ตอนที่ 389 เจ้าเป็นของข้ามาโดยตลอด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอนิ้วมือของนางถูกหยกสีแดงเพลิงนั้นสวมเอาไว้ กระแสความร้อนขุมหนึ่งจากหยกสีแดงก็แผ่เข้าสู่ร่างกาย

 

 

ทั้งๆที่ไม่ได้มีลมพัด แต่พลังที่แผ่ออกมาก็ทำให้ฉลองพระองค์และเส้นพระเกศาปลิวขึ้นมา แม้แต่ดวงเนตรดอกท้อคู่นั้นก็ยังถูกหลอมไปด้วยเปลวเพลิงปีศาจที่ร้อนระอุชั้นหนึ่ง

 

 

กลิ่นอายมารที่เข้มข้นจนถึงขั้นบริสุทธิ์ทะลวงเข้าไปในร่างราวกับประตูที่ถูกผลักให้เปิด

 

 

ยามที่เข้าไปในร่างของนางแล้ว ก็ผนึกตัว กลมกลืนเข้ากับตราหยกสรรพชีวิตในดวงจิตของนางอย่างสมบูรณ์แบบ

 

 

ผ่านไปอีกพักใหญ่ ความรู้สึกถึงพลังขุมนั้นถึงได้จางลงไป ตู๋กูซิงหลันรู้สึกแต่เพียงว่าตอนนี้ในร่างกายของนางเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

 

ในตอนนั้นเองแหวนหยกสีแดงวงนั้นได้กลายเป็นรอยประทับสีแดงเลือดอยู่บนนิ้วของนาง

 

 

ซูเยายังคงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่เบื้องหน้านาง คราวนี้ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายขึ้นมา “อาหลัน แม้แต่มันก็ยังยอมรับเจ้าแล้ว”

 

 

หยกแดงชิ้นนี้เป็นสิ่งที่มีพลังชีวิต มีแต่เมื่อได้พบกับสตรีที่ฟ้ากำหนดมาของเขา จึงจะคล้อยตามความปรารถนา

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมา มองดูรอยประทับรุปจิ้งจอกบนนิ้วมือที่ดูราวกับมีชีวิตทั้งยังมีแสงเงินออกมาจางๆ

 

 

นางยื่นมือออกไป พยุงซูเยาขึ้นมา

 

 

ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นเปล่งประกายราวกับลูกแก้วอยู่แต่แรกแล้ว เขาจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อย กระแอมลำคอที่แห้งผากเบาๆ ให้ตนเองได้ผ่อนคลายลงบ้าง

 

 

จากนั้นก็กลับมาจับมือของนางอีกครั้ง วางลงบนหัวใจของตนเอง “อาหลัน นับจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าก็เป็นคนของเจ้าแล้ว”

 

 

น้ำเสียงนั้นเย้ายวนอย่างที่สุด หัวใจของเขาก็ร้อนระอุจนแทบจะโลดออกมาที่เบื้องหน้าของนางเหมือนกัน

 

 

ทันใดนั้นนเขาก็ขยับเข้าไป จุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างตราตรึงครั้งหนึ่ง

 

 

“พวกเราสัญญากันแล้วนะ”

 

 

“เจ้าเป็น……จิ้งจอกน้อยของข้าตลอดกาล” ตู๋กูซิงหลันยืนยันกับเขา ริมฝีปากขยับยิ้ม ขณะที่มือก็ยื่นเข้าไปลูบในกลุ่มผมของเขาอย่างอ่อนโยน

 

 

เหมือนกับที่นางเคยลูบไล้เจ้าจิ้งจอกน้อยในโลกก่อน

 

 

ซูเยายิ้มออกมาในทันที

 

 

พี่รองยังคงอยู่ในตำหนัก จึงได้เห็นฉากนี้เข้าพอดี

 

 

เขามองดูหนุ่มน้อยที่เย้ายวนผู้นั้นทั้งซ้ายและขวา ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นตามากจริงๆ……

 

 

ส่งบุรุษเข้าวังมาก็ตั้งมากมาย ไม่เห็นนางจะชอบใครสักเท่าไร ที่แท้ก็ชอบแบบที่เป็นปีศาจน้อยจอมเย้ายวนเช่นนี้นั่นเอง

 

 

พี่รองแอบจดจำความชอบของนางเอาไว้อย่างเงียบๆ เอาไว้นางเบื่อเจ้าปีศาจน้อยจอมเย้ายวนนี้เมื่อไร ค่อยหาที่คล้ายๆกันมาอีก

 

 

แต่พอคิดดูให้ละเอียด รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งแผ่นดินคงจะหาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้ว

 

 

วิญญาณทมิฬมองดูอย่างเข้าใจกระจ่าง ที่พลัดกันไปพลาดกันไป จะชีวิตก่อนหรือชีวิตนี้ ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้ว

 

 

ตอนนั้นที่เจ้าจิ้งจอกบรรลุการฝึกฝนจนกลายร่างได้ เกรงว่าเขาเองก็คงจะจำไม่ได้แล้วว่า ความชอบที่หลันหลันมีให้กับเขานั้น ไม่ใช่ความรักหรอกนะ…..

 

 

เป็นความรู้สึกสำนึกผิด เสียใจ ติดค้าง และต้องการชดเชย

 

 

เหมือนกับความรู้สึกที่มีให้กับน้องชาย ความรักที่มีให้คนในครอบครัวไง!

 

 

เจ้าเด็กน้อยนี้เข้าใจผิดไปใหญ่แล้วมั้ง?

 

 

………………………..

 

 

พระตำหนักบรรทมของฮ่องเต้หญิงเรียกว่าหย่งหนิงกง (สันติสุข์นิรันตร์)

 

 

ตอนนี้ในพระตำหนักหย่งหนิงกงเพิ่มตัวเย้ายวนที่งดงามเป็นเอกขึ้นมาอีกหนึ่ง พอเขามาถึงทั่วทั้งตำหนักก็ไม่ได้สงบสุขอีกต่อไปแล้ว

 

 

เหล่าผู้ถวายการรับใช้ในพระตำหนักล้วนแล้วแต่เป็นพวกพี่ชายตัวน้อยที่งดงามด้วยกันทั้งนั้น

 

 

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูเยาที่งดงามจนเย้ายวน ก็กลายเป็นว่าถูกสะกดข่มเอาไว้จนหมดสิ้น

 

 

หากว่ากันตามคุณสมบัติแล้ว ก็ยิ่งนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้………..

 

 

ดังนั้นตอนนี้แต่ละคนจึงลุกขึ้นมาออกแรงแต่งเนื้อแต่งตัว

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็เห็นเซี่ยวเหลี่ยเฝ้ารออยู่แล้ว ร่างที่บอบบางสวมใส่ชุดลายดอกทั้งตัว คุกเข่าอยู่ข้างเตียงรอเข้าเฝ้าแต่เช้า

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมจะสวมฉลองพระองค์ถวายนะพะยะค่ะ” เซี่ยวเหลี่ยโผเข้ามาที่ข้างเตียง ยื่นมือเข้ามาประคองนาง”

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมจะช่วยล้างพระพักตร์” บุรุษงามอีกผู้หนึ่งอุ้มอ่างน้ำร้อนเอาไว้รออยู่ด้านข้าง

 

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมจะวาดคิ้วถวาย”

 

 

…………………….

 

 

ริมหูของตู๋กูซิงหลันระงมไปด้วยเสียงของเหล่าบุรุษ

 

 

คนที่พวกพี่ชายส่งมาส่วนมากล้วนถูกนางไล่กลับไปจนเกือบหมด เหลือเอาไว้ประมาณสิบคนเพื่อทำงานจุกจิกในพระตำหนักหย่งหนิงเท่านั้น

 

 

ยามปกติก็ไม่เห็นพวกเขาจะกระตืนรือร้นเท่าไร โดยเฉพาะบางคนก็เป็นประเภทขี้อาย หรือไม่ก็ถือตัว พอเห็นนางเป็นต้องเดินอ้อมไป

 

 

แต่ตอนนี้แต่ละคนต่างก็รีบร้อนแย่งกันมาปรนนิบัติแล้ว?

 

 

นี่เป็นเพราะว่าพระอาทิตย์ย้ายไปขึ้นทางตะวันตกแล้วหรือไง?

 

 

ตู๋กูซิงหลันลืมตาโตอย่างงุนงง นางสะบัดผ้าห่มออกไป สองเท้าที่งดงามดั่งหยกพึ่งจะยื่นออกมา ก็มีมือที่คุ้นเคยคู่หนึ่งรั้งเอาไว้

 

 

นางกวาดตามองไปก็เห็นร่างในชุดสีแดงที่ดูเย้ายวนไปทั้งตัวรั้งฝ่าเท้าของนางเอาไว้ พลางหันมาส่งยิ้มให้กับนาง “อาหลัน ให้ข้าปรนนิบัติเจ้าสวมรองเท้าเถอะ”

 

 

ฝ่าเท้าของนางเล็กและละเอียดนุ่มมาก ทั้งยังขาวนวลราวกับหยกมันแพะ นิ้วโป้งแม้เท้าก็กลมมน ดูน่ารักมาก

 

 

“อาหลันนั้นแสนงาม เท้ายิ่งน่าดู” เขากุมเท้าหยกของนางเอาไว้ ส่งยิ้มพลางกล่าวอย่างชื่นชมออกมา จากนั้นก็โน้มตัวลงจูบลงไปบนหลังเท้าของนางครั้งหนึ่ง

 

 

ชั่วขณะนั้น เหล่าหนุ่มน้อยที่รายล้อมอยู่รอบๆต่างก็แทบจะระเบิดตัวเองกันแล้ว!

 

 

ต่างก็รู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าที่พวกตน ยกน้ำชา เทน้ำร้อน ช่วยสวมเสื้ออะไรต่างๆนานาล้วนสู้ไม่ได้ทั้งสิ้น!

 

 

ดูไอ้คนที่มาใหม่ผู้นั้นสิ นั้นถึงจะเรียกว่าประจบตบก้นม้าเก่งที่สุด!

 

 

ตามธรรมเนียมของแผ่นดินนี้ เท้าของสตรี คือสิ่งที่เล้นลับ ทรงคุณค่ามาโดยตลอด

 

 

สตรีทั่วไปหากว่าถูกบุรุษมองเห็นเท้าที่เปล่าเปลือย ก็อาจจะต้องถึงกับถูกบังคับให้แต่งงานเป็นภรรยาไปเลย

 

 

พวกเขาคอยปรนนิบัติรับใช้ฮ่องเต้หญิงมาตลอด เห็นพระบาทที่เปลือยเปล่าของพระนางจนเป็นเรื่องปกติ แต่เรื่องที่จะไปจูบหลังพระบาทนั้น…..ไม่เคยมีใครที่กล้าทำถึงขนาดนั้นมาก่อนเลย!

 

 

เจ้าที่มาใหม่ผู้นี้ ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมแต่ว่ายังมีความกล้ามากอีกด้วย!

 

 

จัดแจงแย่งชิงความสำคัญถึงเพียงนี้ จะให้ฮ่องเต้หญิงไม่ทรงหวั่นไหวพระทัยก็คงจะยากละมั้ง?

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูท่าทางของซูเยาอยู่ๆก็คิดขึ้นมาว่าตนเองก็เคยจูบหลังเท้าของผู้อื่นเช่นกัน

 

 

ในสมองพลันเกิดภาพทะเลสาบหยู่จื่อถานปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ช่างน่าตายจริงๆ! ทั้งๆที่ตัดสินใจจะโยนคนผู้นั้นทิ้งไปให้ไกลพันลี้แล้วแท้ๆ พอไม่ทันระวัง ใจก็เกิดคิดขึ้นมาเสียได้!

 

 

นางขมวคคิ้วแนบแน่น สีหน้าไม่สบอารมณ์

 

 

เหล่าพี่ชายตัวน้อยๆที่เมื่อครู่กำลังอิจฉาริษยากันใหญ่ก็พลันยินดีขึ้นมา

 

 

คนมาใหม่มีความกล้าก็เรื่องหนึ่ง แต่ดูท่าจะประจบจนเกินงามไปแล้ว

 

 

ดูฮ่องเต้หญิงสิ เห็นชัดเลยว่าไม่ได้ทรงสบพระทัย

 

 

ซูเยาก็ไม่ได้ตื่นตระหนก เขาคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ที่ข้างเตียงของตู๋กูซิงหลัน มือข้างหนึ่งประคองฝ่าเท้าหยกของนาง มืออีกข้างก็สวมรองเท้าปักลายบุปผาสีแดงลงไป

 

 

จากนั้น ก็สวมอีกข้างให้นางอย่างไม่รีบไม่ร้อน

 

 

ราวกับว่าเป็นสุภาพชนที่มีความยับยั้งช่างใจเป็นอย่างดี

 

 

“อาหลัน วันนี้อากาศดีมากเลย พวกเราออกไปข้างนอกด้วยกันดีไหม?”

 

 

จากนั้นซูเยาก็ยื่นมือไปช่วยพยุงนางลงมา “ตอนที่ข้ามาถึง เห็นดอกไม้ในเมืองหวงตูผลิบานงดงามตลอดทางไปจนถึงนอกเมืองเลย ช่างน่าชมอย่างยิ่ง อยากจะไปดูพร้อมๆกับเจ้า”

 

 

นี่เป็นวันแรกที่เขากับอาหลันอยู่ร่วมกัน ถือว่าเป็นการนัดหมายเล็กๆระหว่างเขากับนางแล้วกัน

 

 

แค่ได้เดินชมอะไรไปเรื่อยๆกับนางเขาก็มีความสุขมากแล้ว

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดีนัก ไม่รู้ว่าเขาดูออกได้อย่างไรว่าอากาศดี

 

 

“เรายังต้องออกว่าราชการยามเช้า” นางลุกขึ้นยืน รับฉลองพระองค์คลุมชั้นนอกจากพี่ชายตัวน้อยผู้หนึ่งมาสวมใส่ จากนั้นก็ลูบไล้ศีรษะของซูเยาเบาๆ “เราเลิกประชุมเช้าแล้วค่อยมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า คนดี”

 

 

ซูเยาสูงกว่านางครึ่งศีรษะแท้ๆ

 

 

แต่เขากลับย่อเข่าลงให้นางลูบผม

 

 

“ตกลง” ว่าแล้วซูเยาก็พยักหน้า ดวงตาเป็นประกายราวกับดวงดาวกระพริบ “งั้นข้าจะรอเจ้านะ”

 

 

เจ้าตัวร้าย ยามยิ้มหวานออกมายังเห็นถึงเขี้ยวน้อยๆ

 

 

เขาอายุมากกว่านาง ร่างสูงกว่านาง แต่ว่าในสายตาของตู๋กูซิงหลัน กลับเห็นเป็นลูกจิ้งจอกน้อยไม่หย่านมที่ยังไม่มีกระทั่งกรงเล็บเสียอย่างนั้น

 

 

นางยิ่งลูบผมเบาๆอย่างนุ่มนวลกว่าเดิม

 

 

เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายพากันอิจฉาริษยาจนตาแดงแล้ว ต่างก็ล้อมเข้ามารอบกายตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท พวกเราก็อยากจะออกไปเป็นเพื่อนพระองค์”

 

 

 

 

 

 

…………………………………………

 

 

ไรท์:

 

 

ตอนต่อไป “มนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตก”