บทที่ 2516 ด่านเคราะห์ 3 / บทที่ 2517 ด่านเคราะห์ 4

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2516 ด่านเคราะห์ 3

เธอไม่อยากให้อัสนีด่านเคราะห์ทำร้ายรูปสลักหยกของตี้ฝูอี ขณะที่คิดจะถือโอกาสตอนที่อัสนีด่านเคราะห์ยังไม่ผ่าลงมาจริงๆ นำตี้ฝูอีไปวางไว้ยังสถานที่ปลอดภัยที่อยู่ไม่ไกลจากริมฝั่ง

พลันมีเสียงดังกึกก้องกัมปนาทแว่วมาจากที่ไกลๆ อีกครั้ง มิใช่เสียงฟ้าร้องทว่ายิ่งใหญ่กว่าเสียงฟ้าร้อง…

สีหน้าเธอพลันแปรเปลี่ยน นี่คล้ายจะเป็นเสียงเขตแดนพังทลาย…

พอเขตแดนพังลง อวิ๋นเยียนหลีจะบุกเข้ามาได้ทันที…

เธอไม่มีเวลาคิดแล้วว่าเขตแดนพังทลายลงได้อย่างไร ตัดสินใจในทันใด กอดรูปสลักหยกของตี้ฝูอีไว้แล้วดำลงสู่ทะเลสาบ…

พอเธอขึ้นมาอีกครั้ง รูปสลักหยกนั้นก็ไม่อยู่แล้ว มีเพียงตัวเธอ

เจตนาเดิมของเธอคือออกห่างจากที่นี่ กลับนึกไม่ถึงเลยว่าอัสนีด่านเคราะห์จะมาไวอย่างยิ่ง!

เธอเพิ่งจะโผล่หัวพ้นน้ำมา สายฟ้าขนาดใหญ่เส้นหนึ่งก็ผ่าลงมาทันที ครอบคลุมทั้งร่างเธอไว้ ชักนำขึ้นสู่นภา…

ด้วยเหตุนี้ ชาวเผ่าของเธอ สององครักษ์จินหวาที่เพิ่งกลับมา คุนเสวี่ยอี๋ รวมถึงทัพของอวิ๋นเยียนหลีที่บุกเข้ามาในหุบเขา สายตานับพันคู่ล้วนได้เห็นฉากที่น่าอัศจรรย์

กู้ซีจิ่วถูกชักนำขึ้นสู่ยอดเมฆา ถูกห่อหุ้มอยู่ในวงแสง อัสนีสายหนึ่งผ่าเข้ากลางวงแสงนั้น ตรงเข้าสู่ร่างกายเธอ…

อวิ๋นเยียนหลีพลันกำมือ สะบัดแขนเสื้อ คล้ายคิดจะทำสิ่งใด ทว่าสุดท้ายก็สะกดกลั้นไว้

อัสนีด่านเคราะห์ประเภทนี้สำหรับเขาแล้วไม่แปลกใหม่เลย ด้วยพลังยุทธ์ของเขา ใช่ว่าจะต้านรับให้กู้ซีจิ่วสักสายสองสายไม่ได้ แต่ว่า…

สีหน้าเขาราบเรียบ ออกคำสั่งสังหารกับลูกน้องทั้งหมด

“ลุยสังหารเข้าไป อย่าปล่อยไปแม้แต่คนเดียว ถ้าจับเป็นได้ก็จับเป็นเสีย ถ้าจับเป็นไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งซะ!”

ในเมื่อสวรรค์มอบโอกาสอันดีที่หาได้ยากเช่นนี้แก่เขาแล้ว เขาย่อมต้องคว้าเอาไว้ ไม่อาจอ่อนไหวเยี่ยงอิสตรีได้อีก!

นายทหารหลายพันคนนั้นตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน ดังสนั่นปานเสียงฟ้าร้อง บุกตะลุยล่าสังหารเข้าไปด้านใน…

….

เกิดศึกสงครามพัวพัน

ถึงแม้ภายในหุบเขาแห่งนี้จะมีสัตว์ร้ายมากมายนับไม่ถ้วนขวางทางอยู่ แต่ก็ไม่เกินกำลังของของหมู่อัจฉริยะที่บุกเข้ามาเหล่านี้เลย ถูกพวกเขาฆ่าฟันปานหั่นผักหั่นแตง บังเอิญสังหารถูกตัวที่เป็นหัวหน้าตัวนั้นเข้า สัตว์ร้ายตัวอื่นจึงสลายตัวไป คนของอวิ๋นเยียนหลีรุกไล่เข้าไปได้ตรงๆ เลย…

ถึงแม้ปากทางเข้าถ้ำแห่งนั้นจะซับซ้อนยิ่ง แต่อวิ๋นเยียนหลีเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำลายค่ายกล เขาจึงหาพบรวดเร็วยิ่ง นำกำลังคนแห่แหนเข้าไปในถ้ำ บุกเข้าสู่เมืองลับแลแห่งนั้น…

เรื่องราวต่อจากนั้นแทบไม่ต้องนึกสงสัยเลย

ชาวเผ่าเหล่านั้นไม่มีทางต่อกรกับคนเหล่านี้ของอวิ๋นเยียนหลีได้ พริบตาเดียวก็ถูกสยบกันหมดแล้ว

ส่วนกู้ซีจิ่วก็กำลังฝ่าด่านเคราะห์อยู่กลางนภา ไม่อาจร่อนลงมาปกป้องชาวเผ่าเหล่านี้ได้ ซ้ำยังเสียสมาธิถูกอัสนีด่านเคราะห์ผ่าจนเจ็บหนักด้วย

สุดท้ายก็มีเพียงคุนเสวี่ยอี๋ที่พาองครักษ์จินมุดลงสู่ทะเลสาบหายลับไป…

ส่วนองครักษ์หวาถูกจับกุมไว้

กู้ซีจิ่วผจญอัสนีด่านเคราะห์ทั้งหมดหกสาย เธอฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จเป็นเสี่ยวเซียนจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะในใจยังมีห่วงอยู่ เธอจึงไม่ได้โบยบินขึ้นไป เมื่ออัสนีด้านเคราะห์สายสุดท้ายผ่านพ้นไป ร่างเธอก็ส่ายโงนเงน หล่นลงมาจากกลุ่มเมฆ…

อวิ๋นเยียนหลีพลันตวัดแขนเสื้อ รับตัวนางไว้ อุ้มไว้ในอ้อมแขน

แขนเขาดุจคีมเหล็ก รัดนางเอาไว้แน่น มองนางพลางยิ้มนิดๆ

“ซีจิ่ว ยินดีด้วยที่ฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จ! ข้ายินดียิ่งนัก…”

ยามนี้กู้ซีจิ่วอ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ย่อมไม่มีแรงจะผลักเขาออก เธอจึงไม่ดิ้นรนเสียเลย หลับตาลง เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“อวิ๋นเยียนหลี ข้าเสียใจยิ่งนัก!”

“เสียใจอะไร?”

“เสียใจที่เคยเห็นเจ้าเป็นสหาย! เจ้าไม่คู่ควรเลย!”

สีหน้าอวิ๋นเยียนหลีแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ชะงักไปแวบหนึ่ง พลันยิ้มมุมปาก น้ำเสียงอ่อนโยน

“แต่ข้าไม่เสียใจเลย ไม่เสียใจที่ได้รู้จักเจ้า ซีจิ่ว พวกเราสิถึงจะเป็นคู่กัน คู่ที่สวรรค์สรรสร้าง มิเช่นนั้นจะบังเอิญล่วงหล่นมาสู่แดนอสุราแห่งนี้ได้อย่างไร? มายังอาณาเขตของข้าได้ยังไง? เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ…”

————————————————————————————-

บทที่ 2517 ด่านเคราะห์ 4

กู้ซีจิ่วยิ้มเย็น

“มีวาสนาจริงๆ นั่นแหละ สวรรค์เบื้องบนส่งข้าลงมา ก็เพื่อจะเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้า ช่วยเหลือปวงประชาชาวแดนอสุรา…เจ้าคิดหรือว่าแผนชั่วของเจ้า…”

เอ่ยมาถึงตรงนี้ก็พูดต่อไม่ได้แล้ว อวิ๋นเยียนหลีสกัดจุดนางไว้ ถอนหายใจเบาๆ

“ซีจิ่ว เจ้าเป็นชาวเซียนจากดินแดนเบื้องบนเช่นกัน กลับแยกแยะผิดถูกไม่ได้เช่นนี้ โดนตี้ฝูอีล้างสมองจนหลงผิดเดินทางชั่ว เฮ้อ ช่างน่าสงสาร! ”

ขณะที่พูด คนของอวิ๋นเยียนหลีได้ค้นหาจนทั่วทั้งในและนอกหมู่บ้านแล้ว พลิกแผ่นดินหาดูแล้ว พากันกลับมารายงานว่า ไม่มีใครพบที่อยู่ของตี้ฝูอีเลย

อวิ๋นเยียนหลีทราบถึงความสามารถในการสืบเสาะของลูกน้องตนดี สถานที่ที่พวกตรวจสอบแล้ว ต่อให้เป็นหนูสักตัวก็ไม่มีทางหลบรอดไปได้ นับประสาอะไรกับตี้ฝูอีที่เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ คนหนี่ง…

ที่เดียวที่ยังไม่ได้ค้นหาก็คือทะเลสาบที่อยู่เบื้องหน้านี้…

อวิ๋นเยียนหลีพึมพำ

“คงมิใช่ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้กระมัง?!”

กู้ซีจิ่วหลับตาลงนิดๆ ไม่ตอบสนองอะไร

เจ้าวังน้อยขันอาสา

“ข้าน้อยจะลงไปดูใต้ทะเลสาบเอง!”

อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้า

“ไม่ต้อง ข้าจะลงไปดูเอง” ตี้ฝูอีคนนั้นเจ้าเล่ห์เกินไป หากว่าเขาจำแลงเป็นศิลาอันใดอยู่ใต้ทะเลสาบ เกรงว่าเจ้าวังน้อยคงมองไม่ออก

ในตอนนี้มีแต่เขาต้องลงไปดูเอง

เจ้าวังน้อยก้าวเข้าไปหา

“นายท่าน เช่นนั้นส่งนางให้ข้าน้อยก่อนไหมเจ้าคะ?”

อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้า

“ไม่ต้อง”

จากนั้นก็มองกู้ซีจิ่วในอ้อมแขน ยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง

“ทะเลสาบแห่งนี้ไม่เลวเลย ข้าจะพาเจ้าลงไปดำดูสักรอบ”

แล้วพานางมุดลงไปยังทะเลสาบทันที

เจ้าวังน้อยนิ่งงัน

นางหลุบตาลงนิดๆ นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น ความผิดหวังพาดผ่านแววตา

ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะบาดเจ็บสาหัสยิ่ง แต่ศาสตร์วารีของเธอดีเยี่ยม แถมยังเพิ่งบรรลุขั้นจินเซียน ทะเลสาบนี้ย่อมทำให้เธอจมน้ำไม่ได้

แขนข้างหนึ่งของอวิ๋นเยียนหลีโอบรัดเอวของเธอเอาไว้ตลอด ทำให้เธอไม่มีความเป็นไปได้ในการหลบหนีใดๆ เลย

อวิ๋นเยียนหลีพาเธอเดินทางไปยังก้นทะเลสาบรอบหนึ่ง และใช้วิชาสืบรอย ผลคือสองมือว่างเปล่า

ตี้ฝูอีมิได้หลบซ่อนอยู่ที่ก้นทะเลสาบ

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตี้ฝูอีสมควรจะอยู่กับกู้ซีจิ่วสิ! จะไม่มีได้อย่างไร?

อวิ๋นเยียนหลีค่อนข้างหงุดหงิดเล็กน้อย ก้นทะเลสาบปิดกั้นเสียง เขาย่อมไม่เกรงกลัวว่ากู้ซีจิ่วจะตะโกนเปิดโปงออกมาอีก ซัดฝ่ามือคลายจุดให้นาง

“ตี้ฝูอีอยู่ที่ไหน?”

กู้ซีจิ่วหลับตาไม่เอ่ยวาจา ทำเหมือนเขาเป็นอากาศ

“หากว่าเจ้าไม่พูด ข้าจะทรมานชาวเผ่าของเจ้าให้ตายไปทีละคน จนกว่าเจ้าจะเปิดปากพูด!”

หนนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เปิดปากพูดแล้ว เอ่ยออกมาอย่างเยียบเย็นเพียงสองคำ

“แล้วแต่”

อวิ๋นเยียนหลีตะลึง

“…เจ้าไม่ห่วงพวกเขาหรือ?”

กู้ซีจิ่วหยักมุมปากนิดๆ

“เจ้าก็น่าจะรู้ดี พวกเขาไม่ใช่ชาวเผ่าของข้า เป็นเพียงสหายร่วมทุกข์สุขในยามที่ข้าตกระกำลำบากเท่านั้น มิตรภาพครึ่งปีจะลึกล้ำสักแค่ไหนกันเชียว? มีค่าพอให้ข้ายอมศิโรราบต่อเจ้าหรือ?”

อวิ๋นเยียนหลีเงียบงัน

กู้ซีจิ่วเอ่ยต่อไปอย่างเฉยเมย

“สิ่งที่ทำให้ในสองปีมานี้เพียงพอจะตอบแทนพวกเขาแล้ว ไม่ได้ติดค้างอะไรพวกเขาอีก เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเถอะ ไม่ต้องมาบอกข้าหรอก”

อวิ๋นเยียนหลีมองนางอยู่พักหนึ่ง

“ซีจิ่ว เจ้ามิใช่คนเย็นชาขนาดนี้ เหตุใดต้องแสดงท่าทีเย็นชาด้วย? คิดว่าจะหลอกข้าได้หรือไง?”

กู้ซีจิ่วเม้มปากไม่เอ่ยตอบ

อวิ๋นเยียนหลียิ้มแวบหนึ่ง

“หากว่าเจ้าไม่ใส่ใจพวกเขาจริงๆ เช่นนั้นหลังจากข้าขึ้นฝั่งแล้วจะออกคำสั่งประหารพวกเขาทั้งหมดเสีย! อย่างไรข้าก็บอกกับลูกน้องพวกนั้นไปแล้ว คนพวกนี้ล้วนเป็นสวะของอาณาจักรมาร มีโทษหนักถึงตาย ไม่มีใครสงสัยอะไรข้าอยู่แล้ว”

กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย

“อวิ๋นเยียนหลี ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะโง่เง่าขนาดนี้!”

อวิ๋นเยียนหลีนิ่งไปแวบหนึ่ง เขากัดฟัน

“วาจานี้หมายความว่าอย่างไร?!”

….