บทที่ 2514 ด่านเคราะห์ / บทที่ 2515 ด่านเคราะห์ 2

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2514 ด่านเคราะห์

เขาใช้พลังวิญญาณตะเบ็งเสียงออกมา แว่วกังวานออกไปไกล ได้ยินในรัศมีหลายลี้

เชื่อมั่นว่าหากในหุบเขาแห่งนี้มีคนอยู่ ต้องได้ยินเสียงแน่

แต่เขาตะโกนอยู่พักหนึ่ง ด้านในยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิดเช่นเดิม

จู๋ตู๋ชิงหัวเราะหยัน

“เขตแดนนี้กั้นเสียง ต่อให้เจ้าตะโกนจนดังไปถึงสวรรค์ คนด้านในก็ไม่ได้ยินหรอก ยิ่งไม่ได้รับรู้การขมขู่ของเจ้าด้วย!”

อวิ๋นเยียนหลีใจเต้นแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม

“เจ้ารู้จักเขตแดนนี้รึ?!”

จู๋ตู๋ชิงเลิ่กลั่กแล้ว

“…ไม่ ไม่รู้จัก…”

อวิ๋นเยียนหลียกมุมปากขึ้น

“ถ้าไม่รู้จักแล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าเขตแดนนี้กั้นเสียง? รู้ได้อย่างไรว่าต่อให้ข้าใช้พลังวิญญาณตะเบ็งเสียง ก็แว่วไปไม่ถึงอยู่ดี?”

จู๋ตู๋ชิงหุบปากเงียบทันทัน ไม่พูดอีกเลยสักคำ

“บอกมา เขตแดนนี้ต้องทำลายอย่างไร?”

เจ้าวังน้อยตะโกนใส่

จู๋ตู๋ชิงกลอกตาแวบหนึ่ง ไม่สนใจนางเลย

อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ

“คุณชายไผ่ขจี ในเมื่อเจ้าไม่รู้จักรุกไม่จักถอยถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ขออภัยแล้ว…”

พลันกำมือเล็กน้อย แหนั้นรัดแน่นทันที รัดรึงจู๋ตู๋ชิงที่อยู่ด้านใน

ยามที่แหนี้รัดแน่นจะราวกับมีเหล็กในของผึ้งนับพันนับหมื่นตัวทิ่มแทงลงไปพร้อมกัน เจ็บปวดอย่างยิ่ง

ใบหน้าหล่อเหลาของจู๋ตู๋ชิงแดงก่ำในชั่วพริบตา เขาขมวดคิ้ว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ยังคงไม่เปล่งเสียงเลยสักแอะ

“ไม่นึกเลยว่าคุณชายไผ่ขจีจะกระดูกแข็งนัก”

น้ำเสียงอวิ๋นเยียนหลีเย็นชา สายตาของเขาหันเหไปที่ลาตัวนั้น จู่ๆ ก็ยิ้มออกมาแวบหนึ่ง

ลาตัวนั้นถูกมัดไว้แน่นหนาจริงๆ แต่ศีรษะยังคงตั้งตระหง่าน อวิ๋นเยียนหลียิ้มให้มันแวบหนึ่ง เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ขนลาทั่วร่างมันลุกชัน!

มันถลึงตามองอวิ๋นเยียนหลีอย่างระแวดระวัง พ่นลมออกจมูกอย่างคล้ายจะแสดงอนารยะขัดขืน ความหมายคืออย่าได้คิดจะมาหาเรื่องผู้เฒ่า ผู้เฒ่ามิใช่ลาที่จะมาหาเรื่องได้…

อวิ๋นเยียนหลีแย้มยิ้มอีกครั้ง ดีดนิ้วเล็กน้อย สั่งการเจ้าวังน้อย

“หมิงเตี๋ย สอนบทเรียนให้ลาตัวนี้หน่อย”

“รับทราบ!”

เจ้าวังน้อยตอบรับ ก้าวไปหยุดเบื้องหน้าลาตัวนั้น

มีดฟันเลื่อยเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากปลายนิ้ว วาดท่าเฉือนลงที่สะโพกลาก่อน หยักยิ้มมุมปาก

“มีดฟันเลื่อยเล่มนี้ของข้า สามารถกรีดเถือผิวหนังที่แข็งทื่อที่สุดได้ หนังของลาตัวนี้ยอดเยี่ยมนัก ถ้าข้าเฉือนมันออกมาตุ๋นเป็นยาบำรุงคงไม่เลวยิ่ง”

ลาตัวนั้นแข็งเกร็งไปทั้งร่าง กระทืบกีบเท้าอย่างรุนแรง แต่ถูกมัดเอาไว้แน่นเกินไป มันจึงได้แต่ดิ้นรนเท่านั้น

มันหันไปมองเจ้านายของบ้านตน ที่ถูกกักขังเอาไว้ในแห เจตนาขอความช่วยเหลือ

จู๋ตู๋ชิงโกรธเกรี้ยวแล้ว

“ถ้าเจ้ามีฝีมือก็มาลงกับข้าสิ จะทรมานลาตัวหนึ่งไปทำไม?! ข้าขอแนะนำให้เจ้าหยุดความคิดนี้เสีย ตัวข้าไหนเลยจะขายผู้เป็นอาจารย์เพื่อสัตว์พาหนะตัวหนึ่งได้?”

ลาตัวนั้นฟังภาษามนุษย์เข้าใจ แววตามันเปี่ยมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ อ้าปากกู่ร้องเสียงดัง ราวกับจะประท้วง

จู๋ตู๋ชิงมองมันอย่างขออภัย ไม่เอ่ยวาจาอีกเลย

จู่ๆ แม่ทัพคนหนึ่งที่กำลังโจมตีเขตแดนอยู่ก็ตะโกนขึ้นมา

“เขตแดนนี้คล้ายว่าจะคลายตัวลงบ้างแล้ว!”

อวิ๋นเยียนหลีใจเต้นแวบหนึ่ง หันไปมองลาตัวนั้น

จู๋ตู๋ชิงตะโกนด้วยความโกรธ

“อย่าร้อง!”

ลาตัวนั้นหุบปากแล้ว มองไปที่จู๋ตู๋ชิงอย่างตระหนกตกใจ

อวิ๋นเยียนหลีหัวเราะฮ่าๆ สั่งการเจ้าวังน้อย

“ทรมานลาตัวนี้! ยิ่งทำให้มันร้องโหยหวนได้ก็ยิ่งดี!”

เจ้าวังน้อยย่อมตอบรับ ทำการทรมานลาตัวนั้นทันที

ถึงอย่างไรนางก็ฝึกสัตว์ร้ายมาชั่วนาตาปี ทราบจุดเจ็บปวดและจุดไวต่อสัมผัสของเหล่าสัตว์ดี เสียบมีดเข้าที่สีข้างของลาตัวนั้น!

เดิมทีลาตัวนี้หนังเหนียวคงกระพัน แต่วิถีมีดของเจ้าวังน้อยมีเล่ห์กล แฝงรวมพลังวิญญาณเอาไว้ มีดนี้แทงทะลุผิวหนังของมัน ทิ่มเข้าไปในเส้นชีพจรอันเปราะบางที่สุดของมัน…

ร่างของเจ้าลาพลันสั่นเทิ้ม หยาดเหงื่อหยดลงมาจากร่างลา ทว่ามันกัดฟันไว้แน่น ไม่กรีดร้องเลย

เจ้าวังน้อยขมวดคิ้ว

“เป็นแค่ลาตัวหนึ่งไฉนจึงดื้อดึงถึงเพียงนี้?!”

————————————————————————————-

บทที่ 2515 ด่านเคราะห์ 2

นางแทงเจ้าลาต่อเนื่องกันหลายที โลหิตเปรอะเปื้อนมีดฟันเลื่อยของนางจนแดงฉาน ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าลาไม่ส่งเสียงเลย ดวงตาลาที่น่ามอง ยังเหลือบมองเจ้าวังน้อยอยู่สองสามคราด้วย ฉายแววเหยียดหยามนัก

จู๋ตู๋ชิงโมโหจนหน้าแดงก่ำแล้ว ก่นด่าอยู่ตรงนั้นไม่หยุด

อวิ๋นเยียนหลีเพียงทำเป็นไม่ได้ยินเสีย สั่งการเจ้าวังน้อยต่อ

“ดูเหมือนเนื้อหนังมังสาของเจ้าลาตัวนี้จะไม่รู้จักความเจ็บปวด หรือว่าเพราะเป็นลาตัวผู้? เช่นนั้นก็ตอนมันเสียเถิด…”

เจ้าลาตระหนกแล้ว!

เจ้าวังน้อยตอบรับ ยกมีดจ่อไปยังส่วนสงวนใต้ท้องของมัน…

ในที่สุดเจ้าลาก็ผวาแล้ว! กรีดร้องด้วยความตกใจ!

มันร้องเสียงดังยิ่ง ที่แตกต่างกับลาทั่วไปคือ เสียงร้องราวกับมังกรคำราม สั่นสะเทือนแก้วหูทุกคนจนเกิดเสียงดังหึ่งๆ ทั่วทั้งหุบเขาล้วนมีเสียงแหลมสูงของมันก้องสะท้อนกลับไปกลับมา…

เขตแดนที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนเลยพลันสั่นไหวขึ้นมา อวิ๋นเยียนหลีฉวยโอกาสซัดฝ่ามือใส่ทันที!

เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท เขตแดนปริร้าวออกเป็นรูใหญ่ที่กว้างกว่าหนึ่งลี้!

อวิ๋นเยียนหลีหัวเราะเสียงดัง นำกำลังคนบุกเข้าโจมตี…

ปะทะเข้ากับสององครักษ์จินหวาที่ลาดตระเวนอยู่ในละแวกเขตแดน สองคนนี้ได้รับแรงสะเทือนจากการที่เขตแดนถูกทำลาย เพิ่งจะลุกขึ้นมา ก็ถูกคนของอวิ๋นเยียนหลีปิดล้อมไว้แล้ว…

ช่วงที่องครักษ์จินกำลังสู้ตาย หวิดจะถูกแทงจนเหมือนเม่นแล้ว ก็ยังเสี่ยงชีวิตติดต่อไปที่ยันต์ถ่ายทอดเสียงของกู้ซีจิ่ว คิดจะเตือนภัยแก่นาง

กลับคาดไม่ถึงว่าในสถานการณ์คับขัน ยันต์ถ่ายทอดเสียงของกู้ซีจิ่วกลับติดต่อไม่ได้ ไม่มีคนรับสาย…

และในช่วงเวลานี้เอง กลางนภามีสายฟ้าเส้นหนึ่งแวบผ่าน สาดส่องพสุธาสว่างไสวไปทั่ว!

พร้อมกันกับสายฟ้าแลบ ได้มีเสียงฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วด้วย

ฝูงชนตะลึงงัน

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ สีหน้าของแต่ละคนแปรเปลี่ยนทันที!

บนนภามีเมฆาแดงฉานนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน ก่อตัวเป็นบรรพตเมฆาซ้อนทับกันอยู่ตรงนั้น ในเมฆมีฟ้าแลบแปลบปลาบ แลบทีหนึ่งก็เกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นคราหนึ่ง…

นี่คือ…

อัสนีด่านเคราะห์!

มีคนกำลังจะฝ่าด่านเคราะห์ที่นี่งั้นรึ?!

ในขณะที่อวิ๋นเยียนหลีตะลึงงันอยู่ เงาร่างสีแดงทองอ่อนจางสายหนึ่งได้แวบผ่านฝูงชนไป เงาร่างของสององครักษ์จินหวาที่ถูกกักไว้ในวงล้อมและกำลังจะถูกพิชิตแล้วเลือนหายไปในชั่วพริบตา

ผีหลอกแล้ว!

เมื่อเจ้าวังน้อยเห็นเนื้อที่กำลังจะเข้าถึงปาก ถูกผู้อื่นฉกเอาไป โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

“นี่ต้องเป็นกู้ซีจิ่วแน่…”

พอเอ่ยถึงตรงนี้ก็ชะงักไป นางยังไม่ลืมว่ากู้ซีจิ่วคือนางในดวงใจของนายตน ไม่สามารถเอ่ยวาจาล่วงเกินได้ วันนั้นนางโกรธจนเผลอด่าไปประโยคหนึ่ง ก็ถูกอวิ๋นเยียนหลีลงโทษแล้ว…

สุ้มเสียงของอวิ๋นเยียนหลีเยียบเย็น

“ไม่ใช่นาง! เป็นคุนตัวนั้น! ตามไป!”

….

จะอย่างไรกู้ซีจิ่วก็คาดไม่ถึงเลย ตนจะมาฝ่าด่านเคราะห์เอาในเวลาเช่นนี้…

ตอนนั้นเธอพยายามดูดซับพลังวิญญาณจากรูปสลักหยกตี้ฝูอีอย่างสุดชีวิต เพียงอยากช่วยแบ่งเบาภาระของเขาบ้าง ผลคือดูดไปดูดมา อัสนีก็ร้องคำรามแล้วผ่าลงเหนือยอดศีรษะ!

หากมิใช่เธอตอบสนองว่องไว กอดรูปสลักหยกเคลื่อนย้ายหนีได้ทัน ก็คงถูกผ่าเข้าเต็มๆ แล้ว!

ต่อให้เป็นเช่นนี้ กระโจมของเธอก็ถูกฟ้าผ่าจนวอดวายแล้ว ข้าวของในกระโจมพังเสียหายเกลื่อนพื้น

เธอเคลื่อนย้ายออกไปนอกกระโจมโดยตรง เงยหน้ามองท้องฟ้า อดไม่ได้ที่จะร้องด่าออกมาคราหนึ่ง!

ถึงอย่างไรเธอก็มีความรู้กว้างขวางประสบการณ์โชกโชน มองแวบเดี๋ยวก็ทราบต้นสายปลายเหตุแล้ว…

นี่คืออัสนีด่านเคราะห์!

ผ่าลงมาใส่เธอ!

ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมาฝ่าด่านเคราะห์เอาในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้!

อัสนีด่านเคราะห์ไม่มีสถานที่ใดให้หลีกหนีได้ ถ้าไม่ได้ผ่าลงบนร่างของผู้ฝ่าด่านก็จะไม่จบลง

สายฟ้าที่หวิดจะผ่าถูกเธอเมื่อครู่นี้เป็นเพียงสัญญาณเตือน มิใช่อัสนีด่านเคราะห์ของจริง…

กู้ซีจิ่วรู้ว่าตนหลบไม่พ้นแล้ว โชคดีคืออัสนีด่านเคราะห์นี้เป็นของขั้นเสี่ยวเซียน เธอเคยเผชิญหน้ากับอัสนีชนิดนี้มาแล้ว และเชื่อมั่นว่าตนจะทะลวงฝ่าไปได้