หานเซ่าไม่ใช่เด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นที่จะมาเขินอายเพียงเพราะสัมผัสโดนมือของเด็กสาว ชีวิตเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเกินพอ อีกทั้งอายุก็ปูนนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเขาก็จะปล่อยวางไม่คิดเก็บเอามาใส่ใจอีก ทุกสิ่งทุกอย่างมีไว้เพียงเพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น

เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธอวี่ฉี ดังนั้นจึงค่อย ๆ คลายมือที่กุมอยู่บนกระเป๋าน้ำร้อนออก

เมื่อเห็นปฏิกิริยาเป็นเชิงอนุญาตจากเขาแล้ว อวี่ฉีก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพรมอ่อนนุ่มแล้วเขยิบไปข้างหน้า วางมือซ้ายบนเข่าของเขาเพื่อพยุงตัว เธออังมือขวาด้วยกระเป๋าน้ำร้อน จนเมื่อฝ่ามือร้อนพอแล้วถึงเริ่มกดมือลงไปบนท้องของเขาเบา ๆ จากนั้นก็ลงมือออกแรงนวดคลึง

“เจ็บไหมคะ” เธอขยับมือไปเรื่อย ๆ เหลือบตาขึ้นมองเขาเล็กน้อย เสียงที่ใช้อ่อนโยนนุ่มนวลเช่นเดียวกับแรงมือของเธอ

เขามองใบหน้าของเธออย่างเหม่อลอย ก่อนตอบไปโดยไม่รู้ตัว “ไม่ แค่รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่”

“บางทีคงเป็นหวัด” เธอวินิจฉัยด้วยสีหน้าจริงจัง อย่างกับตัวเองเคยสอบได้ใบประกอบโรคศิลปะมาเลยทีเดียว “มิน่าล่ะ เมื่อกี้คุณถึงทานได้น้อยขนาดนั้น”

หานเซ่าไม่พูดอะไร เขาหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เอนหลังพิงพนักโซฟา

ห้องรับแขกพลันเงียบสงัดไปช่วงหนึ่ง อวี่ฉีไม่ทำเสียงรบกวนเขาอีก ปรนนิบัติเขาต่อไปอย่างเงียบ ๆ เธอใช้มือนวดวนตามเข็มนาฬิกาห้าสิบครั้ง ทวนเข็มนาฬิกาอีกห้าสิบครั้ง หลังจากทำซ้ำ ๆ หลายรอบแล้วก็หยิบกระเป๋าน้ำร้อนประคบกลับลงไปใหม่ จากนั้นถึงลุกขึ้นช้า ๆ ขยับขาที่ปวดชาทั้งสองข้าง

หานเซ่าหลับสนิทไปแล้ว แพขนตาสีดำบนเปลือกตาสงบนิ่ง มองแล้วไม่เหมือนคนที่ชอบทำตัวแปลกแยกไม่สุงสิงกับใครเลยสักนิด ใบหน้ายามผ่อนคลายนั้นหล่อเหลาดูดี มีเพียงร่องรอยไม่กี่เส้นตรงหางตาเท่านั้นที่เผยให้เห็นอายุของอีกฝ่าย

อวี่ฉีเขย่า ๆ แขนอีกฝ่าย “คุณหาน คุณหานคะ?”

หานเซ่าลืมตาขึ้น ยังคงสะลึมสะลืออยู่ สีหน้าจึงดูเลื่อนลอยอยู่บ้าง เสียงของเขาแหบพร่าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอน “มีอะไร?”

อวี่ฉีมองเขาแล้วกล่าวเสียงเบา “กลับไปนอนที่ห้องเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้นะคะ”

เช้าวันที่สองเมื่ออวี่ฉีตื่นขึ้นมา หานเซ่าก็ไม่อยู่แล้ว เสี่ยวโจวบอกว่ามีสายด่วนเข้ามาตอนเที่ยงคืน หานเซ่าจึงสวมสูทออกไปข้างนอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว

นักธุรกิจล้วนเป็นแบบนี้ ธุรกิจสำคัญกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

เสี่ยวโจวแอบมองสีหน้าเธอ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ไม่พอใจจึงผ่อนลมหายใจ แล้วยิ้มกว้างตาหยีเอ่ยว่า “คุณหนูนิสัยดีจังเลยนะครับ”

—————————————–

ตอนเที่ยง บริการส่งของได้นำดอกไม้มาส่งให้ที่บ้าน ดอกกุหลาบขาวสิบสองดอกโดยมีดอกฟอร์เกตมีนอตประดับแซม กระดาษห่อสีขาวและสีฟ้าอ่อนซ้อนกันเป็นชั้น ผูกเป็นช่อด้วยริบบิ้นสีฟ้าอย่างบรรจง เป็นช่อดอกไม้ที่ทำประณีตละเอียดอ่อนมาก ทั้งยังดูสะอาดตา ไม่ได้แนบการ์ดใดมาด้วย และไม่มีคำหวานสักคำให้ซึ้งใจ สมกับเป็นของหานเซ่าโดยแท้

วันถัดมา ก็มีสร้อยคอส่งมาให้เธออีกครั้ง หลังจากนั้นตลอดเกือบสองสัปดาห์ เธอก็ได้รับของขวัญราคาแพงที่บรรจุในหีบห่อสวยงาม ทั้งสร้อยข้อมือ แหวน กระเป๋าหนัง เสื้อผ้า น้ำหอม ล้วนถูกส่งตรงมาถึงหน้าประตูห้องเธอมากมายทุกวันเป็นพะเรอเกวียน แต่ละชิ้นล้วนสวยงามจับตา

ถ้าเกิดเป็นเด็กสาวคนอื่นละก็ บางทีพวกเธออาจหลงใหลได้ปลื้มไปกับพวกมันแล้วก็เป็นได้ แต่อวี่ฉีไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เธอรู้ดีแก่ใจว่าของพวกนี้ไม่มีทางเป็นของที่หานเซ่าเลือกเองกับมือเป็นแน่ คาดว่าคงเป็นฝีมือของบรรดาผู้ช่วยทั้งหลายนั่นละ ดูเหมือนว่าเด็กสาวทุกคนที่เคยอยู่กับเขาจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันทุกคน

ไม่มีอะไรให้น่าดีใจทั้งนั้น สิ่งที่เธอต้องการคือหัวใจของเขา ไม่ใช่เครื่องประดับหรืออัญมณีล้ำค่า แน่นอน ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าเงินทองเป็นของนอกกายถึงขนาดเห็นเงินเป็นเพียงเศษดินเศษขี้โคลน เธอรู้คุณค่าและอำนาจเงินทองเป็นอย่างดี ปัญหาหลาย ๆ เรื่องขอแค่มีเงินก็สามารถจัดการได้ง่ายขึ้นทันตา

หลังจากวันนั้นหานเซ่าไม่ได้กลับมาอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งอวี่ฉีจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเรื่องต่าง ๆ จากเสี่ยวโจว พยายามศึกษารสนิยมของหานเซ่าเพื่อทำความรู้จักตัวตนอีกฝ่าย เพียงแต่เอาเข้าจริง คำตอบของเสี่ยวโจวกลับไม่ได้ให้ข้อมูลอ้างอิงที่มีประโยชน์อะไรเท่าไร สุดท้ายเขาก็เป็นแค่เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยอะไรพวกนี้อยู่ดี

แหล่งข้อมูลดี ๆ จำนวนไม่น้อยของเธอกลับเป็นซูเวยเวยแทน

วันที่สองหลังจากหานเซ่าออกไปแล้ว ซูเวยเวยโทรศัพท์มาหาเธอ และพูดคุยกับเธออย่างระมัดระวังถ้อยคำ ราวกับกลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดไปจะทำร้ายน้องสาวที่ยังคงอาศัยอยู่ในถ้ำหมาป่าคนนี้ ทุก ๆ ห้าประโยคเธอจะต้องมีคำว่ากลับบ้านเถอะแทรกขึ้นมา เหมือนกับว่าถ้าอวี่ฉีอยู่ที่นี่ต่อนานกว่านี้อีกสักหนึ่งวินาที ชีวิตของเธอจะตกอยู่ในอันตราย

เธอจำต้องพูดประโยคเดิมย้ำแล้วย้ำอีกอย่างไม่มีทางเลือกว่า “ฉันอยู่สุขสบายดีค่ะ ไม่เป็นไรเลย” เพื่อให้ซูเวยเวยสงบใจลง

ทั้งคู่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อวี่ฉีจึงเอ่ยถาม “พี่คะ พี่รู้ไหมว่าคุณหานชอบอะไรบ้าง”

ซูเวยเวยที่อยู่ปลายสายชะงัก “สิ่งที่ชอบ?” เธอเงียบไปสักพัก แล้วหัวเราะเย้ยหยันออกมาครั้งหนึ่ง “สิ่งที่หมอนั่นเกลียดน่ะมีเยอะกว่าสิ่งที่ชอบจนเทียบกันไม่ติดเชียวละ สิ่งเดียวที่เขาชอบก็คือเด็กสาวอายุน้อยหน้าตาดี และถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องผมดำสวมกระโปรงขาว รสนิยมอย่างกับพวกตาแก่หงำเหงือก”

ปกติซูเวยเวยนับว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ได้รับการสั่งสอนมาดีคนหนึ่ง พบใครก็ยิ้มแย้ม รักเกียรติรักศักดิ์ศรี มีมารยาท แต่พอพูดถึงหานเซ่าทีไรกลับกลายเป็นคนปากร้าย ช่างแขวะไม่หยุดไม่หย่อน เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการดึงดูดความเกลียดชังของคุณหานนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

อวี่ฉีไม่ได้เออออไปด้วย แต่จดจำเรื่องที่เขาชอบเด็กสาวสวมกระโปรงสีขาวเอาไว้ในใจ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จึงถามต่ออีกนิด “ถ้าอย่างนั้นเขาเกลียดอะไรคะ”

เมื่อได้ยินคำถามแบบนี้ ซูเวยเวยก็ทนไม่ได้ เริ่มบ่นออกมาอีก “เรื่องบนโลกร้อยแปดพันเก้า ไม่มีอะไรที่เขาไม่เกลียดทั้งนั้นแหละ ทั้งวันเอาแต่ทำหน้าแข็งเป็นไม้กระดาน ขมวดคิ้วสาธยายข้อเสียของคนอื่น แต่งหน้าเข้มไม่ได้บ้างละ ใส่เสื้อผ้าสีสดไม่ได้บ้างละ มัดผมไม่ได้ ใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้ ตื่นสายก็ไม่ได้ พูดมากเกินไปก็ไม่ได้ ขนาดเขียนตัวหนังสือหวัด ๆ ยังไม่ได้เลย! พูดอะไรไปก็ผิด จะทำอะไรก็ผิดไปหมด ขนาดเธอแค่หายใจ เขาก็คงรู้สึกว่าผิดเหมือนกันเลยมั้ง!”

อีกฝ่ายยิ่งพูดยิ่งโมโห แต่อวี่ฉีฟังแล้วกลับรู้สึกตลก ซูเวยเวยกับหานเซ่าดูเป็นคู่ที่น่าสนุกเอาไม่น้อยเลยจริง ๆ ถ้าเกิดไม่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยคนนั้นโผล่มา ไม่แน่ว่าพวกเขาสองคนอาจทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาจนกลายเป็นคู่กิ่งทองใบหยกก็ได้ น่าเสียดายที่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก ในเมื่อเธอมาที่นี่แล้วก็ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี กันไม่ให้ซูเวยเวยกับหานเซ่าได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันอีกเลยแม้แต่นิดเดียว

หลายวันผ่านไป หานเซ่าก็ยังไม่กลับมา แต่ถึงอย่างนั้นอวี่ฉีก็ยังคงกิจวัตรประจำวันอย่างเคร่งครัดเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน คือทุกวันต้องดูแลผมยาวให้นุ่มสลวย ใส่กระโปรงสีขาวแสนเรียบง่าย ไม่แต่งหน้าไม่ทาปาก นอนหลับตื่นนอนเป็นเวลา ต่อให้กำลังพักผ่อนอ่านหนังสือก็ยังเลือกนั่งตรงโซฟาข้างหน้าต่าง ชำเลืองมองข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เพราะกลัวเหลือเกินว่าตอนที่เขากลับมาจะไม่พบตน

ถ้าเกิดมีคนเปิดโหวตลงคะแนนเฟ้นหาสุดยอดเมียเก็บประจำปี อวี่ฉีจะต้องได้รับการเสนอชื่ออย่างแน่นอน

ทว่าเธอเองก็คาดไม่ถึงว่าเวลาที่หานเซ่ากลับมาจะเป็นตอนกลางดึกเวลาตีสอง เธอนั้นหลับไปก่อนนานแล้ว ผมยาวนุ่มสลวยผ่านการนอนจนยุ่งเหยิง กระโปรงสีขาวถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดนอนผ้าฝ้ายสุดแสนธรรมดา…แต่โชคดีที่มันยังเป็นสีขาว

หานเซ่าฝ่าลมหนาวเข้ามาภายในบ้าน เสี่ยวโจวรอตรงทางด้านหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ช่วยเขาถอดเสื้อนอกออกมาแขวนพลางก็พูดไม่หยุดปาก “หลายวันมานี้คุณหนูซูเอาแต่รอคุณกลับมาบ้านทุกวัน มองออกไปนอกหน้าต่างอยู่วันละหลายสิบรอบ คุณดันกลับมาในเวลาแบบนี้เสียได้ คุณหนูเข้านอนนานแล้ว พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาไม่รู้จะผิดหวังขนาดไหน”

หานเซ่าเพิ่งกลับจากงานสังสรรค์ข้างนอก ย่อมต้องดื่มสุราบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้สติของเขามีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด พอได้ยินอีกฝ่ายพูดว่าคุณหนูซู ก็นึกไปว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงซูเวยเวย เขาจึงตอบอย่างไม่มีสติ “ซูเวยเวย ยายเด็กดื้อด้านคนนั้น? เธอคิดได้แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่”

เสี่ยวโจวทำสีหน้ากระอักกระอ่วน “ไม่ใช่ครับ เป็นคุณหนูซู ซูอวี่ฉี คุณพาเธอมาอยู่ที่นี่เกือบสองสัปดาห์แล้ว จำไม่ได้หรือครับ”

หานเซ่าคลึงหน้าผาก พยายามรีดเค้นข้อมูลจากสมองที่โดนฤทธิ์แอลกอฮอล์ครอบงำจนสับสนรอบหนึ่ง ก่อนพึมพำว่า “ซูอวี่ฉี?”

ไม่รู้เพราะอะไร ภาพใบหน้ายิ้มแย้มกับลักยิ้มที่เด่นชัดสองข้างถึงลอยมาปรากฏตรงหน้า รวมถึงสัมผัสอันอ่อนโยนชวนให้รู้สึกสบายในคืนนั้น ตอนที่เธอกำลังกดคลึงบนหน้าท้องของเขา

เขาจำเธอได้ในที่สุด และค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเสี่ยวโจว แววตาดูเฉื่อยชาเล็กน้อยเนื่องจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ “เธออยู่ที่ไหน”

“คุณหนูซูหลับไปแล้ว ต้องการให้ปลุกเธอไหมครับ”

หานเซ่าขมวดคิ้ว คิดอยู่นานราวกับกำลังตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ก่อนกล่าวกับเสี่ยวโจวอย่างหนักแน่นจริงจัง “ไม่ต้อง”

เสี่ยวโจวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ก้าวขาออกไปประคองเขา “คุณเมาแล้ว”

“ฉันไม่ได้เมา” ครั้งนี้เขาตอบอย่างรวดเร็ว

เสียงหัวเราะคิกคักเบา ๆ ดังมาจากมุมห้อง เป็นอวี่ฉีที่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงดังแล้วลงมาดูสถานการณ์นั่นเอง

โชคดีที่ปกติเธอเป็นคนตื่นง่าย ตอนนอนก็ไม่ได้ปิดประตู จึงได้ยินเสียงตอนเขากลับมา ไม่เช่นนั้นเธอคงพลาดโอกาสทองงาม ๆ ที่จะเก็บแต้มสร้างความประทับใจนี้ไปแน่ ๆ

อวี่ฉีก้าวเข้าไปอย่างว่องไว รับหานเซ่าจากมือของเสี่ยวโจวมาประคองแทน ก่อนพูดเสียงเบาว่า “คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ ไว้ฉันดูแลคุณหานเอง”

ถ้าเกิดคนพูดคำนี้คือซูเวยเวย เสี่ยวโจวคงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน ทว่าครั้งนี้เขาเพียงแค่ลังเลชั่วขณะ ก่อนพยักหน้าตกลง “ถ้าอย่างนั้นต้องลำบากคุณหนูแล้ว”

หลังจากเสี่ยวโจวเดินจากไปแล้ว หานเซ่าก็ปัดมือเธอออก ดวงตาเรียวยาวงดงามราวปีกหงส์หรี่ลง พูดเน้นทีละคำ “ซูอวี่ฉี?”

“ค่ะ ฉันเอง” อวี่ฉีตอบพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดี “ให้ฉันช่วยประคองคุณกลับไปพักผ่อนบนห้องนะคะ”

หานเซ่าเพ่งพินิจเธออย่างตั้งอกตั้งใจ แววตาค่อนข้างจริงจัง “เสี่ยวโจวบอกว่า…เธอนอนไปแล้ว”

“ค่ะ เมื่อครู่ได้ยินเสียงก็เลยตื่น”

“เธอกำลังจะบอกว่าฉันทำเสียงดังจนเธอตื่น?” หานเซ่าที่กำลังกรึ่ม ๆ นั้นเอาใจยากกว่าตอนมีสติสมบูรณ์เสียอีก

อวี่ฉีไม่มีทางเลือก เธอเข้าไปพยุงเขาอีกครั้งก่อนเดินนำไปทางบันได พลางพูดอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ คุณหาน”

“เธอกำลังแอบด่าฉันในใจว่าเอาใจยากแถมนิสัยก็ประหลาดอยู่ใช่ไหม” หลังจากหยุดคิดครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้ากับตัวเอง “ใช่สิ ฉันรู้อยู่แล้ว”

อวี่ฉีรู้สึกว่าชายคนนี้คงใช้เหตุผลคุยด้วยไม่รู้เรื่องแล้ว จึงได้แต่ตอบไปอย่างไร้อารมณ์ร่วม “ฉันเปล่าค่ะ คุณหาน”

หานเซ่าจ้องเธอเขม็งอยู่นาน ในตอนที่เธอคิดว่าเขากำลังจะพ่นคำพูดแทงใจคนอีก เขากลับเอ่ยเสียงเบาหวิวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ฉันอยากอ้วก”

 ———————-