ตอนที่ 89 - 4 ครู่หนึ่งนั้น เป็นเพียงความฝันที่ลวงตา

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

วาจายังคงก้องอยู่ในหู ทว่าถูกพายุหิมะรุนแรงในค่ำคืนนี้พัดพาหายไป 

 

 

แท้จริงแล้ว 

 

 

สิ่งที่เรียกว่าร่วมแสดงละครตบตา เป็นความปรารถนาของนางเพียงฝ่ายเดียว 

 

 

แท้จริงแล้ว สิ่งที่เรียกว่าหัวใจน้ำแข็งเงาวาวทั้งดวง ละลายหายไปได้ในชั่วพริบตาเดียว 

 

 

แท้จริงแล้ว เขาเตรียมกำจัดนางมาตั้งนานแล้ว 

 

 

หรือบางครั้ง หรือตั้งแต่แรกเริ่ม เขายังคิดจะแสดงละครกับนาง แต่เมื่อจิ้งอวิ๋นปรากฏกาย เมื่อนางไม่มีทางอธิบายการแอบซ่อนแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมได้ ยาที่เดิมทีคิดจะใช้เล่นละครเม็ดนั้นจึงกลายเป็นยาพิษของจริง 

 

 

หรือชีวิตนี้หากมีความรักดุจดั่งกล้ำกลืนยาพิษ ยิ่งจริงใจยิ่งลุ่มหลง ยิ่งยินยอมอมยิ้มร่ำสุราพิษกลางแสงเรืองรองผ่องอำไพแห่งภาพมายา 

 

 

ความรักยาวนานไม่เท่าแผ่นดินหมื่นจั้ง 

 

 

‘ฝ่าบาท อนุญาตให้พระองค์หนีได้สามครา’ 

 

 

‘หากกระทำตามเงื่อนไขหลายข้อนี้ได้ ข้าจะอนุญาตให้เจ้ามอบกายมอบใจให้ข้า’ 

 

 

‘หากเจ้าชนะข้า ข้าจะปกป้องเจ้า ยอมถอยให้เจ้าตลอดชั่วชีวิตนี้ของข้า’ 

 

 

‘หากข้ารักนาง จะไม่อาศัยความรักความเกลียดของนางเป็นที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียว’ 

 

 

‘หากข้ารักนาง จะไม่ร้องขอเคียงคู่ชั่วนิรันดร์ในชาตินี้เช่นกัน’ 

 

 

‘ข้าเชื่อว่าขอเพียงพยายามจนถึงที่สุด บนโลกนี้ไม่มีฟากฝั่งที่ไม่อาจไปถึง’ 

 

 

… 

 

 

จะไม่ร้องขอเคียงคู่ชั่วนิรันดร์ในชาตินี้ ร้องขอเพียงแผนภาพร้อยปีม้วนนี้ แผ่นดินหมื่นยุคสมัย จุดสูงสุดแห่งความกระหายอำนาจ ราชกิจแห่งจักรพรรดิดำรงอยู่ 

 

 

พยายามจนถึงที่สุดเพื่ออยู่คนละฟากฝั่งในขณะนี้ 

 

 

นางโง่เขลาเอง อยู่ในตำแหน่งหุ่นเชิดแต่อยากเป็นอิสระ อยู่ในบัลลังก์การเมืองแต่อยากมีความรัก ผ่านผันการต่อสู้นึกว่านั่นเป็นเรื่องของคนอื่นทั้งนั้น เห็นเขาควบคุมสถานการณ์จนเคยชิน แต่นึกว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นข้างกายตนเองเด็ดขาด 

 

 

ยาพิษเม็ดหนึ่งทำร้ายเส้นเอ็นเลือดเนื้อ รักษาโรคปัญญาอ่อนของมนุษย์ 

 

 

หลังจากนี้ไป คงได้สติแล้วสินะ! 

 

 

… 

 

 

บนจัตุรัสเงียบสงัดเหลือเพียงแววตาสองคู่ที่จ้องมองซึ่งกันและกัน สองคนยืนอยู่สองฝั่ง ต่างฝ่ายต่างเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต 

 

 

ทางสัญจรยาวเหยียดปกคลุมด้วยหิมะ นางจำพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จตอนนั้นได้อย่างเลือนราง ครั้งนั้นเป็นทางสัญจรยาวเหยียดแบบนี้เช่นกัน ทว่าเป็นพรมสีแดงสด นางตื่นเต้นประดุจตนเองเป็นเจ้าสาวอยู่ในรถม้า ม่านเกี้ยวพลันขยับเขยื้อน แสงเงาสาดส่องเชื่องช้า มือของเขายื่นเข้ามาอย่างแผ่วเบา 

 

 

พริบตาหนึ่งนั้นนางเกือบจะเข้าใจผิดว่าเขาจะประคองนางขึ้นสู่พรมแดง ก้าวสู่ร้อยปีแห่งการผสานดวงใจ 

 

 

เส้นทางสายนั้นมีพรมแดงทอดยาวไปข้างหน้า ภายในระยะเวลายาวนานเหลือเกินช่วงหนึ่ง นางนึกว่าเป็นฟากฝั่งที่นำพาไปสู่ความสุขและความสำเร็จอย่างแท้จริง 

 

 

ขณะนี้ถึงรู้ว่าความสวยสดงดงามมักเป็นเฉกเช่นโลหิต 

 

 

ชั่วพริบตากาลเวลาผันผ่าน พรมแดงสีโลหิตกลายเป็นพรมสีขาวโพลน เศษหิมะปลิวว่อนดุจมวลผกาแย้มบานอีกฟากฝั่ง 

 

 

คนผู้นั้นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เลือนรางจนจำแนกดวงพักตร์ไม่ได้ 

 

 

นางพลันเงยหน้าขึ้น เงาร่างกะพริบวูบ 

 

 

พริบตาหนึ่งนี้ เสียงร้องอุทานในจัตุรัสดุจกระแสคลื่น พัดพาหิมะหยุดนิ่งกลางอากาศไม่ยอมร่วงหล่น 

 

 

พริบตาต่อมา เงาร่างปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากงอิ้นดุจภูตพราย 

 

 

ในขณะเดียวกัน กริชเล่มหนึ่งจมลงสู่หน้าอกของเขาอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ 

 

 

ฟ้าดินเยือกแข็งในพริบตาเดียว 

 

 

เหลือเพียงหิมะตกดังซ่า ครอบคลุมแผ่นนภาผืนปฐพี ปกคลุมทั่วไหล่ของเขาและมือที่เปื้อนโลหิตของนาง 

 

 

เขาไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อย หลุบตาลงอย่างเชื่องช้าคล้ายกำลังมองบาดแผลของตนเอง และคล้ายไม่กล้าเชื่อสายตา และคล้ายเพียงไม่อยากมองดูนาง 

 

 

นางไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยเช่นกัน มองกริชนั้นจมลงเชื่องช้า หลังจากเปื้อนโลหิตของชุ่ยเจี่ยแล้วชุ่มโชกไปด้วยโลหิตของเขา 

 

 

“กงอิ้น” ผ่านไปเนิ่นนานนางถึงปริปาก เสียงเย็นชาเงียบสงบคล้ายแว่วมาจากขั้วโลกห่างไกลดังว่า “ขอบคุณเจ้าที่สอนให้ข้าไร้ความรู้สึก” 

 

 

อวัยวะภายในพลันเจ็บปวด โลหิตสีดำอึกหนึ่งพุ่งพรวดหลั่งรินลงมาตามด้ามมีดสีแดงสด มือของนางอ่อนยวบ ผลักกริชเข้าไปไม่ได้อีกแล้ว 

 

 

โลหิตพิษหยดลงบนสาบเสื้อของเขา เขาเงยหน้ามองนางโดยพลัน 

 

 

ทว่านางเบนสายตาออกไปแล้ว ถอนใจเสียงหนึ่ง ชักกริชออกอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ 

 

 

โลหิตเหินกระเซ็น ดุจดอกท้อปีนั้นที่ผลิบานกิ่งก้านสวยสดงดงามทั่วฟ้าทั่วดิน ทว่าผลิบานผิดฤดูกาล 

 

 

โลหิตกลางหิมะนี้ 

 

 

โลหิตกลางหิมะกลุ่มหนึ่งนี้ 

 

 

ใช้พละกำลังจนหมดสิ้น เขากับนางล้มลงไปข้างหลังพร้อมกัน 

 

 

ต่างคนต่างแยกทาง 

 

 

พริบตาสุดท้ายนางฝืนหันหลังกลับ เรือนร่างกะพริบวูบ 

 

 

ร่างข้ามผ่านความว่างเปล่าในครู่นั้น เรื่องราวและความคิดหลงเหลืออยู่บนพื้นหิมะในค่ำคืนนี้ 

 

 

‘กงอิ้น! ข้าชอบเจ้าตั้งนานแล้ว! ชอบยิ่งนักชอบเหลือเกิน! ข้าอยากจะอยู่ด้วยกันกับเจ้า! มนุษย์จะชราจะสิ้นชีพ เวลาจะผันผ่านจะกลายเป็นอดีต ทว่าผืนดินไม่เน่าเปื่อย สายน้ำไม่เน่าเปื่อย สะพานศิลาไม่เน่าเปื่อย ต้นไม้ไม่เน่าเปื่อย! วันนี้วาจาที่ข้าเอ่ย ภูเขาสายน้ำแม่น้ำลำธาร ผืนดินพืชพรรณ ท้องนภาพสุธาสุริยันจันทรา เทพยดาฟ้าดิน พวกเจ้าเป็นพยาน!’ 

 

 

‘กงอิ้น กงอิ้น พวกเราปรับปรุงต้าฮวงโฉมใหม่ด้วยกันดีหรือไม่? พวกเราก่อสร้างฟ้าดินแห่งใหม่ด้วยกันสักแห่งดีหรือไม่? พวกเราเป็นราชินีกับราชครูคู่หนึ่งที่มีความสุขที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวงดีหรือไม่? ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ ข้าก็ทำได้ ทว่าข้าเพียงอยากจะกระทำเรื่องเหล่านี้ด้วยกันกับเจ้า พวกเรากระทำด้วยกันดีหรือไม่?’ 

 

 

ดีหรือไม่? 

 

 

ดีหรือไม่? 

 

 

ดี…หรือไม่ 

 

 

… 

 

 

พอกะพริบวูบอีกครั้ง นางยังคงกลับมาใต้เทวรูปจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น เงยหน้ามองพระเนตรสองข้างของจักรพรรดินีอย่างเงียบสงบ เดินไปหลายก้าวแล้วยืนนิ่ง 

 

 

รอบกายมีเสียงร้องเสียงสับสนอลหม่าน หลังจากฝูงชนตกตะลึงอย่างลึกซึ้งแล้วจึงรู้สึกตัวขึ้นมาในที่สุด พุ่งเข้ามาปานกระแสธาร 

 

 

“พวกเจ้าไปเถิด” นางกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ลาก่อน” 

 

 

“ฝ่าบาท!” จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยวิ่งเข้ามา 

 

 

นางยืนนิ่งอยู่ใต้รูปปั้นไม่ขยับเขยื้อน แขนเสื้อกวัดแกว่งเพียงครั้ง ผลักเทียนชี่ข้างกายที่หวังลากนางหนีไปด้วยกันออกไป 

 

 

เทียนชี่โซเซครั้งหนึ่ง ชนเข้ากับจื่อหรุ่ยและยงเสวี่ยพอดี ร่างยังไม่ทันยืนนิ่ง แขนเสื้อของจิ่งเหิงปัวก็โบกสะบัดต่อเนื่อง เศษหิมะรอบด้านพลันกลายเป็นกลุ่มก้อน เขวี้ยงมาอย่างรุนแรงทั่วศีรษะทั่วใบหน้าของเขาระลอกหนึ่ง เทียนชี่ถูกเขวี้ยงด้วยหิมะจนถอยหลังอย่างต่อเนื่อง ห่างไกลจากนางมากยิ่งขึ้น 

 

 

เทียนชี่ยังหวังวิ่งเข้ามา พลันมีคนตะโกนลั่นว่า “ยิงธนู!” 

 

 

ไกลออกไปมีคนตะโกนลั่นรำไรว่า “หยุดนะ!” 

 

 

กงอิ้นที่อยู่ไกลออกไปยิ่งกว่าถูกประคองขึ้นจากพื้นหิมะ ดิ้นรนหวังหลุดพ้นจากมือที่ประคองอยู่ 

 

 

หวึ่ง! ลูกศรเหินพุ่งออกไป แหวกทะลุสายลมหิมะ 

 

 

พวกเทียนชี่อยู่กลางอากาศพอดี ไร้สถานที่ให้หลบซ่อน 

 

 

เพียะ! จิ่งเหิงปัวสะบัดแสงขาวผืนหนึ่งออกจากกลางแขนเสื้อทันที 

 

 

แสงขาวมองจากที่ไกลเป็นเพียงกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่ง พอเหินพุ่งสู่กลางท้องฟ้าพลันระเบิดแสงรุ่งโรจน์ออกมาครั้งใหญ่ ผุดเผยแผนภาพแสงสีเขียวอ่อนรูปพัดขนาดมหึมาอยู่กลางอากาศ กลางแสงสว่างมีลวดลายรำไร เพียงแต่มองเห็นไม่ชัดเจนชั่วขณะท่ามกลางหิมะตก ได้ยินเพียงเสียงหวึ่งๆ แผ่วเบาดังต่อเนื่อง ธนูที่ยิงไปทางพวกเทียนชี่ถูกแสงเขียวขวางไว้ในพริบตา 

 

 

ในเวลาเดียวกันตรงขอบฟ้ามีเงาคนเจ็ดสายลอยลงมาหิ้วพวกเทียนชี่ไว้ เจ็ดคนนั้นยังจะพุ่งทะลุฉากกำบังแสงสีเขียวไปคว้าจิ่งเหิงปัวที่อยู่ตรงฉากแสงสีเขียว คนนำหน้าคนหนึ่งเอื้อมมือออกไปแล้วพลันร้องประหลาดเสียงหนึ่งว่า “เจ็บโว้ย!” 

 

 

แสงเรืองสว่างเจิดจ้า สะท้อนเงาร่างจิ่งเหิงปัวจนกระเพื่อมเล็กน้อยดุจอยู่กลางคลื่นน้ำ ส่วนรูปโฉมดั่งหิมะ สองเนตรดำขลับดุจชั่วรัตติกาล 

 

 

“ไม่ต้องแล้ว ขอบคุณที่สุดท้ายแล้วพวกเจ้ายังอยู่” 

 

 

ทุกผู้คนอ่านริมฝีปากในพริบตาหนึ่งนั้น 

 

 

จากนั้นจึงเห็นสตรีนางนั้นยกมือขึ้นชี้เพียงครั้งพลันมีเสียงดังปังเสียงหนึ่ง กลางพระเนตรหลุบต่ำบนเศียรของเทวรูปจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นพลันมีแสงสีดำสองผืนพุ่งออกมา แสงสีดำพุ่งกระทบพื้นใต้ฝ่าเท้าของจิ่งเหิงปัวพอดี ห่างจากปลายเท้านางเพียงเล็กน้อย 

 

 

พริบตาหนึ่งที่แสงสีดำกระทบพื้น แสงสีดำสี่สายดุจกระบี่ หลายคนที่พุ่งเข้ามาพยายามคว้าจิ่งเหิงปัวไว้ถูกแสงสีดำกวาดผ่าน ร้องเสียงหลงเสียงหนึ่งล้มลงข้างหลัง โลหิตลอยกระเซ็นกลางอากาศ 

 

 

จิ่งเหิงปัวหลุบตาลงมองแสงเขียวแสงนั้นแวบหนึ่ง มองจื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยที่ถูกเจ็ดสังหารปกป้องไว้ จากนั้นมองปากอุโมงค์ที่ค่อยๆ เปิดออกใต้ฝ่าเท้าแวบหนึ่ง 

 

 

… 

 

 

จำได้เลือนรางว่าวันนั้น นางกับยงเสวี่ยเดินไปข้างหน้าตามทางสัญจรของตำหนักบรรทมใต้ดิน มองเห็นข้างหน้ามีทางออกทางหนึ่งจึงปีนขึ้นไป 

 

 

พอออกมาแล้ว ทั้งสองคนชะงักงัน 

 

 

แววตาของเทวรูปจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นเหนือศีรษะแข็งทื่อ จัตุรัสเบื้องหน้ากว้างใหญ่ไพศาล กระจ่างใสดุจสายธาร แสงจันทร์ชำระล้างผันผ่านดั่งภาพมายา 

 

 

‘นึกไม่ถึงว่าทางออกอยู่ที่นี่’ 

 

 

‘ทว่าคล้ายออกมาได้ แต่เข้าไม่ได้’ 

 

 

‘ไม่แน่หรอก เจ้าดูตำแหน่งทางออกนี้ คล้ายว่าตรงกับดวงตาของเทวรูปจักรพรรดินีพอดี กลไกที่เปิดประตูคงอยู่ภายในเทวรูป’ 

 

 

‘ข้ารู้สึกว่าทางออกนี้ยังเป็นทางเข้าอีกด้วย อาจจะเชื่อมต่อกับทางสัญจรอื่น เพียงแต่ไม่แน่ว่าจะเป็นทางสัญจรที่ปลอดภัย เมื่อครู่ยามข้าเดินผ่านมา คล้ายได้ยินเสียงน้ำผ่านกำแพง’ 

 

 

‘ไม่ว่ามันคือสิ่งใด อย่างไรเสียพวกเราคงไม่ได้ใช้’ 

 

 

‘เรื่องนั้นไม่แน่ว่าจะได้ใช้ นี่ต้องเป็นทางสัญจรที่ราชวงศ์ใช้หลบหนีแน่’ 

 

 

‘ข้าคงไม่ได้ใช้ทางสัญจรหลบหนีเอาชีวิตรอด หากมีกงอิ้นอยู่ย่อมไม่เกิดเรื่องใดขึ้นกับข้า หากเกิดเรื่องขึ้น ข้าจะไม่ไปจากเขาเช่นกัน ข้าสิ้นชีพพร้อมกับเขาในพระราชวังฟังดูไม่เลว จากนั้นข้าพาเขาทะลุมิติกลับไป ใช้ชีวิตหวานชื่นในยุคปัจจุบัน เช่นนั้นคงดียิ่งนัก’ 

 

 

‘อืม ชั่วชีวิตนี้พวกเราคงไม่ได้ใช้มันเป็นแน่’ 

 

 

‘เช่นนั้นกลับกันเถิด รอให้เขามีเวลาว่าง ข้าจะพาเขามาเที่ยวชม คิกๆ อย่าเพิ่งบอกเขานะ เก็บไว้ให้เขาประหลาดใจ’ 

 

 

‘พี่ต้าปัว พี่อย่าเอ่ยถึงราชครูทุกวาจาได้หรือไม่?’ 

 

 

‘เด็กหญิงน้อยคนหนึ่ง เจ้าจะเข้าใจอะไร นี่เรียกว่าความรัก ความรักเป็นเช่นนี้ล่ะ ยามเอ่ยนามยังรู้สึกว่าหวานชื่น…เฮ้อ ช่างเถิดๆ เอ่ยไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ…’ 

 

 

… 

 

 

เหอะๆ ไม่เข้าใจจริงด้วย ความรักความเกลียดในโลกมนุษย์นี้ 

 

 

… 

 

 

แสงสีดำกำลังหายไป ปากอุโมงค์ปรากฏเพียงสามส่วน คนหนึ่งคนไม่อาจเข้าไปได้ 

 

 

เรือนร่างนางกะพริบวูบ สูญสลายหายไป 

 

 

เสียงพลั่กดังขึ้น หลายคนที่รอให้แสงสีดำหายไปแล้วหวังพุ่งเข้าไปคว้านางไว้ หรือตามเข้าปากอุโมงค์ไปด้วย พยายามกันจนเลือดตกยางออกอยู่บนพื้นผิวแข็งแกร่งที่ปิดสนิท 

 

 

แสงเขียวกลางอากาศสูญสลายไปในช่วงเวลานี้เช่นกัน ของสิ่งหนึ่งร่วงหล่นจากกลางอากาศ กระแทกบนพื้นหิมะอย่างรุนแรง 

 

 

ทรงสี่เหลี่ยมทว่ามุมสี่ด้านโค้งมน พื้นผิวสีขาวนวลมันวาวอ่อนโยน แกะสลักลวดลายหญ้ารุ่ยเฉ่าฉลุนูน ผุดเผยแสงเขียวเรืองเล็กน้อยเลือนรางจากในช่องว่างลายฉลุ 

 

 

สิ่งของที่กงอิ้นมอบให้ในยามแรก 

 

 

กล่องหยกร่วงลงพื้น ดอกไม้แห้งสีน้ำตาลดอกหนึ่งขยับเขยื้อนออกมาจากซอกกล่อง ร่วงหล่นลงบนพื้นหิมะ 

 

 

แหลกสลายในพริบตา โปรยปรายเศษเสี้ยวเหลืองอ่อนทั่วพื้น ถูกลมพัดเพียงครั้ง ลอยล่องหายไปกลางหิมะ 

 

 

ดอกไม้ในแดนฝัน เด็ดไว้ดอกหนึ่ง ถึงมือสูญเสีย 

 

 

ร่ำสุราพิษด้วยความเกลียดชัง กล้ำกลืนชั่วชีวิต นิมิตชั่วนิรันดร์