Ch.11 – ตอนที่ 20-21 ต่อให้นายทำตัวไม่แยแสต่อคนทั้งโลก

Translator : Akanirawan / Author

 

ตอนที่ 20ต่อให้นายทำตัวไม่แยแสต่อคนทั้งโลก แต่นายเคยปล่อยให้เธอทนรับความเจ็บปวดใจแม้แต่นิดเดียวได้ที่ไหน (1/2)

เพราะการพ่นของที่มีเต็มปากออกของซูเจี๋ยนครั้งนี้กินเนื้อที่เป็นวงกว้างเกินไป มื้อเที่ยงอันหรูหราจึงถูกทำลายล้างไปโดยสิ้นเชิง สุดท้ายซูเจี๋ยนก็ได้แต่ทำบะหมี่ไข่ใส่มะเขือเทศออกมาอีกชามหนึ่ง

วันหยุดสุดสัปดาห์ก็จบสิ้นไปอย่างยุ่งเหยิงวุ่นวายคล้ายกับไก่บินสุนัขกระโดดเช่นนี้เอง เช้าตรู่วันจันทร์ ยามที่ซูเจี๋ยนตื่นขึ้นมา อันอี่เจ๋อก็ออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว

หลังจากกระโดดโหยงๆ วนทั่วห้องอยู่เพียงลำพังรอบหนึ่ง ซูเจี๋ยนก็จบลงด้วยการกลับเข้าไปในห้องตัวเองอย่างเซื่องซึมซังกะตาย

ยังไม่ต้องพูดถึงว่า ในที่แห่งนี้ เมื่อปราศจากอันอี่เจ๋อให้กลั่นแกล้งแล้ว ก็ชวนให้เบื่อหน่ายอย่างมาก

อีกทั้ง ยังไม่มีคนคอยเตรียมอาหารเช้ามาให้อีกต่างหาก…..

เมื่อคืนวาน อันอี่เจ๋อยังได้มอบเงินสดไว้ให้เขาจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังให้เบอร์โทรศัพท์สำหรับสั่งอาหารอร่อยๆ จากร้านข้างนอกเข้ามาทาน ทั้งยังบอกว่า จะทำอาหารเองหรือจะสั่งเข้ามาจากข้างนอกก็ได้ ในขณะเดียวกันก็ส่งบัตรเครดิตใบหนึ่งมาให้ จำกัดวงเงินที่หนึ่งล้านหยวน (~4.3 ล้านบาท) บอกว่าอยากซื้ออะไรก็จัดการตามใจชอบได้เลย

ปู่คนนี้ได้กลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน! ซูเจี๋ยนหยิบบัตรเครดิตออกมาลูบๆ คลำๆ ทว่ากลับไม่มีกะจิตกะใจจะใช้เงินในตอนนี้

ดังนั้น วันทั้งวันของซูเจี๋ยนก็ผ่านไปเช่นนี้เอง : อาหารเช้า–ไม่ได้ทาน; ช่วงเช้า–เล่นเกมส์ออนไลน์, อาหารกลางวัน–เกี๊ยวนึ่งแช่แข็งซองหนึ่ง; ช่วงบ่าย–งีบหลับ

เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ก็เลยเวลาบ่ายสามโมงไปแล้ว ซูเจี๋ยนได้แต่กระสับกระส่ายไปมาอยู่ในบ้าน นึกอยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย จากนั้นจึงเพิ่งนึกถึงปัญหาสำคัญข้อหนึ่งขึ้นมาได้ : อันอี่เจ๋อเตรียมทั้งเงินสดทั้งบัตรเครดิตให้เสียดิบดี แต่กลับลืมให้กุญแจบ้าน!

ควานหาไปทั่วห้องแล้ว ก็ยังหากุญแจของสาวน้อยซูไม่เจอ ซูเจี๋ยนได้แต่ขยับไปนั่งเหม่ออยู่นอกระเบียง เหมือนเจ้านกกระจอกน้อยที่ถูกขังไว้ในกรง ได้แต่มองออกไปข้างนอกด้วยแววตาละห้อยหดหู่จนน่าสงสาร ต้องบอกว่าละแวกที่ดินระดับไฮคลาสก็ช่างสมเป็นที่ดินระดับไฮคลาสจริงๆ ทัศนียภาพโดยรอบนั้นงดงามสบายตาอย่างมาก…..

ถูกขังอยู่ในบ้านมาหนึ่งวันเต็มๆ ซูเจี๋ยนก็นึกอยากจะออกไปเดินเล่นบ้างแล้ว

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูเจี๋ยนก็ตัดสินใจโทรหาอันอี่เจ๋อ

ทางฝั่งอันอี่เจ๋อนั้นกำลังติดประชุมอยู่ หลังจากเหลือบตามองเบอร์ที่โทรเข้ามาหา ก็อดขมวดคิ้วแน่นไม่ได้

“เจี๋ยนเจี่ยน?”

เพราะคำเรียกหาอันใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ แม้ว่าท่านประธานกรรมการของพวกเขาจะยังมีสีหน้าเรียบนิ่งอยู่เหมือนเดิม แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนลงไม่น้อย ดังนั้น บรรดาผู้บริหารระดับสูงที่เข้าร่วมประชุมจึงได้แต่วางท่า ‘ฉันไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น’ ออกมาให้เห็น ทว่าอันที่จริงใบหูกลับตั้งผึงกันทุกคนแล้ว

ซูเจี๋ยนรู้สึกอึดอัดขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย : “คุณจะกลับมาตอนไหนเหรอ” ชะงักไปครู่หนึ่งก็รีบกล่าวเสริม : “ฉันจะได้เตรียมทำมื้อเย็นให้พอดีเวลา”

อันอี่เจ๋อนิ่งงันไป อันที่จริงคืนนี้เขามีนัดทานอาหารมื้อค่ำเพื่อพบปะพูดคุยทางธุรกิจอยู่แล้ว แม้จะไม่ได้สำคัญมากนัก แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะกลับไปทานอาหารเย็นที่บ้านวันนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลของสาวน้อยที่ปลายสายอีกฝั่งกล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกขึ้นมาว่า การกลับบ้านไปทานมื้อเย็นก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย

ตลอดช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีบางโอกาสที่เขาได้กลับไปทานมื้อเย็นที่บ้านอยู่บ้าง แต่จำนวนครั้งก็น้อยนิดอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วเขามักจะทำงานล่วงเวลาหรือไม่ก็มีนัดทานอาหารมื้อเย็นอยู่เสมอ ส่วนเธอก็จะทำอาหารทานเองอยู่ที่บ้าน ถึงแม้เธอจะส่งข้อความมาถามทุกวันว่าเขาจะกลับบ้านไปทานอาหารมื้อเย็นหรือไม่ แต่ภาษาที่ใช้ก็เฉยชามาก เหมือนแค่ต้องการจะรู้ว่าต้องเตรียมอาหารเผื่ออีกที่หนึ่งหรือไม่เท่านั้น ถึงแม้พวกเขาได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะแสร้งทำตัวเป็นคู่แต่งงานที่รักใคร่กันอย่างสุดซึ้งต่อหน้าคนอื่น แต่ถึงอย่างไร กว่าหนึ่งเดือนก่อน พวกเขาก็เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันแม้แต่น้อย อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็มีแผลใจของตัวเองอยู่เป็นทุนเดิม

ช่วงที่ผ่านมา เธอไม่เคยโทรหาเขาแบบนี้มาก่อน ทั้งในน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลนั้นยังแฝงเร้นมาด้วยความคาดหวังรอคอยที่ไม่อาจปกปิดไว้ได้สายหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตลอดหนึ่งเดือน เธอมักจะระมัดระวังจนเกินไป เพียงแสดงออกอย่างสุภาพเรียบร้อย ทั้งยังเงียบงันไม่ค่อยพูดจา ไม่เหมือนความร่าเริงเป็นธรรมชาติหลังสูญเสียความทรงจำไปเลยแม้แต่น้อย แม้จะมีหลายครั้งที่ตรงไปตรงมาเสียจนทำให้ผู้คนไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี หรือจะเป็นอย่างที่เธอบอกไว้จริงๆ ว่านี่ก็คือตัวตนที่แท้จริงของเธอ เพราะสูญเสียความทรงจำไป เธอก็เลยกลายเป็นเปิดเผยจริงใจ กล้าแสดงนิสัยที่แท้จริงออกมาต่อหน้าเขา?

และด้วยเหตุนี้เอง ยามอยู่ต่อหน้าเธอ เขาจึงได้ผ่อนคลายบุคลิกเคร่งขรึมเย็นชาของตนเองลงโดยไม่รู้ตัว

อันอี่เจ๋อเปิดปากกล่าวตอบ : “ฉันจะเลิกงานกลับบ้านตอนห้าโมงครึ่ง”

เขาครุ่นคิดในใจ เพราะฝีมือการทำอาหารของเธอยอดเยี่ยมมาก การกลับบ้านไปทานอาหารก็เลยกลายเป็นเรื่องที่ชวนให้รู้สึกคาดหวังเฝ้าคอยขึ้นมา

ส่วนบรรดาผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายที่นั่งแอบฟังกันอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น ก็ได้ยินท่านประธานกรรมการที่ปกติจะเคร่งเครียดเย็นชาอยู่เป็นนิจของพวกเขา ถึงกับยอมยกเลิกนัดเพื่อกลับไปทานมื้อเย็นที่บ้าน อีกทั้งพวกเขายังได้เห็นสีหน้าแววตาอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งของท่านประธานอีกด้วย

มีความสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ คงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ ที่ปลายสายอีกด้านย่อมต้องเป็นคุณผู้หญิงของท่านประธานของพวกเขาแน่นอน! ที่เคยได้ยินมาว่าความรักที่ท่านประธานกับคุณผู้หญิงมีต่อกันนั้นหนักแน่นมั่นคงเสียยิ่งกว่าทองคำ ตอนนี้เห็นทีจะไม่ผิดพลาดแล้ว

หลังเลิกประชุม ประธานฝ่ายบริหารนามว่า ‘จี้หมิงเฟย’ ก็เอื้อมมือมาตบบ่าอันอี่เจ๋อ แสยะยิ้มล้อเลียนอย่างมีเลศนัย : “อะไรกัน ได้ยินว่าคืนนี้นายมีนัดทานอาหารกับเฉินเหมียนจากเครือบริษัทตระกูลอิ๋งไม่ใช่เหรอ ไหงกลายเป็นจะเลิกงานกลับบ้านตรงเวลาไปซะได้”

จี้หมิงเฟยเป็นเพื่อนสนิทของอันอี่เจ๋อ อีกทั้งยังเป็นบุคคลนอกเพียงคนเดียว ที่รับรู้เรื่องการแต่งงานแบบมีเงื่อนไขแฝงเร้นในครั้งนี้ ชายหนุ่มทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย หลังจากนั้น เมื่ออันอี่เจ๋อได้เข้ามากุมบังเหียนบริหารงานที่บริษัท CMI อย่างเต็มตัว เป็นธรรมดาที่จี้หมิงเฟยจะเข้ามาช่วยเพื่อนทำงานแบบไม่มีข้อบกพร่องอะไรให้ตำหนิได้

อันอี่เจ๋อไม่แยแสใส่ใจคำถามของเขาแม้แต่น้อย จี้หมิงเฟยก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร เพียงยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี เดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในห้องทำงานประธานกรรมการ : “ดูเหมือนสาวน้อยซูเจี๋ยนนี่ก็ไม่เลวเลยนี่นา!”

อันอี่เจ๋อพลิกเปิดหน้าเอกสารด้วยจิตใจจดจ่อ เพิกเฉยต่อการล้อเลียนของเพื่อนสนิทไปโดยสิ้นเชิง

จี้หมิงเฟยจุปากส่ายหน้า : “ฉันว่านะนายน้อยอัน นายไม่จำเป็นต้องทำตัวเฉยชาตายด้านขนาดนี้ก็ได้มั้ง”

มือของอันอี่เจ๋อที่พลิกเปิดเอกสารค่อยๆ หยุดลงอย่างเชื่องช้า จู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย : “อาเฟย นายว่า เป็นเพราะฉันเฉยชาตายด้านแบบนี้รึเปล่า เธอถึงได้….เลือกจากไป”

จี้หมิงเฟยขมวดคิ้ว : “แน่นอนว่าไม่ใช่! ต่อให้นายทำตัวไม่แยแสต่อคนทั้งโลก แต่นายเคยปล่อยให้เธอทนรับความเจ็บปวดใจแม้แต่นิดเดียวได้ที่ไหน?”

อันอี่เจ๋อยิ้มอย่างขมขื่น : “งั้นทำไมเธอถึงยัง….”

จี้หมิงเฟยเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน : “อี่เจ๋อ เป็นเธอต่างหากที่ไม่ดีพอสำหรับนาย”

สีหน้าของอันอี่เจ๋อค่อยๆ กลับสู่ความเยือกเย็นดังเดิม : “งั้น ฉันก็จะไม่เปิดโอกาสให้เธอได้กลับมาอีก”

จี้หมิงเฟยฝืนเค้นรอยยิ้มแห้งแล้งออกมา : “ถ้านายปล่อยวางเรื่องทั้งหมดได้จริงๆ ก็เป็นการดีที่สุดแล้ว”

หลังหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ : “อันที่จริง ฉันลองไปตรวจสอบมาแล้วล่ะ สาวน้อยซูเจี๋ยนคนนี้ พื้นเพเบื้องหลังขาวสะอาดบริสุทธิ์ดีมาก ถึงเธอจะไม่ใช่แบบที่นายชอบ แต่ยังไงพวกนายก็แต่งงานแต่งการกันไปแล้ว ไม่สู้นายลองเปิดใจดูซักหน่อย”

“พวกเราก็แค่ตกลงแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น” อันอี่เจ๋อกล่าวตอบเสียงเรียบเรื่อย จากนั้นก็ชะงักค้างไปชั่วอึดใจ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองจี้หมิงเฟย : “ฉันจำได้ว่าซูเจี๋ยนก็ไม่ใช่แบบที่นายชอบเหมือนกันนี่”

จี้หมิงเฟยตอบยิ้มๆ : “ถึงฉันจะไม่ค่อยชอบสไตล์สาวน้อยวัยใสแบบนั้นเท่าไหร่ แต่สำหรับสาวน้อยบ้านนายคนนั้น สัดส่วนเธอเด็ดสุดๆ ไปเลยจริงๆ…..”

“อาเฟย!” อันอี่เจ๋อใช้น้ำเสียงเข้มลึกหยุดวาจาของจี้หมิงเฟยทันที

“โอเค โอเค เมียเพื่อนจะเอามาล้อเล่นไม่ได้สินะ ฉันไม่พูดมากแล้ว” จี้หมิงเฟยยอมหยุดปากอย่างฉับพลัน เห็นสีหน้าหนักอึ้งขรึมเครียดของอันอี่เจ๋อแล้ว ในใจก็ลอบหัวเราะเสียงดัง : เป็นห่วงเป็นใยกันถึงขนาดนี้แล้วชัดๆ กลับยังไม่รู้ตัวเองอีก ส่วนเรื่องที่ว่าสุดท้ายทั้งสองคนจะจบลงแค่ ‘ข้อตกลงแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น’ จริงหรือไม่ เห็นทีจะขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ สาวน้อยซูเจี๋ยน!

……………………………….

ตอนที่ 21ต่อให้นายทำตัวไม่แยแสต่อคนทั้งโลก แต่นายเคยปล่อยให้เธอทนรับความเจ็บปวดใจแม้แต่นิดเดียวได้ที่ไหน (2/2)

ตอนที่อันอี่เจ๋อกลับมาถึงบ้าน ซูเจี๋ยนก็เตรียมอาหารเสร็จพอดี

“กลับมาแล้วเหรอ” ซูเจี๋ยนชะเง้อคอมองมายังห้องนั่งเล่น : “มาช่วยฉันยกจานพวกนี้ออกไปหน่อยสิ” แม้ว่าตนจะสามารถคิดหาวิธีเคลื่อนย้ายจานชามเหล่านี้ไปไว้บนโต๊ะอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยสภาพของตนตอนนี้ที่แทบนับได้ว่าพิการไปครึ่งหนึ่ง ก็คงจะทำได้อย่างยากลำบากเอามากๆ ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียงอันอี่เจ๋อกลับเข้ามาแล้ว ตนก็ย่อมจะผลักภาระนี้ไปให้เจ้าคนแซ่อันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

อันอี่เจ๋อก้าวขายาวๆ เข้ามา ยกจานอาหารออกไปวางเรียงบนโต๊ะได้ครบแบบสบายๆ อีกทั้งยังจัดเตรียมถ้วยข้าวสำหรับสองคนเอาไว้เรียบร้อย แล้วจึงยื่นส่งช้อนกับตะเกียบมาให้

ซูเจี๋ยนนั่งรออย่างเชื่อฟัง รับการปรนนิบัติดูแลจากชายหนุ่มอย่างเพลิดเพลิน ทั้งยังไม่ลืมกล่าวย้ำเตือนเขา : “กินเสร็จแล้วอย่าลืมล้างจานด้วยนะ!” พอเห็นว่าสีหน้าของอันอี่เจ๋อดูไม่ค่อยยินยอมพร้อมใจนัก ก็รีบช้อนตาขึ้นมองอย่างอ้อนวอน : “ฉันพิการครึ่งตัวแบบนี้แล้ว คุณยังจะให้ฉันล้างจานอีกเหรอ แถมอาหารพวกนี้ฉันก็เป็นคนทำด้วย!” ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้นายเป็นท่านปู่น้อยที่คอยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับฉัน ท่านปู่น้อยคนนี้ไม่มีทางยอมก้มหัวงอเข่าทำกับข้าวไว้ให้นายแบบนี้ด้วยซ้ำ!

อันอี่เจ๋อยอมตอบรับออกมาในที่สุด : “รู้แล้ว”

ซูเจี๋ยนพออกพอใจ เห็นว่าอันอี่เจ๋อเริ่มทานเนื้อปลาเข้าไปแล้ว ก็จ้องมองอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น

อันอี่เจ๋อเองก็รู้ จึงกล่าวออกมาตามความสัตย์จริง : “อร่อยมาก”

ซูเจี๋ยนเสพรับความภาคภูมิใจในตัวเองอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นตะเกียบไปคีบเนื้อปลามาใส่ปากคำหนึ่งบ้าง

อึดใจต่อมา ใบหน้าของซูเจี๋ยนก็แข็งค้าง

อันอี่เจ๋อเห็นว่าเรื่องราวดูไม่ปกติ จึงวางตะเกียบลงทันที : “เป็นอะไรไป”

ซูเจี๋ยน : “ก้างปลา….ติดคอ….”

อันอี่เจ๋อ : “……..”

แม้จะรู้สึกอับจนถ้อยคำอยู่บ้าง แต่อันอี่เจ๋อก็ยังพยายามให้การช่วยเหลือเป็นอย่างดี เพราะสาวน้อยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยามนี้ ถูกก้างปลาทิ่มแทงลำคอเสียจนหยาดน้ำเอ่อคลอเต็มเบ้าตา พูดจาออกมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว…..

อันอี่เจ๋อพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ กล่าวถามเสียงทุ้ม : “ดีขึ้นรึยัง”

ซูเจี๋ยนสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกใหญ่ ยกมือปาดน้ำตาลวกๆ : “อา ในที่สุดก็ลงไปแล้ว! นึกว่าจะตายแล้วซะอีก!”

อันอี่เจ๋อกล่าว : “แล้วปลานี่เธอยังจะกินต่อรึเปล่า”

ซูเจี๋ยนหดคออย่างเข็ดขยาด โบกไม้โบกมือเป็นการใหญ่ : “ไม่กินแล้ว ไม่กินแล้ว ไม่ใช่คุณบอกว่ามันอร่อยมากหรอกเหรอ งั้นคุณก็กินไปให้หมดเถอะ!”

หลังทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย อันอี่เจ๋อก็เข้าไปล้างจานในครัวอย่างยินยอมพร้อมใจ ส่วนซูเจี๋ยนเอนกายลูบท้องอยู่บนโซฟา ครางอืออาออกมาเบาๆ อย่างอึดอัด

แม่เอ๊ย นี่ล้วนเป็นเพราะฝีมือการทำครัวของตัวเองเก่งกาจจนปรุงอาหารออกมาอร่อยล้ำเลิศเกินไปแท้ๆ เลยกลายเป็นทรมานตัวเองเพราะกินอิ่มเกินไป! ถึงจะรู้ดีว่าการทานอาหารนั้นควรให้อิ่มสักแปดส่วนก็พอ แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ สำหรับตน การกินจนอิ่มก็คือการยัดให้เต็มกระเพาะ กว่าจะรู้สึกตัวว่าอิ่มตื้อก็คือตอนที่ยัดต่อไปไม่ลงแล้ว การกินครั้งนี้ก็เลยอิ่มเกินขนาดไปจนถึงสิบสองส่วน!

ซูเจี๋ยนทางหนึ่งก็นวดคลึงหน้าท้องของตัวเองไป อีกทางหนึ่งก็ส่งเสียงร้องเรียกอย่างไร้กำลัง : “อี่เจ๋อ!” หลังจากเรียกมาหลายครั้ง ในที่สุดสองพยางค์นี้ก็กล่าวออกมาได้อย่างคล่องปากคุ้นชินแล้ว

อันอี่เจ๋อล้างจานเสร็จก็ล้างมือจนสะอาด จากนั้นก็เดินออกมา : “มีอะไร?”

“อีกเดี๋ยวเราออกไปเดินเล่นกันเถอะ!” ป๊ะป๋าคนนี้โดนขังอยู่ในห้องมาทั้งวันเต็มๆ!

อันอี่เจ๋อพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้อง : “เดินย่อยอาหารหน่อยก็ดี”

รอจนซูเจี๋ยนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ อันอี่เจ๋อก็เข้ามาอุ้มร่างบางวางลงบนวีลแชร์ แล้วเข็นรถออกไปด้านนอก

เข้าไปในลิฟต์แล้ว จู่ๆ ซูเจี๋ยนก็ทำท่าคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบหันหน้ากลับมา : “อ้อ แล้วก็ เดี๋ยวพอกลับมาถึงบ้านแล้ว คุณห้ามลืมเอากุญแจให้ฉันเด็ดขาด!”

อันอี่เจ๋อรับคำในลำคอ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้น : “ตอนนี้เธออยากไปที่ไหน”

ซูเจี๋ยนตอบกลับ : “แค่บริเวณรอบๆ นี่ก็พอแล้ว”

ไม่ไกลจากตึกสูงที่พวกเขาพักอาศัยอยู่ เป็นละแวกสวนสาธารณะประจำย่านที่พักแถบนั้น ข้างในมีทั้งต้นไม้เรียงราย สระน้ำ ภูเขาหินจำลอง และยังมีศาลาถิงไถ [1] ปลูกสร้างไว้อย่างสวยงาม เพราะเป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ หลายครอบครัวจึงพากันออกมาเดินเล่น มีเด็กๆ วิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศครึกครื้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก

อันอี่เจ๋อไม่ค่อยชอบสภาพอันจอแจครึกครื้นแบบนี้สักเท่าไรนัก ทว่าซูเจี๋ยนกลับรู้สึกร่าเริงขึ้นมาก หลังจากฟื้นตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ ตนก็ได้แต่นอนนิ่งๆ อยู่ในโรงพยาบาล นอกจากนั้นแล้วก็ยังถูกขังไว้ในบ้าน ตอนนี้ในที่สุดก็ได้มีโอกาสออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกบ้างเสียที จึงมีเพียงความรู้สึกตื่นเต้นยินดี

อันอี่เจ๋อเองก็สังเกตเห็นได้ จึงยอมหยุดเดินอยู่ตรงนั้น

พวกเขาทั้งคู่ ชายหนุ่มสูงสง่าหล่อเหลา หญิงสาวงดงามละมุนละไม ทั้งยังอยู่ในสภาพเข็นวีลแชร์เข้ามา ย่อมกลายเป็นจุดดึงดูดสายตาเป็นธรรมดา ผ่านไปไม่นานก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ท่าทางใจดีท่านหนึ่งเข้ามาพูดคุยด้วยอย่างเอาใจใส่ : “ขานี่ได้รับบาดเจ็บมาหรือ”

ซูเจี๋ยนผงกศีรษะตอบอย่างร่าเริง : “ใช่ค่ะ กระดูกหักน่ะ!”

ผู้เฒ่าท่านนั้นหันไปหาอันอี่เจ๋อที่อยู่ด้านหลัง กล่าวแนะนำขึ้น : “ต้องเคี่ยวน้ำแกงกระดูกให้ภรรยาดื่มบ่อยๆ ล่ะ แบบนี้จะได้หายไวๆ!”

อันอี่เจ๋อลูบเส้นผมนุ่มของซูเจี๋ยนเบาๆ ส่งเสียง ‘อืม’ ในลำคอเป็นเชิงตอบรับคำหนึ่ง

ซูเจี๋ยนหันกลับมาชำเลืองมองเขา แล้วจึงได้เห็นว่าในแววตาของชายหนุ่มที่ส่งมาให้ตัวเองนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนรักใคร่อย่างลึกซึ้ง ตอนแรกก็ตัวสั่นไประลอกหนึ่ง จากนั้นก็พลันนึกขึ้นมาได้ : ใช่แล้ว ตอนนี้อยู่ต่อหน้าคนนอกนี่นา ตามที่ทำข้อตกลงกันไว้ พวกเราต้องจู๋จี๋กันแบบคู่รักข้าวใหม่ปลามัน!

เจ้าอันอี่เจ๋อนี่ก็สวมบทบาทเก่งไม่เบา เปลี่ยนสีหน้าเร็วชะมัด แล้วนี่การแสดงออกว่าเป็นภรรยาสาวที่ตกอยู่ในห้วงรักอย่างลึกซึ้งมันต้องทำยังไงกันล่ะเนี่ย? ซูเจี๋ยนกัดริมฝีปาก ทุ่มเทความคิดอย่างจริงจัง พอนึกได้ก็วางท่าเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ผู้มีสีหน้าอ่อนหวานและกำลังเขินอาย : “เขา…ดีมากอยู่แล้วล่ะค่ะ”

อันอี่เจ๋อที่อยู่ด้านหลังนั้นก็ได้รับความยากลำบากจนต้องตัวสั่นไประลอกหนึ่งเช่นกัน

ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งเดินเตาะแตะเข้ามา เกาะอยู่ข้างวีลแชร์ของซูเจี๋ยน แล้วกระพริบตาปริบๆ มองมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ซูเจี๋ยนยิ้มกว้าง มองดูเด็กน้อยวัยไม่เกินสองสามขวบคนนี้แล้วก็หมั่นเขี้ยวขึ้นมา ทนแล้วทนอีกอยู่นาน ในที่สุดก็อดไม่ได้ แอบหยิกพวงแก้มกลมยุ้ยของเด็กหญิงไปเบาๆ ทีหนึ่ง ไอ๊โหยว! สัมผัสนี้มันสุดยอดจริงๆ นุ่มนิ่มเด้งดึ๋งเป็นบ้า! สาวน้อยโลลินี่ช่างน่ารักดึงดูดสุดๆ ไปเลย!

ไม่คาดว่าสาวน้อยโลลินั้นจะบุ้ยปากขมวดคิ้วแน่น แผดเสียงจ้าดังอ้อแอ้แบบเด็กทารกที่ยังพูดไม่ชัด : “หม่าม๊า! หนูโดนหยิก! พี่สาวหยิกหนู!”

ซูเจี๋ยนรับชักมือกลับทันที แม่เอ๊ย โชคร้ายเกินไปแล้วจริงๆ ป๊ะป๋าแค่แกล้งสาวน้อยโลลิด้วยความเอ็นดูก็ยังถูกจับได้อีก!

แม่ของเด็กเดินเข้ามา โอบอุ้มเด็กน้อยขึ้น แต่กลับไม่ได้บ่นว่าอะไรสักคำ เพียงแย้มยิ้มให้คนทั้งคู่อย่างใจดี จากนั้นก็หันไปปลอบโยนสาวน้อยโลลิในอ้อมแขน : “พี่สาวเขาหยิกหนูเพราะเขาชอบหนูไงล่ะ! เพราะว่าพี่เขาก็อยากมีลูกน่ารักๆ ให้คุณลุงคนนี้ซักคนนึงเหมือนกันไงจ๊ะ!”

เวรเถอะ ป๊ะป๋าอยากไปมีลูกให้ไอ้เจ้าอันอี่เจ๋อนี่ตอนไหนไม่ทราบ! ป๊ะป๋าก็แค่อยากหยิกแก้มลูกบ้านนี้เพราะเห็นว่าน่ารักดีแค่นั้นแหละ! แล้วอะไรคือการเรียกไอ้เจ้าอันอี่เจ๋อว่าคุณลุง แต่กลับเรียกป๊ะป๋าคนนี้ว่าพี่สาวกันหา!

ซูเจี๋ยนได้แต่น้ำตาตกอยู่ในใจ เร่งรบเร้าอันอี่เจ๋อให้รีบถอยหนีไปจากที่นี่

หลุดพ้นจากบริเวณที่มีกลุ่มคนหนาแน่นนั้นมาได้แล้ว ก็มาถึงสถานที่เงียบสงบริมน้ำแห่งหนึ่ง ซูเจี๋ยนรีบเอ่ยปากบอกกับอันอี่เจ๋อ : “หยุดตรงนี้แหละ!” จากนั้นก็ผลักล้อรถเข็นเคลื่อนไปตามทางข้างๆ ธารน้ำด้วยตัวเอง

อันอี่เจ๋อทรุดกายลงนั่งบนม้านั่งทำจากไม้ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ มองดูหญิงสาวเงียบๆ

ซูเจี๋ยนเข็นรถเล่นไปจนเหนื่อยแล้ว ถึงได้กลับมานั่งอยู่ข้างๆ อันอี่เจ๋อ เพราะตอนนี้อารมณ์ดีเอามากๆ จึงยอมเปิดปากพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับอันอี่เจ๋อ : “บริษัทคุณไม่ต้องทำงานล่วงเวลาเหรอ” ถามเสร็จก็พลันนึกขึ้นมาได้ ว่าตอนนี้ผู้ชายตรงหน้ามีตำแหน่งเป็นถึงประธานกรรมการบริษัท จะทำงานล่วงเวลาหรือไม่ทำงานล่วงเวลาเขาก็ย่อมเลือกตัดสินใจเองได้ตามใจชอบ ตัวเองถามออกไปแบบนี้ดูซื่อบื้อเกินไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม อันอี่เจ๋อกลับกล่าวตอบอย่างจริงจัง : “ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยถามขึ้น : “อยู่บ้านคนเดียวรู้สึกเบื่อเหรอ”

ซูเจี๋ยนฉีกยิ้มมุมปาก ตอบกลับอย่างจืดชืด : “ก็ยังพอทนได้อยู่” อันที่จริงคือพี่ชายคนนี้เบื่อแทบตายเลยล่ะ!

อันอี่เจ๋อไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ซูเจี๋ยนกลับไม่รู้เลยว่า ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านประธานอันผู้ที่มักจะทำงานล่วงเวลาจนค่ำมืด ทั้งยังลามไปถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์อยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนที่เลิกงานกลับบ้านตรงเวลาขึ้นมา นี่ทำให้เลขาและผู้ช่วยของท่านประธานถึงกับรู้สึกสำนึกบุญคุณและเคารพรักคุณผู้หญิงของท่านประธานขึ้นมาอย่างสุดหัวใจเลยทีเดียว

ซูเจี๋ยนเอนกายพิงพนักพิงอย่างเกียจคร้าน มองเหม่อลงไปในธารน้ำ แล้วจู่ๆ ก็กู่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น : “ปลา! ปลาเต็มเลย!”

อันอี่เจ๋อหันศีรษะไปมอง กลายเป็นว่าที่กลางธารน้ำนั้น มีกลุ่มปลาสวยงามสีแดงๆ ขาวๆ กำลังว่ายผ่านไปกลุ่มหนึ่ง

ซูเจี๋ยนยังกล่าวต่ออย่างชื่นชม : “ย่านที่พักอาศัยระดับหรูนี่ช่างแตกต่างจริงๆ ขนาดปลาในน้ำก็ยังดูอวบอ้วนสุขภาพดีกว่าที่อื่นมาก……”

อันอี่เจ๋อมองใบหน้าน้อยๆ ที่กำลังตื่นเต้นดีใจของหญิงสาวแล้ว สีหน้าท่าทางก็กลายเป็นอ่อนโยนลงอย่างไม่ได้ตั้งใจ

จากนั้นจึงได้ยินอีกฝ่ายกล่าวต่ออีกประโยค : “ไม่รู้ว่าเอาไปนึ่งในน้ำแกงจะอร่อยกว่า หรือเอาไปผัดเคี่ยวให้นุ่มจะอร่อยกว่า”

อันอี่เจ๋อ : “……”

เชิงอรรถ

[1] ศาลาถิงไถ (亭台) ศาลารูปทรงแบบจีน ปลูกสร้างเป็นหกเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม