หลังจากนั้นชั่วครู่หนึ่ง หญิงสาวทั้งสองคนก็เดินกลับลงมา “ท่านลุง ท่านผู้นำของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่”
บนยอดเทือกเขาใต้อุดรพสุธาล้วนถูกบดบังไปด้วยเส้นทางบิดเบี้ยว และกำแพงภูเขาตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตก ตลอดระยะเวลาพื้นที่หลายหลี่บนจุดสูงสุดเกือบจะไร้ซึ่งร่องรอยทิวทัศน์สีเขียว มีเพียงหินแกะสลัก และต้นไม้ใหญ่กระจายอยู่อย่างเบาบาง
ตลอดเส้นทางเดินขึ้นเขา ผู้คนที่เดินสัญจรไปมาส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้หญิงที่สวมเครื่องแต่งกายเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจำตัวของพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา ตลอดเส้นทางเดินชิงสุ่ยตรวจพบพลังงานบางอย่าง มันเป็นกลิ่นอายที่น่ากลัวปลดปล่อยมาจากด้านหลังเทือกเขา
กลิ่นอายที่โหดเหี้ยม อาจเกิดได้จากทางมนุษย์และสัตว์อสูร มันจึงเป็นเรื่องยากที่ชิงสุ่ยจะระบุเผ่าพันธุ์ได้
การเดินทางราบรื่นไปตลอดทางจนกระทั่งถึงทางเข้าห้องโถงใหญ่ เมื่อมาถึงยอดเขา หญิงสาวทั้งสองคนก็พูดคำพูดเดิมซ้ำ “ท่านลุง ท่านผู้นำของพวกเรากำลังรอท่านอยู่ในห้องโถงใหญ่”
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าพวกเธอคงไม่ได้เข้าไปกับเขา เขาจึงพยักหน้าและเดินเข้าไปในห้องโถงด้วยตัวเอง
แม้ว่าห้องโถงกว้างขวาง แต่ก็มีเสาหลักอยู่เพียงแค่ 9 เสาเรียงกันแบบ 3 แถว นอกเหนือจากโต๊ะหินแล้ว ก็มีเพียงแค่ม้าหินอีกแค่ 2 ตัว
ชิงสุ่ยชำเลืองมองภาพกว้าง ก่อนจะสังเกตเห็นคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะหิน คนผู้นั้นเป็นหญิงสาว
ต่อให้เป็นคนทั่วไปก็คิดได้ทันทีว่า หญิงสาวผู้นี้ก็คือเจ้าแห่งพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา เธอสวมเสื้อคลุมยาวสีแดงเลือดนก ใบหน้าของเธอบอบบางเหมือนผิวเด็ก จมูกโค้งมน เส้นผมขาวนวลยาวไปถึงหลัง ดวงตาของเธอรำลึกเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เหมือนจมอยู่ในบ่อแห่งสติปัญญา 8 รอบกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แสนเยือกเย็น เย้ายวนน่าประหลาด ภาพรวมแล้วเธอเธอเป็นคนน่ารักน่าชัง ไปด้วยกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว มันทำให้ผู้คนรอบข้างไม่กล้ามองเธอโดยตรงๆ
หูของเธอปรากฏให้เห็นเป็นตุ้มหูลวดลายมังกร เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันไม่มีทางเป็นเพียงแค่ต่างหูธรรมดา ความสูงของเธอเกือบจะเทียบเท่ากับชิงสุ่ย ร่างกายของเธอค่อนข้างผอมเพียว มีเรียวขาที่ยาว ผ้าผูกสีแดงแถบทองที่พันรอบเอว ผนวกกับผ้าสีดำยิ่งทำให้เธอดูมีความสง่างามเหนือผู้อื่นใด
ชิงสุ่ยจ้องมองเธออยู่สักพัก ก่อนจะฟื้นคืนสติ
“ยินดีต้อนรับ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตเสี่ยวหมี่และเสี่ยวเยวี่ย ไม่ทราบว่าข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร?”หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากโต๊ะหิน
ทุกก้าวเดิน เส้นผมของเธอเคลื่อนไหวไปตามสายลมสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงจิตใจของเขา
เธอหยุดห่างจากชิงสุ่ยเพียงไม่กี่จั้ง แต่กลิ่นหอมจากตัวของเธอมันทำให้จิตใจของชิงสุ่ยพุ่งพล่าน
“ข้าชิงสุย ไม่ต้องกังวล สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกสาวของข้าก็อยู่ในความดูแลของเจ้า เจ้าแห่งพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา”
“ลูกสาวของเจ้า?”เจ้าแห่งพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวผู้นี้แสดงสีหน้าสนใจ เธอมีความน่าประทับใจตั้งแต่แรกพบยิ่งกว่าตงฟ่างจือซิ่วเสียอีก
“ลูกสาวของข้าก็คือหลวนหลวน หากนับตามที่นางบอก นางคือรองเจ้าวังพระราชวังอมตะใต้อุดรพสุธา”
“ช่างน่ามหัศจรรย์!! เจ้าคือพ่อของเจ้าหนูน้อย ดูเหมือนพวกเราจะกลายเป็นครอบครัวใหญ่”ใบหน้าอันแสนงดงามปรากฏให้เห็นเป็นรอยยิ้ม รอยยิ้มที่เหนือคำบรรยาย
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างงุ่มง่ามขณะที่จดจ่ออยู่กับใบหน้าของเธอ “เจ้าช่างงดงามยิ่ง ข้ายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ”
ในสายตาของเธอ ชิงสุ่ยไม่ใช่คนที่เธอให้ความรู้สึกเกลียด แต่มันตรงกันข้าม สายตาของเธอตอนนี้เต็มไปด้วยความชื่นชม
“ขอบคุณมาก ข้า เป่ยหมิงเสวี่ย!!”
“เชิญนั่งก่อนเถิด และต้องขอโทษที่เก้าอี้ค่อนข้างเรียบง่ายอาจจะหยาบกระด้างเล็กน้อย”หญิงสาวคนนั้นพ่ายมือเชิญชิงสุ่ยให้มานั่งที่โต๊ะหิน
ผู้คนมากมายต่างก็ยืนรออยู่หน้าห้องโถง งานประชุมใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น ทุกคนทำได้เพียงแค่ยืน มีเพียงแค่คนสำคัญเท่านั้นที่จะได้นั่งบนเก้าอี้หิน
เธอถือกาน้ำชาเดินตรงมาหาชิงสุ่ยและค่อยๆรินถ้วยน้ำชาให้กับเธอและเขา
“หลวนหลวนคืออัจฉริยะ อย่าพานางไปจากข้าเลย”เป่ยหมิงเสวี่ยกล่าวติดตลกขณะรินน้ำชา
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น? โดยปกติแล้วตัวข้าเองก็ยุ่งมากจนแทบจะไม่ได้พบหน้าเธอเลยตลอด 8-9 ปีที่ผ่านมา”ชิงสุ่ยส่ายหน้า
“ยุ่งมาก?”เป่ยหมิงเสวี่ยแปลกใจ
“ข้าเองยุ่งจนไม่รู้ว่าข้าควรทำอะไรต่อไป และทุกสิ่งที่ทำไปก็เหมือนไร้จุดหมาย ต่างจากแม่นางเป่ยหมิง ที่บรรลุความแข็งแกร่งตั้งแต่ยังเยาว์วัย”
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ายังเยาว์วัย? บางทีอาจจะเป็นหญิงแก่”เป่ยหมิงเสวี่ยหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยยิ้มให้กับเธอ “ข้าเป็นถึงหมอ ข้าสามารถบอกได้ทุกอย่าง”
“ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นหมอ ขออภัยที่ไม่สุภาพ”เป่ยหมิงเสวี่ยตกตะลึง
“สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงองค์ประกอบ อย่าได้ใส่ใจเลย”ชิงสุ่ยหัวเราะ
“ถ้าเช่นนั้น โปรดตรวจสอบตัวข้าหน่อยได้หรือไม่ ว่าตัวของข้ามีปัญหาอันใดซ่อนอยู่บ้าง”เป่ยหมิงเสวี่ยกล่าวร้องขอ
ผู้คนในโลกแต่ละใบล้วนมีนิสัยเหมือนกัน เมื่อพวกเขาเจอหน้าหมอ แต่ละคนก็อยากจะรู้ว่าร่างกายของตนเองยังดีมากเพียงใด เพราะถ้าหากมีบางสิ่งผิดปกติพวกเขาจะได้รักษามันอย่างทันท่วงที
ชิงสุ่ยจ้องมองเป่ยหมิงเสวี่ยเพียงแค่ชั่วครู่เดียวก่อนจะตอบว่า “เจ้าไม่มีปัญหาใด”
เป่ยหมิงเสวี่ยคงคิดว่าชิงสุ่ยเป็นเพียงแค่หมอธรรมดาทั่วๆไป
“อย่างไรก็ตาม ทุกๆเดือนจะมีวันอยู่ 2-3 วัน ที่เจ้าจะรู้สึกไม่ค่อยดี แม้ว่าจะเป็นตอนฝึกฝน เจ้าก็รู้สึกไม่สบายใจ”
คำพูดของชิงสุ่ย ทำให้เป่ยหมิงเสวี่ยถึงกับประหลาดใจ เรื่องนี้คือเรื่องผิดปกติที่เธอรู้เพียงผู้เดียว เธอแสดงสีหน้าเขินอาย ซึ่งเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล เธอเพียงแค่ต้องการคำปรึกษา แต่ไม่ได้คิดเลยว่าเขาจะตระหนักถึงอาการผิดปกตินี้
��