับมู่เฉิน นางอดไม่ได้ที่จะลูบหน้าอกตัวเอง โชคดีที่มู่เฉินไม่ได้หนีไปจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างที่นางบอก มิฉะนั้นความอาฆาตพยาบาทของบิดาที่มีบวกกับนิสัยดื้อรั้น คงยากสำหรับเขาที่จะยอมรับมู่เฉินได้อีกครั้ง สำหรับพันธะโลหิตยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมรับ
แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จิ่วโยวก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมู่เฉิน นางพบว่าเขาก็มองมาเช่นกัน เมื่อเขาเห็นความกลัวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในดวงตาของนาง เขาก็ยิ้มให้
ข้อเสนอก่อนหน้าของจิ่วโยว เขาไม่ได้ตำหนินางและก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำ เพราะจุดเริ่มต้นของจิ่วโยวคือหวังดี ทุกอย่างพิจารณาเพื่อเขา เพราะไม่มีใครคิดตั้งแต่แรกว่ามู่เฉินจะได้ตำแหน่งสุดท้ายไปครองจริงๆ โดยฉกมาจากเจียงย่าและฉิงเฉวียน
เทียนฮวงเหมือนไม่ได้สังเกตเห็นการแลกเปลี่ยนสายตาระหว่างมู่เฉินกับจิ่วโยว เขาพูดเสียงเบาว่า “นอกจากนี้ดินแดนเสินโซ่เป็นขุมทรัพย์ของทวีปสัตว์อสูรซึ่งมีโอกาสมากมายเกิดขึ้นภายใน แต่ก็มีอันตรายที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในสมัยโบราณเผ่าปีศาจต่างมิติได้ทำลายดินแดนนี้ ในเวลาเดียวกันก็ทำให้มีรัศมีปีศาจบุกรุกเข้ามา แม้ว่าดินแดนเสินโซ่จะไม่ได้หายไป แต่ก็ยากที่จะบอกได้ว่ามีสิ่งใดบ้างในนั้นที่ได้รับการฟูมฟักโดยรัศมีปีศาจ”
มู่เฉินพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของเทียนฮวง หลังจากที่เดินทางมายังภูมิภาคทางเหนือ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสัมผัสกับรัศมีปีศาจของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าพลังงานที่ไม่ได้อยู่ในมหาพันภพรับมือยากเพียงใด
“แน่นอนว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดของดินแดนเสินโซ่มาจากเหล่าอัจฉริยะของเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรอื่นๆ เพื่อโอกาสเหล่านั้น หลายพันปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามีกองกระดูกมากมายมหาศาลเพียงใดจากเหล่าอัจฉริยะในดินแดนเสินโซ่”
มู่เฉินพยักหน้าอีกครั้ง เขามีประสบการณ์แล้วว่าความแข็งแกร่งของอัจฉริยะเผ่าสัตว์อสูรและเทพอสูรมีรากฐานที่ทรงพลังเพียงใด ดูจากเจียงย่าและฉิงเฉวียนก็ทรงพลังยิ่งกว่าโยวหมิงหรือฟังยี่เสียอีก มิหนำซ้ำทั้งสองคนก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าวิหคโลกันตร์ ดังนั้นจึงสามารถจินตนาการได้ว่าอัจฉริยะจากเผ่าในระดับเดียวกับเผ่าวิหคโลกันตร์จะทรงพลังแค่ไหน
หากเขาต้องการช่วยจิ่วโยวให้ได้รับเลือดศักดิ์สิทธิ์ของวิหคอมตะ ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่โหดร้ายนี้ได้… แต่ไม่ว่าจะยากแค่ไหนเขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด จิ่วโยวช่วยเหลือเขามามากและตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะตอบแทนนางแล้ว
“ในเผ่ายังมีจอมยุทธ์อีกสามคนนอกเหนือจากเจ้าที่จะเข้าสู่ดินแดนเสินโซ่” เทียนฮวงเหลือบมองจิ่วโยวที่อยู่เคียงข้าง “และจิ่วโยวเป็นหนึ่งในนั้น”
“สำหรับอีกสอง เจ้าก็ควรรู้จักกันไว้”
เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว มู่เฉินก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบางเบาในใจ เขารู้ว่าตำแหน่งนี้มีค่าสำหรับเผ่าวิหคโลกันตร์เพียงใด ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นว่าอัจฉริยะอีกสองคนที่ได้รับตำแหน่งเป็นเช่นไร
ฟิ้ว!
เมื่อเทียนฮวงพูดจบ ร่างแสงสองร่างก็ทะยานข้ามขอบฟ้า คนสองคนปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในจัตุรัส พวกเขาโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดต่อเทียนฮวง
มู่เฉินมองไปด้วยความอยากรู้
นี่เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายหนุ่มมีรูปร่างเพรียวบางและสูงโปร่ง เขามีใบหน้าหล่อเหลา แต่สีหน้าเย็นชา ไม่มีการตอบสนองใดๆ ต่อการตรวจสอบของมู่เฉิน ท่าทางไม่แยแสเหมือนหมาป่าเดี่ยวดายที่ทำให้คนอื่นอยากออกห่างไปสักพันลี้
ทว่าถึงจะมีสีหน้าเย็นชา แต่มู่เฉินก็รู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังจากเขา แรงกดดันที่ทำเอาดวงตาอดไม่ได้ที่จะหดเกร็ง
พลังของชายคนนี้เทียบกับผู้บัญชาการซิวหลัวเลยทีเดียว!
เห็นได้ชัดว่าชายที่เย็นชาคนนี้บรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดแล้ว!
ที่ยืนอยู่เคียงข้างเป็นหญิงสาวสวมชุดสีม่วงตัวเล็ก นางมีรูปลักษณ์งดงาม ผมรวบทรงหางม้าและกระจายรัศมีความมีชีวิตชีวาและความเยาว์วัย
เมื่อสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของมู่เฉิน นางก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตรวจสอบมู่เฉินด้วยสายตาเป็นมิตร
“ข้าชื่อมั่วหลิง นี่พี่ชายข้ามั่วเฟิง เมื่อครู่เราพี่น้องได้เห็นการต่อสู้ด้วย เจ้าทรงพลังจริงๆ” มั่วหลิงโบกกำปั้นเบาๆ ต่อหน้ามู่เฉิน เผยเขี้ยวสีขาวมุกขณะที่หัวเราะสดชื่น
“ขอบใจ”
มู่เฉินตอบด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร แต่ในใจค่อนข้างประหลาดใจ มั่วเฟิงทรงพลังจนน่าตกใจ เขาน่าจะเป็นอัจฉริยะคนเดียวที่เทียบได้กับจิ่วโยวในเผ่าวิหคโลกันตร์ แต่มั่วหลิงอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นหกเท่านั้น นางอ่อนแอกว่าเจียงย่าและฉิงเฉวียนเสียอีก ทำไมถึงคว้าตำแหน่งหนึ่งในสี่คนไปได้?
ขณะที่มู่เฉินงุนงงเล็กน้อยในใจ มั่วเฟิงก็กวาดสายตามามองมาที่มู่เฉิน “ในเมื่อเจ้าได้รับตำแหน่งมาแล้ว เราก็เป็นผู้ร่วมเดินทางไปยังดินแดนเสินโซ่ด้วยกัน หวังว่าเราจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเวลานั้น”
แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่เป็นมิตร แต่ความเย็นชาบนใบหน้ายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกที่ไม่กลมกลืนทำเอาคนฟังอึดอัดใจ ทว่ามู่เฉินก็รู้สึกได้ว่ามั่วเฟิงไม่ได้มีอะไรไม่พอใจ นี่คงเป็นลักษณะนิสัยส่วนตัวละมั้ง…
“พี่ชายข้าก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าถือสาเลยนะ” มั่วหลิงกลัวว่ามู่เฉินจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบายให้ฟัง
“ไม่เป็นไรหรอก”
มู่เฉินยิ้มแสดงถึงความเข้าใจ ในการพบกันครั้งแรกเขาค่อนข้างรู้สึกดีกับสองพี่น้อง อย่างน้อยพวกเขาก็เข้ากันได้ง่ายกว่าเจียงย่าและฉิงเฉวียน
บนแท่นหินเมื่อเทียนฮวงเห็นทั้งหมดทำความรู้จักกัน เขาก็พยักหน้าแล้วโบกมือก่อนน้ำเสียงซื่อตรงจะดังก้องไปทั่ว
“มู่เฉิน เจ้าพักอยู่ที่นี่ อีกสิบวันต่อจากนี้ ประตูมิติจะเปิดออก ในเวลานั้นเจ้าทั้งสี่จะเป็นตัวแทนของเผ่าวิหคโลกันตร์มุ่งหน้าสู่ดินแดนเสินโซ่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของประมุข มู่เฉิน มั่วเฟิง มั่วหลิงและจิ่วโยวก็ประสานมือพร้อมเพรียง
“รับทราบ ท่านประมุข!”