ตอนที่ 89 - 3 ครู่หนึ่งนั้น เป็นเพียงความฝันที่ลวงตา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จัตุรัสหวงเฉิงคือทางออกที่ใกล้ที่สุด เทียนชี่วนไปวนมาหลายครั้ง ก่อนจะมองเห็นฝูงชนมืดมิดบนจัตุรัสแล้ว

 

 

แม้สายลมหิมะรุนแรง คนที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าเหล่านี้ยังคงรอเจ้านายของตนเองอยู่ รอบด้านจุดไฟส่องสว่างแล้ว โคมไฟสีเหลืองอ่อนถูกหิมะผลักกระแทกให้แกว่งไกวอย่างเชื่องช้า ยามที่มองจากที่ไกลคล้ายผีพุ่งไต้หลากหลายดวง

 

 

บนจัตุรัสมีเพียงเทวรูปของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นยังคงยืนตระหง่านนิ่งเงียบ ไม่ถูกกัดกร่อนด้วยสายลมหิมะ ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยสายลมน้ำค้างแข็ง นัยน์ตาหลุบต่ำ ทรงพระเมตตาต่อสถานการณ์ตื้นลึกหนาบางในแดนมนุษย์นี้โดยไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

“เจ้าจะไปจัตุรัสหวงเฉิงจริงหรือ…” เทียนชี่มองดูฝูงชนแล้วเกิดความลังเลขึ้นมา ผู้คนมากมายขนาดนั้นซ้ำยังมีกองทัพด้วย เขาไม่แน่ใจว่าจะพาทุกคนบุกออกไปได้

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่กล่าวอะไรแล้ว จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยก็ไม่เอ่ยวาจาเช่นกัน คล้ายหากต้องสิ้นชีพพร้อมจิ่งเหิงปัวก็ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

 

“เอาเถิดๆ สตรีทั้งฝูงดื้อรั้นไปเสียทุกคน สตรีเป็นเช่นพวกเจ้านี้ทั้งนั้นหรือ?” เทียนชี่กระทืบเท้า ถอนหายใจ เรือนร่างพุ่งไถลไปข้างหน้าผ่านเหนือฝูงชนดุจนกยักษ์สีแดงตัวหนึ่ง

 

 

บนจัตุรัสนั้น คนที่เดินเหินพักผ่อนต้านทานความหนาวเหน็บพลันรู้สึกว่าบนศีรษะเกิดความผิดปกติ พอเงยหน้ามองก็เห็นเงาดำมหึมาฉุดลากแกว่งไกวสายหนึ่ง ทะลุผ่านความมืดมิดและหิมะโปรยปราย ทอดลงตรงกลางจัตุรัสหวงเฉิง

 

 

“เทวรูปจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น…” จิ่งเหิงปัวกระซิบ

 

 

ในเมื่อมาแล้วย่อมไม่มีอะไรให้สงสัยอีก เทียนชี่เหินลงใต้เทวรูปจักรพรรดินีโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

เทวรูปมหึมาบดบังสายลมหิมะส่วนหนึ่งไว้ ซ้ำยังให้ความอบอุ่นเล็กน้อยอีกด้วย บนพื้นแห้งสนิทเช่นกัน

 

 

เทียนชี่เพิ่งลงถึงพื้น หันกายครั้งหนึ่งก็มองเห็นฝูงชนคลาคล่ำที่พุ่งเข้ามา ซ้ำยังมีลูกธนูเปล่งประกายแสงรุ่งโรจน์เย็นยะเยือกข้างหลังฝูงชนด้วย

 

 

ในเวลาเดียวกัน ประตูวังตรงจุดสิ้นสุดจัตุรัสเปิดออกโดยพลัน เหล่าขุนนางที่เข้าวังพุ่งออกมาด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ แม้อยู่ไกลโพ้นยังตะโกนว่า “ล้อมพวกเขาไว้! ล้อมพวกเขาไว้!”

 

 

“ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงเดินมาตกหลุมพรางเอง พอสตรีอกหักก็ไม่มีสติปัญญาหลงเหลืออยู่แล้วหรือ?” เทียนชี่หันหน้ากลับมาฝืนยิ้มให้จิ่งเหิงปัว เอ่ยว่า “ข้าขอเอ่ยไว้ก่อนนะ ข้าช่วยเจ้าเพื่อตอบแทนเจ้า ทว่าไม่ได้คิดจะยอมสิ้นชีพเพื่อเจ้า หากถูกจับได้ ข้าย่อมต้องหนีไปก่อน พวกเจ้ารีบฉวยโอกาสปลิดชีพตนเอง”

 

 

“เจ้าไปเถิด” จิ่งเหิงปัวไม่หวั่นไหว

 

 

“จริงสิ เจ้ามีวิชาตัวเบาพิเศษด้วยมิใช่หรือ?” เทียนชี่พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ ปรบมือเพียงครั้ง เอ่ยว่า “เจ้าเร่งรีบหายตัวไปสิ! พอไม่มีเจ้าเป็นเป้าหมาย ข้าพาพวกนางสองคนออกไปยังพอมีความหวัง”

 

 

“ไม่ต้องรีบ…” จิ่งเหิงปัวจ้องฝั่งตรงข้ามเขม็ง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ฝูงชนก็แยกย้ายเปิดเส้นทางหนึ่ง ประตูวังตรงจุดสิ้นสุดเส้นทางเปิดออก กงอิ้นกำลังควบอาชาค่อยๆ ปรากฏกาย

 

 

อาภรณ์ของเขาเปรอะเปื้อนโลหิต สีหน้ายังคงมองเห็นความขาวซีดที่ทำให้คนตกตะลึงท่ามกลางค่ำคืนมืดมิดห่างไกลคืนนี้

 

 

ยามที่สบตากับจิ่งเหิงปัว เขาลงจากอาชาแล้วยืนนิ่งอย่างเงียบเชียบ อาภรณ์กับหิมะร่วมสะบัดพัดพลิ้ว

 

 

“การหายตัวของข้า…” จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขา กระซิบกระซาบว่า “ต้องเก็บไว้ใช้ในเวลาสำคัญสิ…”

 

 

เรือนร่างของนางโน้มไปข้างหน้ากะทันหัน นางอุดปากไว้ในทันที

 

 

ครู่นั้น ระห่างซอกนิ้วค่อยๆ มีโลหิตสีดำสายหนึ่งไหลรินออกมา

 

 

“ฝ่าบาท!”

 

 

“พี่ต้าปัว!”

 

 

เสียงกรีดร้องของจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยดังอยู่ข้างหู นางอุดปากแน่น ค่อยๆ ยิ้มแย้มอย่างเชื่องช้า

 

 

ยาถอนพิษที่ชุ่ยเจี่ยมอบให้จะมีประโยชน์อะไร?

 

 

ยาถอนพิษถูกกินไปก่อน ยาพิษที่กงอิ้นมอบให้ถูกกินตามไปทีหลัง นั่นไม่สอดคล้องกัน

 

 

เดิมทีนางนึกว่าจะเป็นเพียงการเล่นละคร เดิมทีนางนึกว่าการที่เขาแย่งมอบยาจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่ จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย นางก็ยังรอเขาแอบมอบยาถอนพิษให้นาง

 

 

เมื่อเหล่าขุนนางถอยออกไป นางรอคอยอยู่

 

 

เขาไม่ได้มอบให้

 

 

เมื่อเขาออกจากประตูเป็นคนสุดท้าย นางยังรอคอยอยู่

 

 

เขาไม่ได้มอบให้

 

 

เมื่อเทียนชี่ปรากฏกายพานางหนีไป สองคนเฉียดกายผ่านกัน นางยังรอคอยอยู่

 

 

เขาไม่ได้มอบให้

 

 

ความหวังที่ลุกโชนขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน ก็มอดดับลงนับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน

 

 

เรื่องในอดีตเวียนวนท่ามกลางความวิงเวียน ดุจเกล็ดหิมะในคืนนี้ที่ปลิดปลิวเหินว่อนกลางความทรงจำ

 

 

การเผชิญหน้าครั้งนี้ พบกับเขาที่ไม่เคยทำให้นางผิดหวังคนนั้น

 

 

เงาร่างที่โน้มพุ่งลงมาของเขายามถูกล่อลวงร่วงหน้าผา

 

 

เขาลากฝีเท้ามั่วซั่วของนางไว้ยามเดินเขาลำเนาไพร

 

 

การเสียสละตนเองเพื่อปกป้องนางของเขาในคืนที่มือสังหารเข้าตำหนักลอบทำร้าย

 

 

การเผชิญหน้าอย่างเ**้ยมหาญเบื้องหน้าความโกรธแค้นของเฉิงกูมั่ว

 

 

‘ราชครู! ท่านจะไปช่วยผู้ใด!’

 

 

‘ถอยไป! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้องราชินี!’

 

 

‘ราชครู! จะเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลจริงหรือ!’

 

 

‘ข้าไม่ถืออาวุธ ไม่วางกำลังองครักษ์ เผชิญหน้ากับพวกเจ้า คิดให้ดีว่าจะพุ่งเข้ามาหรือไม่!’

 

 

เขาเยือกแข็งร่างกาย ใช้อาวุธสังหารตนเองเบื้องหน้ารถม้าเพลิงของซังต้ง

 

 

‘กงอิ้น! ข้าจะจุดเพลิงเผารถม้าแล้ว! เจ้ายังไม่ปลิดชีพตนเองอีก!’

 

 

‘ได้! ทว่าข้าต้องมองเห็นราชินีปลอดภัยด้วยตาของข้าเอง!’

 

 

เขาเข้ามาแก้ไขวิกฤตให้นางอย่างสุขุมภายในจวนของจ้าวซื่อจื๋อ

 

 

‘ใต้เท้าจ้าวควรรับภาระหน้าที่มากขึ้นสักหน่อยเพื่อแคว้นเพื่อราษฎร์’

 

 

‘จับมือสังหารได้แล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับราชินี!’

 

 

 

 

หลายครั้งขนาดนั้น มากมายหลายครั้งเพียงนั้น

 

 

เขาไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ระหว่างการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ นางมองเห็นความจงรักภักดีและพละกำลังซึ่งเป็นของบุรุษ ทำให้นางเชื่อใจชิดใกล้อย่างควบคุมตนเองไม่ได้ มอบหัวใจทั้งดวงให้กับเขา

 

 

ทว่าบนกำแพงเมืองครั้งสุดท้ายกลางสายลมหิมะ นางมองเห็นความหนาวสะท้านตรงจุดสิ้นสุดของท้องนภา

 

 

หัวใจถูกกรีดเฉือนซ้ำไปซ้ำมาท่ามกลางความทรมานผ่านผัน เนื้อหนังโลหิตเลือนราง

 

 

เป็นแบบนี้แล้วแต่ยังไม่ได้ละทิ้งความหวัง…นางไม่เชื่อ นางไม่เชื่อว่าเขาจะไร้ความรู้สึกเพียงนี้

 

 

นางไม่เชื่อว่าอาศัยวาจาหลักฐานแค่ไม่กี่ประโยคของจิ้งอวิ๋น เขาจะไม่หลงเหลือโอกาสใดให้นางเลย

 

 

ตอนนั้นที่ซังต้งลักพาตัวนาง เขาปกป้องนางอย่างเ**้ยมหาญที่ตรอกหลิวหลี เขาใช้อาวุธสังหารปลิดชีพตนเองเพียงครั้งที่จัตุรัสหวงเฉิง ทุกเหตุการณ์เด่นชัดอยู่ในสายตา กระบี่หนึ่งนั้นสะบั้นสติปัญญาของนางจนแหลกละเอียด ซ้ำยังสะบั้นความไม่แน่ใจและความลังเลทั้งหมดของนางจนสูญสลาย ในวันนั้นนางรู้ใจตนเองท่ามกลางผลึกน้ำแข็งและโลหิตสาดกระเซ็น ซ้ำนับแต่นั้นยังเชื่อว่าเขารู้สึกแบบเดียวกันกับนางอย่างชัดเจนเช่นกัน

 

 

ทว่าท่ามกลางหิมะโปรยปรายในหวงเฉิง ในอ้อมกอดของเทียนชี่ เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ เมื่ออวัยวะภายในพลันเจ็บปวดดุจถูกเชือดเฉือน ชั่วพริบตาหนึ่งนี้นางดุจร่วงหล่นสู่หุบเหวน้ำแข็ง

 

 

ครู่หนึ่งนั้น นางรับรู้รสชาติความสิ้นหวังในที่สุด

 

 

ไม่ใช่การล่อหลอกศัตรูให้ตายใจ ไม่ใช่การร่วมแสดงละคร ไม่ใช่การใช้ของปลอมแทนของจริง ไม่ใช่การหลอกลวงที่รู้กันทั้งสองฝ่าย

 

 

ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นที่นางนึกไว้และหวังไว้

 

 

ยาเป็นของจริง มันมีพิษ

 

 

นางกลืนโลหิตที่พวยพุ่งลงไปอึกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมามองฝั่งตรงข้าม อาภรณ์ขาวราวหิมะของเขาคนนั้นเปรอะเปื้อนโลหิตเช่นกัน เขากำลังมองมาจากที่ห่างไกล

 

 

ไม่เห็นแววตาผ่านเสี้ยวหิมะ

 

 

ท่ามกลางความเลือนรางยังคงเป็นบนกำแพงเมืองก่อนหน้านี้

 

 

ยามสายลมหิมะเริ่มโปรยปราย

 

 

ครอบครัวของสมุหพระกลาโหมเฉิงหามศพร่วมร้องทุกข์ นางกับเขามองลงมาจากบนกำแพงเมือง

 

 

‘แม้ให้ผู้นำเหล่านี้เข้ามาก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้ ยามสุดท้ายเจ้าอาจจะยิ่งถูกพวกเขาบีบบังคับ’

 

 

‘เช่นนั้นให้พวกเขาเห็น อยากสังหารข้ามิใช่หรือ? เจ้าจงสังหารข้าให้พวกเขาเห็นสิ’

 

 

‘อืม? เจ้าคิดจะทำอย่างไร?’

 

 

‘ใช้วาจาให้ข้าปลิดชีพตนเองหลอกให้พวกเขาเข้ามา หากพวกเขาจะมัดข้าก็มัดไป หากพวกเขาจะลงโทษข้าก็ลงโทษไป เจ้าแสดงเป็นผู้อยู่เบื้องบนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกคนหนึ่งซึ่งยอมเสียสละหญิงคนรักเพื่อแผ่นดิน ฉกฉวยความเชื่อถือของพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน หลังจากนั้นข้ามีวิธีให้พวกเขายอมเลิกเป็นศัตรูกับข้า อย่างน้อยที่สุดยอมเลิกเป็นศัตรูชั่วคราว’

 

 

‘เจ้าแน่ใจว่าเจ้าไหวหรือ?’

 

 

‘ไหวสิ กงอิ้น ข้ารู้ว่าข้าสร้างปัญหามากมายให้เจ้าทว่าข้าถอยหนีไม่ได้ ด้วยเพราะถอยหนีเท่ากับความตาย ต่อให้ตายเพื่อเจ้า ข้าก็ตายไม่ได้ พวกเราร่วมมือกันข้ามผ่านอุปสรรคครั้งนี้ก่อน รักษาคั่งหลงของเจ้าไว้ รักษาตำแหน่งของเจ้าไว้ รักษาชีวิตของข้าไว้ จากนั้นค่อยๆ รับมือพวกเขาทีละคน ขอเพียงเจ้ายังอยู่ในตำแหน่ง ยังควบคุมอำนาจอยู่ ขอเพียงภายหลังข้าตั้งใจอีกสักหน่อย พวกเราร่วมแรงร่วมใจ ไม่มีเหตุผลที่สุดท้ายแล้วจะโค่นล้มพวกเขาไม่ได้ สิ่งที่พวกเราขาดไปคือเวลา’

 

 

‘ใช่…สิ่งที่พวกเราขาดไปคือเวลา’

 

 

‘เช่นนั้นตามนี้แล้วกัน กระทำตามพวกเขาไป เจ้าอย่าลืมแสดงท่าทางเย็นชากับข้าหน่อยนะ’

 

 

‘ข้าเล่นละครไม่เป็น’

 

 

‘ไร้ซึ่งสีหน้าไม่เอ่ยวาจาก็พอแล้ว ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าเล่นละครอาจจะตีบทแตกด้วยซ้ำ แท้จริงแล้วแม้ว่าข้าจะเล่นละครได้ ทว่าจะให้ข้าฟ้องร้องเจ้าอย่างดุเดือดอะไรเช่นนั้น ข้ากลัวว่าข้าจะหลุดหัวเราะ…กงอิ้น พวกเราทำตัวเป็นหนุ่มหล่อสาวงามผู้เงียบสงบคู่หนึ่ง ร่วมเล่นละครครั้งนี้ให้ถึงที่สุดเถิด’

 

 

‘ได้’

 

 

‘เจ้าอย่าได้กระทำเรื่องจริงเชียว อย่าลืมว่าต้องช่วยข้าในเวลาสำคัญนะ’

 

 

‘ได้’