ตอนที่ 390 มนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตก

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“ฝ่าบาท พระองค์มิอาจประทานพระเมตตาเพียงแค่บางคนนะพะยะค่ะ!” หนุ่มน้อยเซี่ยวเหลี่ยที่เมื่อวานพึ่งจะได้นอนข้างพระองค์ วันนี้ก็ต้องสูญเสียความโปรดปรานไปเสียแล้ว 

 

 

ในหัวใจมีแต่น้ำขมๆ 

 

 

เขาน้ำตาคลอหน่วย พลางกัดริมฝีปากด้วยท่าทางน่าสงสาร 

 

 

“หากว่าฝ่าบาททรงรังเกียจว่าพวกเราไม่น่าดูเท่ากับเขา พวกเราจะสวมหน้ากากเอาไว้ก็ได้พะยะค่ะ” 

 

 

เหล่าหนุ่มน้อยยอมถอยจนถึงที่สุดแล้ว 

 

 

มิว่าจะอย่างไร การได้อยู่ข้างกายฝ่าบาทก็นับว่าดีกว่าใช่หรือไม่? จะได้เผยโฉมหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าเผยโฉมหน้า…….แล้วต้องมาโดนเปรียบเทียบกับคนใหม่ผู้นั้น มีหวังต้องถูกเปรียบจนหมดความมั่นใจในตนเอง แบบนี้มิสู้ปิดเอาไว้ดีกว่า 

 

 

“ไปสิ ไปกันหมดทุกคนเลย” ตู๋กูซิงหลันแจกจ่ายความรักอย่างเท่าเทียม 

 

 

วิญญาณทมิฬกลอกตาขาว……นับตั้งแต่ที่ได้เป็นฮ่องเต้หญิงสตรีผู้นี้ก็เอาแต่ใจใหญ่แล้ว สร้างต้นแบบของสตรีเสเพลขึ้นมา 

 

 

แต่ว่าพ่อหนุ่มน้อยเหล่านั้นกลับยินดีถูกหยอกเย้าอย่างเต็มใจ 

 

 

แต่ละคนๆ หากนำไปเลี้ยงดูปลุกปั้นที่โลกโน้นละก็ ต้องได้เป็นยอดนายแบบหรือไม่ดาราใหญ่ไปแล้ว! 

 

 

รูปร่างหน้าตาอย่างพวกเจ้า หากออกไปภายนอกต้องการสตรีแบบไหนล้วนหาได้ทั้งนั้นกลับจะมายอมเป็นของตายอยู่กับหลันหลันเช่นนี้? 

 

 

เจ้าจิ้งจอกตัวนั้นกลับไม่โกรธเคือง ไม่เพียงไม่โกรธ ซ้ำยังยิ้มแย้มพราวอย่างใจกว้างออกมา “อาหลัน ไปข้างนอกมีฉากหลังติดตามก็ถือว่าดีไม่เลว” 

 

 

วิญญาณทมิฬ “เฮอะ เฮอะ เฮอะ…..เจ้าสุนัขจิ้งจอก เจ้ามันร้าย!” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “ซุกซนนัก” 

 

 

……………………………………………… 

 

 

เมืองหวงตูของแคว้นเหยียนติดกับทะเล ภูมิอากาศจึงอบอุ่นกว่าต้าโจวมาก 

 

 

ยังไม่ทันถึงต้นฤดูร้อน เมืองหวงตูก็มีสาระพัดบุปผาเบ่งบานแล้ว 

 

 

ดอกซานฉาคือดอกไม้ประจำแคว้นเหยียน ดอกซานฉาสีแดง เหลือง ชมพู ขาว ล้วนผลิบานตลอดสองข้างทางของเมืองหวงตู 

 

 

สดสวน และงดงาม 

 

 

ตาร้านอาหารและโรงเตี้ยมมีผู้คนมากมาน ส่งเสียงครึกครื้น การค้าก็คึกคัก ทั่วทั้งเมืองหวงตูมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง 

 

 

นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันขึ้นเป็นฮ่องเต้ ผู้คนที่มายังแคว้นเหยียนเพื่อทำการค้าก็มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน 

 

 

เมืองหวงตูของแคว้นเหยียนจึงยิ่งคึกคักกว่าเดิม 

 

 

พอมีพ่อค้าจากต่างแคว้นผ่านไปผ่านมา สินต้าที่แปลกตาก็ยิ่งมีหลากหลายเพิ่มขึ้น 

 

 

ท่ามกลางความคึกคักวุ่นวาย มีร่างสีแดงสองร่างดึงดูดสายตาผู้คน 

 

 

บนถนนตะวันตก มีผู้คนไม่น้อยต่างคอยมองตาม 

 

 

ทั้งสองต่างสวมใส่ชุดสีแดงเหมือนกัน คุณชายที่ตัวสูงกว่าดูงดงามอย่างร้ายกาจ คุณชายที่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อยดูองอาจสง่างามเกินธรรมดา 

 

 

ที่ด้านหลังของพวกเขา มีบุรุษหน้าตาดีอีกสิบกว่าคนติดตามมา 

 

 

แต่ละคนรูปร่างสูงโปร่ง รูปโฉมไม่ธรรมดา 

 

 

องครักษ์ของตระกูลตู๋กูเพียงคอยติดตามมาอารักขาอย่างเงียบๆ 

 

 

นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงขึ้นครองราชย์มาก็เอาแต่เก็บพระองค์อยู่ในวัง ไม่เคยเสด็จออกมาก่อน 

 

 

คุณชายใหญ่และคุณชายรองต่างก็กังวลว่านางจะเก็บกดจนเกิดปัญหา จึงพยายามจะชักชวนให้นางออกมาเพื่อผ่อนคลายบ้าง แต่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จ 

 

 

คิดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะเสด็จออกมาด้วยพระองค์เอง 

 

 

…………………………….. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด นางสวมใส่ชุดแดงทั้งร่าง ยามก้าวเดินก็พลิ้วไหว 

 

 

ที่ผ่านมานางมักจะคอยถ่อมตัว สวมใส่แต่สีเขียวอมดำ ดูนุ่มนวลและสุขุม 

 

 

ตอนนี้กลับให้ความรู้สึกว่า เกิดเป็นคนสมควรได้ทำตามอำเภอใจบ้าง เมื่อสวมสีแดงลงไปบนร่างยิ่งส่งเสริมให้นางดูโดดเด่นองอาจกว่าเดิม 

 

 

คนหนึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้า ด้านหลังมีเนื้อหวานหอมติดตามมาเป็นพรวน ยิ่งทำให้นางรู้สึกถึงความอู้ฟู่โอ่อ่าของตนเอง! 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่พาเหล่าละอ่อนน้อยออกมาสร้างความตระการตาบนถนน แต่ละคนจึงวางตนเรียบร้อยเกินธรรมดา 

 

 

หากว่านางมองดูสิ่งใดนานอยู่สักหน่อย ทันใดนั้นเหล่าหนุ่มน้อยก็จะพากันกุลีกุจอนับสิ่งนั้นส่งมาถึงเบื้องหน้านาง 

 

 

ในเมื่อรูปโฉมหรือราศีก็ไม่อาจเทียบได้กับคนที่สวมใส่ชุดแดงผู้นั้น ย่อมต้องเคลื่อนไหวให้เร็วหน่อยมิใช่หรือ? 

 

 

สามารถรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้หญิง นับเป็นบุญวาสนาที่พวกเขาสั่งสมมาแปดชาติ ย่อมต้องขยันขันแข็งให้มากไว้ 

 

 

“อาหลัน ชิมลูกอม” ซูเยาก็ไม่ได้ขุ่นเคือง หยิบนั่นเลือกนี่จากบรรดาสิ่งของที่พวกเขาส่งเข้ามาจนได้ลูกอมมาเม็ดหนึ่ง 

 

 

พอแกะห่อออก ก็ส่งให้ถึงปากของนาง คลี่ยิ้มดุจฤดูใบไม้ผลิออกมา 

 

 

ยิ่งเมื่อมีฉากหลังเป็นดอกซานฉาที่กำลังผลิบาน ยิ่งเป็นภาพที่งดงามเหนือบรรยาย 

 

 

ลูกอมเม็ดหนึ่งพอเข้าปาก ก็ส่งกลิ่นหอมของดอกไม้และให้รสหวานที่ทำให้ชื่นอกชื่นใจออกมา 

 

 

สิ่งของมากมายที่เหล่าหนุ่มน้อยส่งมา สุดท้ายพอถึงมือของเขา ย่อมต้องเลือกเฟ้นที่ดีที่สุดให้กับตู๋กูซิงหลัน 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “……..” 

 

 

ดังนั้นพวกเขาที่เป็นฉากหลังหยิบนั่นฉวยนี่กันอย่างวุ่นวายก็ยังเป็นได้แค่เพียงแบกหามทำงานให้กับเจ้าจิ้งจอกผู้นั้นใช่หรือไม่? 

 

 

พวกเขาล้วนหงุดหงิดใจแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ใครใช้ให้ผู้อื่นคือคนโปรดกันเล่า? 

 

 

ตลอดทางมานี้ ตู๋กูซิงหลันถูกยัดทนานจนอิ่มหนำไปแล้ว  

 

 

“เวลาอาหลันกินอาหาร ก็น่ารักมากเลย” ซูเยาคอยชมนางอยู่ตลอดเวลา หูตาพราวระยับ หวานเสียจนฟันจะร่วง 

 

 

“เจ้าเองก็น่ารัก” ตู๋กูซิงหลันยิ้มให้กับเขา พอดีกับที่มีกลีบดอกไม้จากด้านบนปลิวลงมา หล่นลงบนศีรษะของเขา 

 

 

นางยื่นมือไปหยิบออกให้ 

 

 

ในตอนนั้นเอง เกิดสายลมพัดกรูบนถนน ได้ยินเสียงเฟี้ยว ขวับ ดังมาเป็นระยะคล้ายจะเป็นเสียงแส้ฟาด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันหน้ากลับไปก็เห็นเบื้องหน้าไปไม่ไกลมีผู้คนคึกคัก ทั้งยังมีกลินทะเลโชยมาจากทางนั้นอีกด้วย 

 

 

นางเก็บมือกลับไป เดินไปชมดู 

 

 

ซูเยาเองก็ติดตามอยู่ไม่ห่าง 

 

 

เหล่าหนุ่มน้อยทั้งหลายต่างก็รีบติดตามมา 

 

 

“มนุษย์มัจฉาที่พึ่งจะจับมาจากทะเลตะวันตก! อ้าว วันนี้จะให้ทุกท่านได้เปิดหูเปิดตากันแล้ว!” 

 

 

ในตอนนั้นเอง ได้ยินน้ำเสียงหยาบหนาตะโกนดังๆออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเบียดเข้าไปในฝูงชน ก็เห็นบุรุษที่กำยำล่ำสันหลายคนแบกกรงอันหนาใหญ่มา กรงใบใหญ่นั้นมีผ้าสีเทาคลุมเอาไว้ 

 

 

ครึ่งบนของกรงเหล็กถูกครอบเอาไว้ ครึ่งล่างปล่อยโล่ง ทำให้มองเห็นขาสีเขียวอมฟ้าที่มีครีบและพังผืดคู่หนึ่ง 

 

 

“มนุษย์มัจฉา?” 

 

 

คนที่รายล้อมอยู่ต่างก็พากันคึกคักขึ้นมา แคว้นเหยียนติดกับทะเล จึงมีเรื่องเล่าขานมานานแล้ว กลางทะเลตะวันตกมักมีมนุษย์มัจฉาปรากฎตัว 

 

 

เมื่อหลายปีก่อนเคยมีคนจับมาได้ เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์มัจฉานั่นเจ้าเล่ห์มากไป หลบหนีก็เก่งกาจ จึงจับตัวได้ยาก หลายปีมานี้จึงไม่ได้พบเห็นอีก 

 

 

นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้หญิงทรงขยายการค้าให้เปิดกว้าง ในเมืองหวงตูนี้สิ่งแปลกประหลาดใดๆก็มีให้เห็น  

 

 

แม้กระทั่งมนุษย์มัจฉาที่สาปสูญไปนานแล้วก็ยังมี 

 

 

“นี่มันใช่ของจริงหรือไม่!” บางคนยังรู้สึกประหลาดใจเกินคาด 

 

 

พอเขาเอ่ยออกมา ก็เห็นหนึ่งในบุรุษกำยำ เปิดผ้าคลุมกรงออก ทันใดนั้นกลิ่นน้ำทะเลที่เข้มข้นก็กำจายออกมา 

 

 

กรงใบนั้นมีขนาดเพียงห้องเล็กห้องหนึ่ง แต่เหล็กกลับหนาขนาดเท่านิ้วมือเชื่อมเป็นลูกกรงอย่างแน่นหนา 

 

 

เห็นภายในมุมหนึ่งของกรงใบใหญ่มีร่างเล็กๆร่างหนึ่งคุดคู้อยู่ ดูคล้ายร่างมนุษย์ ที่ข้อมือและข้อเท้าของเขาล้วนถูกล่ามเอาไว้ 

 

 

ผิวกายของเขาเป็นสีฟ้าอมเขียว ปกคลุมไปด้วยเกล็ดทั้งร่าง สองมือกอดหัวเข่าเอาไว้ ศีรษะก็ซุกลงไปในอ้อมแขนดวงตาสีเขียวราวกับลูกแก้วกำลังมองดูคนที่รายล้อมอยู่ด้วยความหวาดกลัว 

 

 

“เฮ้ย ไอ้ตัวน้อย เงยหน้าขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นกันหน่อย!” บุรุษกำยำผู้นั้นกระชากโซ่เหล็กกระตุกดึงข้อมือของเขาออกมา 

 

 

มนุษย์มัจฉาตัวน้อยถูกตะคอกใส่ ก็เงยหน้าสีเขียวอมฟ้าขึ้นมาให้คนตรงหน้าได้ชม 

 

 

สองข้างแก้มของเขายังมีครีบปลา พอได้รับความตกใจก็อ้าปากขึ้นมา เผยให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ส่งเสียงกรีดร้องใส่ฝูงชน 

 

 

“อ้ายย่าห์!” ฝูงชนต่างตื่นตระหนกจนต้องสูดลมหายใจเย็นเฉียบเข้าไป 

 

 

ดูจากลักษณะท่าทางแล้ว คงจะเป็นมนุษย์มัจฉาอย่างที่เล่าขานกันมาอย่างแน่นอน 

 

 

“เจ้าตัวน้อยนี่ ยังกล้าข่มขู่ผู้คนด้วย!” บุรุษกำยำผู้นั้นยกแส้ขึ้นมา ฟาดหนักๆลงไปบนกรงเหล็กครั้งหนึ่ง 

 

 

เสียงฟาดดังเพี้ยะ เจ้าตัวนั้นก็ได้แต่ตื่นตระหนกจนหลบเข้าไปในมุมลึกสุดอีกครั้ง 

 

 

จากนั้นบุรุษกำยำผู้นั้นก็หันไปกล่าวกับฝูงชนว่า “ทุกท่านสามารถชมดูให้ดี นี่เป็นมนุษย์มัจฉาจากทะเลตะวันตกจริงๆ น้ำตามนุษย์มัจฉากลายเป็นไข่มุก เมือกมัจฉาสามารถสร้างโคมฉางหมิงเติง เนื้อมนุษย์มัจฉากินแล้วจะมีอายุยืนยาวนาน ทั่วทั้งร่างล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าเชียวนะ!” 

 

 

 

 

 

 

 

 

…………………………….. 

 

 

โคมฉางหมิงเติง (炼长明灯, โคมนิรันดร์) : โคมโบราณที่จัดสร้างด้วยเทคนิคพิเศษ มีคุณสมบัติสามารถส่องสว่างอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี มักพบในสุสานโบราณต่างๆ ว่ากันว่าที่จุดได้นานเพราะวัตถุดิบที่ใช้สร้างแก่นเทียนนั้นทำจากเมือกหรือไม่ก็ไขมัน (ไม่น่าจะมีนะ ส่วนมากหุ่นดีทุกตน) ของมนุษย์มัจฉา (鲛人) แต่ที่จริงแล้ง จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์คาดว่าน่าจะเป็นไขที่ได้จากมันของปลาวาฬมากกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมโคมจึงสามารถจุดได้นานนับร้อยปีนั้น นักโบราณคดีคาดว่าเนื่องด้วยสภาพที่ปิดตายและแห้งในสุสาน ทำให้อากาศค่อยๆหมดไปเทียนจึงดับอยู่โดยรักษาสภาพไว้ พอมีการเปิดสุสานในอากาศถ่ายเทเข้ามา ด้วยคุณสมบัติที่ถูกสร้างให้จุดติดได้ง่ายบางประกาย ทำให้ผู้ที่เข้าไปในสุสานเข้าใจว่า เทียนถูกจุดอยู่ตลอดเวลา 

 

 

ตอนต่อไป “เผ่ามังกรทมิฬ”