ตอนที่ 89 - 2 ครู่หนึ่งนั้น เป็นเพียงความฝันที่ลวงตา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

เฟยหลัวหัวเราะคิกๆ อยากจะเหน็บแนมตอบโต้ ทว่าถูกแววตาดั่งตะขอของนางมองจนในใจเกิดความกริ่งเกรง แบะปากเบนสายตาออกพลางเอ่ยว่า “วาจาโหดเ**้ยมผู้ใดก็เอ่ยได้ เหตุใดข้าต้องโต้เถียงกับคนใกล้ตายเช่นเจ้าด้วย?” นางเหลียวมองรอบด้าน เอ่ยว่า “ใต้เท้าทุกท่าน พวกเราถอยออกไปกันเถิด ก่อนออกไปอย่าลืมปิดประตูและหน้าต่างให้สนิท ด้วยเพราะประเดี๋ยวองค์ราชินีจะทรงร้องโหยหวนน่าอนาถยิ่งนัก ซ้ำยังต้องร้องอยู่สามวันสามคืน เกรงว่าจะรบกวนความสงบของฝ่าบาทหมิงเฉิงกับราชครูเข้า”

 

 

สีหน้าของจิ้งอวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแย้มหวานชื่น

 

 

กงอิ้นหันศีรษะมองหิมะโปรยปรายข้างนอกตั้งแต่แรก ใบหน้าด้านข้างเยือกแข็งดุจน้ำแข็งสลัก

 

 

“ฝ่าบาท!” จื่อหรุ่ยล้มลงใต้เข่านาง ท่าทางกอดเข่าของนางไว้ทำให้นางนึกถึงชุ่ยเจี่ยในนาทีสุดท้าย

 

 

นางก้มตัวลงประคองชุ่ยเจี่ยให้จื่อหรุ่ย กล่าวว่า “ออกไปจากวังเถิด ช่วยข้าฝังร่างของนางไว้นอกวัง จะให้นางอยู่ในสถานที่สกปรกเช่นนี้ไม่ได้”

 

 

จื่อหรุ่ยประคองชุ่ยเจี่ยไว้ทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันจะไปกับพระองค์เพคะ”

 

 

“ไปเถิด” จิ่งเหิงปัวเพียงโบกมือ

 

 

จื่อหรุ่ยกัดฟันแล้วอุ้มชุ่ยเจี่ยไว้ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนโขกศีรษะให้นางสามครั้งแล้วประคองชุ่ยเจี่ยถอยไปข้างหลัง

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นกำปั้นที่กำแน่นของนาง ผุดเผยคราบโลหิตลายพร้อยที่เล็บจิกจนเกิดบาดแผล

 

 

เหล่าขุนนางใหญ่เดินเป็นแถวยาวเหยียดถอยออกไปข้างนอกเช่นกัน เงาร่างสวมหมวกสูงที่ถอยหลังเหล่านั้นท่ามกลางสายลมหิมะ ยืนอยู่กลางลานกว้างดุจศิลาสลักหลากหลายก้อน

 

 

จิ้งอวิ๋นยิ้มแย้มเดินผ่านไป คางเชิดสูงตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้มองนางสักปราดเดียว

 

 

เฟยหลัวอมยิ้มต้อนรับ ในแววตาเปล่งแสงแวววาวแตกต่างจากปกติ

 

 

เฉิงกูมั่วถุยน้ำลายครั้งหนึ่งอย่างเกลียดชัง ก่อนเดินก้าวใหญ่ออกไป

 

 

จ้าวซื่อจื๋อยิ้มอย่างมีเลศนัย มองนางอย่างอาลัยอาวรณ์คราหนึ่ง แล้วเข็นเก้าอี้เข็นออกไปอย่างเงียบเชียบ

 

 

บุตรชายของสมุหพระกลาโหมเฉิงเดินออกไปอย่างยินดีปรีดา

 

 

เสนาพิธีการส่ายหน้า ถูกขุนนางใต้บัญชาประคองออกไปอย่างเงียบกริบ

 

 

เซวียนหยวนจิ้งหัวเราะฮ่าๆ ยกกำปั้นคารวะทางหอคอยสูงของกองเซ่นไหว้แต่ก่อนแล้วเดินออกไป

 

 

จิ่งเหิงปัวมองตามเงาด้านหลังของพวกเขาทีละคน แววตาไล่ตามฝีก้าวผ่อนคลายบ้าง เชื่องช้าบ้างของพวกเขา

 

 

ผู้คนออกไปจนสิ้น สุดท้ายแล้วเหลือเพียงกงอิ้น

 

 

สายตาของจิ่งเหิงปัวค่อยๆ หันไปหาเขา

 

 

แววตาประสานกันอีกครั้ง ต่างคนต่างค้นหาคำตอบท่ามกลางสายตานั้น

 

 

เขายังคงเป็นดั่งทะเลสาบน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ไร้ซึ่งระลอกคลื่น แขนเสื้อห้อยสยาย สงบนิ่งเฉกเช่นแต่ก่อน

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขาเขม็งจากใบหน้าของเขาสู่มือของเขา นิ้วมือของนางสั่นเทาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยเพราะความตึงเครียด

 

 

เฟยหลัวกับจิ้งอวิ๋นที่อยู่ตรงระเบียงทางเดินกำลังจ้องมองเงาด้านหลังของเขา จ้องมองมือของเขาเขม็งเช่นกัน

 

 

แววตาทั้งสองต่างคนต่างคุมเชิงกัน เพียงสนใจการเคลื่อนไหวของคนผู้นั้น

 

 

กงอิ้นขยับเขยื้อนในที่สุด

 

 

เขาค่อยๆ ถอยหลังออกนอกประตูไป

 

 

ในแววตาของจิ้งอวิ๋นกับเฟยหลัวพรั่งพรูด้วยความปีติยินดียิ่งนัก สีหน้าครู่นั้นของจิ่งเหิงปัวขาวซีดดุจหิมะ

 

 

กงอิ้นถอยออกจากธรณีประตู ประตูตำหนักสีแดงเข้มเปิดออกสองฝั่ง ข้างหลังคือหิมะทั่วลานตำหนักกับราชินีองค์ก่อน ข้างหน้าคือจิ่งเหิงปัวที่แข็งทื่อยืนนิ่ง ถูกแสงรุ่งโรจน์มืดสลัวค่อยๆ กลืนกินอย่างเชื่องช้า

 

 

ประตูตำหนักค่อยๆ ปิดลงเบื้องหน้าเขาผสานกับหิมะในคืนนี้ ใบหน้าสงบเงียบตั้งแต่เริ่มแรกของเขา แววตาลึกซึ้งที่ยากจะอธิบายผสานกับสายตาสิ้นหวังในพริบตาหนึ่งของนางเข้าด้วยกัน

 

 

พอประตูปิดลงจะกลายเป็นโลกสองใบ ฟ้ากับดิน ร่างกายกับวิญญาณ รักกับไม่รัก ความคิดถึงกับการลาจาก

 

 

ความมืดมิดใกล้จะมาเยือน

 

 

พลันมีแสงหิมะ!

 

 

แสงหิมะประหนึ่งมวลเมฆ!

 

 

ต้นไม้ที่ปกคลุมด้วยหิมะต้นหนึ่งในลานบ้านพลันกระจายออก พายุหิมะหอบใหญ่ระเบิดออกหลายระลอกทั่วทิศ หิมะเย็นเยือกกระเซ็นทั่วใบหน้าทุกผู้คน ทุกคนรีบเร่งหลับตาลง ท่ามกลางความเลือนรางมองเห็นเพียงเงาแดงสายหนึ่งพุ่งออกมาดั่งสายฟ้าฟาดจากกลางกลุ่มหิมะทั่วท้องฟ้า ครู่นั้นแสงรุ้งสาดส่องทั่วทิศดุจหิมะกำลังลุกไหม้

 

 

เงาโลหิตที่เพิ่งปรากฏนำพาพายุหมุนรุนแรงระลอกหนึ่งมาด้วย พุ่งตรงสู่ข้างล่างบันไดดุจมังกรแดงตัวหนึ่ง ที่ซึ่งเงาโลหิตพาดผ่าน พื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะถูกไถออกมาเป็นร่องลึกดังครืด เกล็ดหิมะจากร่องลึกกระเซ็นทั่วทิศ

 

 

ฉึก เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของจิ้งอวิ๋นกับเฟยหลัว สองคนล้มคว่ำไปทั้งสองฝั่ง ตรงหัวไหล่มีโลหิตสาดกระเซ็น

 

 

แสงกระบี่ไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น พุ่งไปข้างหน้าตรงไปยังสันหลังของกงอิ้น!

 

 

ยามนี้กงอิ้นกำลังใช้สองมือปิดบานประตู สัมผัสได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ พอได้ยินเสียงลมพัดกระหน่ำจึงรู้ว่าหันหน้ากลับไปไม่ทันแล้ว สองมือผลักเพียงครั้งร่างพุ่งไปข้างหน้า ประตูตำหนักเปิดกว้างดังพลั่กเสียงหนึ่ง เรือนร่างของเขาล้มลงข้างล่าง กระบี่บางเล่มหนึ่งตรึงเขาไว้บนพื้น!

 

 

เงาสีแดงนั้นเหยียบแขนของเขาพุ่งเข้าสู่ตำหนักท่ามกลางโลหิตสาดกระเซ็น ถุยน้ำลายครั้งหนึ่งกลางอากาศ เสียงแว่วไปไกลโพ้น

 

 

“ข้าเกลียดคนทรยศที่สุดเลย!”

 

 

พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้าก็มองเห็นเงาแดงพุ่งลงมาอย่างบ้าคลั่ง ผู้มาเยือนคว้าแขนของนางไว้ในครั้งเดียว นิ้วมือดุจดั่งเหล็กกล้า

 

 

“ไปกับข้า!”

 

 

“พี่ต้าปัว!” เสียงร้องแหลมสูงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงของยงเสวี่ย เด็กหญิงน้อยคนนั้นหน้าตาบวมช้ำ กระโจนเข้ามาทั้งกลิ้งทั้งคลาน อุ้มเฟยเฟยกับหมาโง่ที่ไม่รู้โผล่ออกมาจากที่ใด ร้องว่า “เชื่อเขา! ไป!”

 

 

“ขึ้น!” เงาแดงหิ้วจิ่งเหิงปัวขึ้นแล้ววิ่งออกไปข้างนอก

 

 

เมื่อผ่านปากประตูตำหนักจิ่งเหิงปัวก้มหน้าเพียงครั้ง

 

 

มองเห็นกงอิ้นประคองร่างขึ้นจากบนพื้นพอดี เขาเงยหน้ามองนางด้วยแววตาหม่นหมอง

 

 

การก้มมองลงมากับการเงยหน้าขึ้นมอง ความรักและความเกลียดชังที่ยากจะอธิบาย

 

 

ผันผ่านในพริบตาเดียว

 

 

ใบหน้าพลันเหน็บหนาว จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้น รู้สึกเพียงว่าเบื้องหน้ามีแสงผลึกแก้วเจิดจ้า เกล็ดหิมะพุ่งปะทะใบหน้า

 

 

ออกจากตำหนักแล้ว

 

 

แวบหนึ่งมองเห็นยงเสวี่ยที่ล้มลุกคลุกคลานลื่นไถลลงจากข้างบันได มือหนึ่งของนางคว้าแขนของยงเสวี่ยไว้ จากนั้นมองเห็นจื่อหรุ่ยวิ่งเข้ามาประหนึ่งเสียสติ ตะโกนลั่นทันทีว่า “ช่วยข้าพาจื่อหรุ่ยไปด้วย!”

 

 

“แม่งเอ๊ย! เจ้าเรื่องมากจริง เช่นนี้ข้าจักเหาะเหินอย่างไร?” เงาสีแดงก่นด่าออกมา ทว่าเรือนร่างยังคงเหินลงมา ตะโกนลั่นว่า “คว้าข้าไว้!”

 

 

จื่อหรุ่ยกระโดดคว้ามือของเขาไว้ ยามคิดจะอุ้มศพชุ่ยเจี่ยขึ้นมาด้วย เงาแดงได้เหินขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว

 

 

จื่อหรุ่ยตื่นตระหนกหวังจะกระโดดลงไป จิ่งเหิงปัวหลับตาลง ตวาดแผ่วเบาว่า “อย่ากระโดด!”

 

 

จื่อหรุ่ยหยุดดิ้นรนโดยสำนึก จิ่งเหิงปัวหลับตาลง แหงนหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

 

ไม่มองความสับสนวุ่นวายเสียงกรีดร้องข้างล่าง ไม่มองหิมะขาวโพลนเปรอะเปื้อนโลหิตบนลานกว้าง ไม่มองศพของชุ่ยเจี่ยที่ถูกทิ้งไว้ตรงนั้น นอนเดียวดายอยู่บนพื้นหิมะ ดวงตาที่ยังไม่หลับลงคู่หนึ่งมองดูนางอย่างว่างเปล่า

 

 

ท้องนภาวนเวียน ยิ่งห่างไกลออกไป

 

 

คนตายจากไปแล้ว คนอยู่รอดยังต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่

 

 

ข้าสัญญากับเจ้าไว้ว่าจะใช้ชีวิตให้ดี

 

 

น้ำตาหยดหนึ่งบนแก้มเยือกแข็งตั้งแต่ยังไม่ไหลริน ร่วงหล่นจากกลางอากาศ เสียงดุจดั่งดวงใจแหลกสลาย

 

 

เพล้ง!

 

 

 

 

บนศีรษะมีเสียงลมรุนแรง เกล็ดหิมะปะทะเข้ากับทั่วหน้าทั่วศีรษะ คนกลางอากาศมองไม่เห็นทัศนียภาพใด ได้แต่ปลุกเร้าเรี่ยวแรงต่อต้านความหนาวเย็นถึงกระดูกนั้น

 

 

คนชุดแดงมีวรยุทธ์เลิศล้ำทั่วร่าง แม้หิ้วคนมากมายหลายคนประหนึ่งตั๊กแตนเสียบไม้ ทว่ายังคงกระโจนดุจเหาะเหิน ฝีเท้าว่องไวสัมผัสกระเบื้องลื่นไถลบนยอดตำหนักเพียงน้อย ทิ้งพลไล่ล่าไว้ข้างหลัง

 

 

สภาพอากาศวันนี้ช่วยไว้ด้วย ค่ำคืนสายลมหิมะ ความสามารถในการมองเห็นลดถอยยิ่งนัก

 

 

ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบจิ่งเหิงปัวมองเห็นไม่ชัดเจนว่าคนชุดแดงเป็นใคร นางถูกคนคนนั้นโอบไว้ในอ้อมแขน บดบังศีรษะและใบหน้า รู้สึกแค่ว่าไม่ใช่เหยียลี่ว์ฉีและไม่ใช่อีชี

 

 

เรือนร่างของนางพลันสั่นสะท้านเพียงครั้ง หว่างคิ้วผุดเผยความเจ็บปวดจนทำให้จื่อหรุ่ยที่อยู่ข้างกายเอียงศีรษะมองนาง

 

 

“ฝ่าบาท…ฝ่าบาท…” จื่อหรุ่ยพยายามจะเอื้อมมือไปหานาง เอ่ยว่า “พระองค์เสวยยาพิษ…ยาพิษ…”

 

 

“ไม่เป็นไร…” นางหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ชุ่ยเจี่ยมอบยาถอนพิษให้ข้าก่อนสิ้นใจ…เมื่อครู่ข้ากินเข้าไปแล้ว…”

 

 

จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยถอนหายใจออกมายืดยาวพร้อมกันดั่งยกของหนักของจากไหล่

 

 

ในใจนางกระตุกวูบนิดหน่อย ความร้อนเล็กน้อยแผดเผาขึ้นมาท่ามกลางความเย็นยะเยือกทั้งผืน…เมื่อตกทุกข์ได้ยากยังคงมีคนเป็นห่วงความเป็นความตายของนาง ดีเหลือเกิน

 

 

สวรรค์ปฏิบัติต่อนางซับซ้อนเช่นนี้ ทำลายนางจนแตกพ่ายย่อยยับ ทว่ายังจุดแสงตะเกียงไกลโพ้นดวงหนึ่งท่ามกลางสายลมหิมะให้นาง

 

 

เพียงแต่นางยังมีพละกำลังไปแสวงหาแสงริบหรี่นั้นหรือไม่?

 

 

“จะไปที่ใด!” คนชุดแดงจำแนกทิศทางอยู่กลางอากาศ เอ่ยว่า “หาสถานที่ที่องครักษ์น้อยที่สุดแล้วบุกออกไป!”

 

 

“ไปจัตุรัสหวงเฉิง” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างแผ่วเบา รู้สึกว่าเสียงของคนนี้คุ้นหูอยู่บ้าง

 

 

“อะไรนะ?” คนชุดแดงเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าโง่หรือ? ยามนี้จัตุรัสหวงเฉิงมีแต่ศัตรูของเจ้า!”

 

 

พอเขาตกใจจึงไม่ได้ระวังใต้ฝ่าเท้า ไม่รู้ว่าเหยียบสิ่งใดเข้าแล้ว เรือนร่างลื่นไถล ยงเสวี่ยที่อยู่บนหลังถูกสะบัดออกไปแล้ว

 

 

เขารีบเร่งเอื้อมมือคว้าไว้ ยามนี้เองข้างล่างมีเสียง ฟิ้ว! เสียงหนึ่งดังก้อง!

 

 

หลายคนหันหน้ากลับมามองเห็นลูกธนูหนักดอกหนึ่งพุ่งทะลุหิมะออกมา หัวลูกศรสีดำเข้มเสียดสีอากาศดังหวีดหวิว พาให้เศษหิมะเหินว่อนทั่วท้องฟ้า!

 

 

เห็นลูกศรนั้นใกล้จะทะลุร่างยงเสวี่ยแล้วเข้าสู่สันหลังของคนชุดแดง!

 

 

เคร้ง! พลันมีแสงสีดำอีกสายหนึ่งกะพริบวูบ ขัดขวางกลางฟากฟ้า!

 

 

เสียงโลหะกระทบกันสะท้านจนแก้วหูอื้ออึง คล้ายมีประกายไฟกลุ่มหนึ่งกะพริบวูบรำไร วิถีของลูกธนูหนักดอกนั้นเอนเอียง เฉียดผ่านบนศีรษะของยงเสวี่ย

 

 

แสงสีดำที่หยุดยั้งลูกธนูหนักสายนั้นกำลังร่วงหล่นเช่นกัน จิ่งเหิงปัวก้มหน้าพบว่าคือหอกสั้นเล่มหนึ่ง

 

 

นางหันหน้ากลับไป สายลมหิมะมัวสลัว มองไม่เห็นคนยิงธนู ซ้ำยังมองไม่เห็นคนที่ช่วยชีวิตไว้

 

 

ทั้งลูกธนูนี้เอย ทั้งหอกเอย ไม่ใช่อาวุธมาตรฐานที่องครักษ์ในวังใช้กันทั่วไป

 

 

ค่ำคืนสายลมหิมะนี้ ใครกันดักซุ่มบนเส้นทางที่นางต้องผ่าน ซ้ำยังหวังโจมตีนางจนตายในคราวเดียว?

 

 

แล้วใครกันรอคอยอยู่ที่นี่ ขว้างหอกเหินครั้งหนึ่งเพียงเพื่อช่วยชีวิตนาง?

 

 

ใครคือมิตร? ใครคือศัตรู?

 

 

นางซบหน้าลง รู้สึกแค่ว่าอ่อนเพลียอย่างยิ่ง

 

 

“แม่งเอ๊ย! ตกใจหมดเลย!” คนชุดแดงบนศีรษะยังคงเอ่ยเจื้อยแจ้วว่า “อันตราย ต้องรีบไปแล้ว เร่งรีบเสนอความคิดออกมาสิ จะไปจัตุรัสหวงเฉิงจริงหรือ?”

 

 

จิ่งเหิงปัวพยักหน้า

 

 

ยงเสวี่ยกระซิบกระซาบว่า “ฟังพี่ต้าปัวเถิด”

 

 

“เอาเถิด” คนชุดแดงฝืนหัวเราะเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “พอข้าได้พบนางก็เผชิญโชคร้ายมากมาย ข้าไม่ถือสาหรอกหากต้องโชคร้ายอีกสักครั้ง!”

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังออกแล้วว่าเสียงนี้คือเสียงของใคร

 

 

เขาคือเทียนชี่ที่รับรู้เพศผิดพลาดคนนั้น!

 

 

เขาปรากฏตัวในเวลานี้แล้วช่วยนางไว้

 

 

จิ่งเหิงปัวนึกถึงวันนั้นขึ้นมาในทันที ภายในร้านวาดภาพเหมือน นางกล่าวว่า ‘…เจ้าไปปกป้องเขา อย่าให้เขารู้’

 

 

ในใจคล้ายมีโลหิตย้อนทวนพวยพุ่ง ทลายสิบสองลมปราณ นางลิ้มลองรสชาติขมฝาด

 

 

ร้านวาดภาพเหมือนนามว่าครู่นั้น

 

 

หึๆ

 

 

ครู่นั้น