อวี่ฉีล้มเลิกความคิดที่จะพยุงหานเซ่าขึ้นชั้นบนทันที แล้วพาเขาตรงไปยังห้องน้ำของชั้นหนึ่งแทน
เดิมทีเธอยังคิดจะตามเข้าไป แต่กลับถูกเขาชิงปิดประตูใส่หน้าแล้วทิ้งเธอไว้ข้างนอกอย่างไม่ไยดี
เธอตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะสวมบทเป็นเด็กสาวที่น่ารักว่านอนสอนง่าย ดังนั้นครั้งนี้เธอจึงไม่สามารถเปิดประตูบุกพรวดพราดเข้าไปวางท่าอย่างใหญ่โตโอหังเหมือนคราวที่แล้วได้อีก อวี่ฉีทำได้เพียงรอคอยอยู่เงียบ ๆ ด้านนอกเท่านั้น
ผ่านไปสิบห้านาที แต่กลับไม่มีเสียงใด ๆ จากด้านในมาพักใหญ่แล้ว ความเงียบอันผิดปกตินี้ทำให้เธอกระวนกระวายใจ อวี่ฉีลังเลชั่วขณะ ก่อนจะลองเคาะประตูห้องน้ำ “คุณหาน คุณยังโอเคอยู่ไหมคะ”
ไร้เสียงตอบรับ มีเพียงเสียงน้ำกดชักโครกดัง ‘ซ่า’ แว่วมาจากข้างใน อวี่ฉีไม่คิดจะรอนานกว่านี้อีก จึงตัดสินใจเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเลทันที อันที่จริงแล้วเธอแอบกังวลใจเล็กน้อยว่าจะเห็นเป้าหมายของตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ทว่าหลังจากได้เห็นสภาพในห้องน้ำจริง ๆ ใบหน้าของเธอก็เหลือแต่ความจนใจ รู้สึกหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกแทน
หานเซ่านั่งพิงกำแพงอยู่บนพื้นกระเบื้องขาวสะอาดวาววับในห้องน้ำ สองขาเรียวยาวชันเข่าไขว้กันโดยมีแขนสองข้างพาดบนหัวเข่า ถึงท่าทางเช่นนี้จะดูขาดคุณสมบัติผู้ดีไปบ้าง แต่พอเป็นเขาแล้วกลับแฝงไปด้วยความสง่างามอยู่หลายส่วน สายตาของเขาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย แพขนตายาวหลุบนิ่ง ในดวงตาปรากฏเพียงความไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
อวี่ฉีเดินเข้าไปย่อตัวลงตรงหน้าเขา แล้วเอ่ยปากถามว่า “คุณหาน คุณยังอยากอาเจียนอยู่อีกไหมคะ”
หานเซ่ากะพริบตาถี่รัว แววตาพร่าเลือนค่อย ๆ ปรับโฟกัสจนชัดเจนขึ้น นัยน์ตาดำที่แสนเฉยชาไร้ระลอกคลื่นของเขาเคลื่อนมาทางเธออย่างช้า ๆ เมื่อนึกได้ว่าเธอเป็นใครก็เสไปพูดเรื่องอื่นแทน “อย่ามาเรียกฉันว่าคุณหาน” เขาพูดเสียงต่ำด้วยความไม่พอใจ ก่อนถามต่อ “ไม่ว่าหน้าไหน ๆ ก็เรียกแต่อย่างนี้ พวกเธอแอบปรึกษากันมาก่อนใช่ไหม”
อวี่ฉีไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสาที่จะมาเขินอายจนหน้าแดงแปร๊ดยามที่จะต้องพูดคำหวานสักประโยค เธอแสร้งทำเป็นงุนงงไปชั่วขณะ ก่อนเธอเอ่ยเรียกอาเซ่าออกมาหนึ่งคำอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องเตรียมบทอะไรทั้งนั้น น้ำเสียงที่เอ่ยแผ่วเบารื่นหู เจือไปด้วยความสนิทสนมคุ้นเคย ส่งผลให้หานเซ่าที่เพิ่งบ่นไปได้เพียงประโยคเดียวถึงกับไปต่อไม่ถูกในชั่วพริบตา
“ให้ฉันประคองคุณกลับห้องนะคะ?” เธอใช้โอกาสนี้ถามออกไป ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับก็ลองเดินไปพยุงเขาขึ้นมาดู แต่กลับถูกเขาปัดมือออก
เขานวดคลึงหน้าผาก บนใบหน้าแฝงความอิดโรยไว้หลายส่วน “ฉันรู้สึกไม่ค่อยดี” เสียงของเขาติดจะแหบพร่าเล็กน้อย จนฟังดูคล้ายเสียงบรรเลงทุ้มต่ำจากเชลโลชั้นดีที่มีเสน่ห์และสง่างาม
ช่วงเวลานี้ช่างเหมาะสมแก่การเพิ่มพูนความรู้สึกดี ๆ มากที่สุด แต่อวี่ฉีกลับมีท่าทีไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย เธอยังคงแสดงออกอย่างเป็นมิตรประหนึ่งตัวแทนขายบ้าน “รู้สึกไม่ดีตรงไหนคะ”
ครั้งนี้หานเซ่าไม่ตอบอะไรอีก เขาเพียงแค่กำหมัดค้ำหน้าผากเอาไว้ คิ้วยาวขมวดแน่นเข้าหากัน
อวี่ฉีย่อตัวนั่งลงข้างตัวอีกฝ่ายเงียบ ๆ ราวกับสุนัขตัวใหญ่แสนภักดีที่คอยอยู่เป็นเพื่อนเคียงข้างเจ้านาย ในครู่ต่อมา เธอก็ยกมือขึ้นช่วยนวดคลึงขมับให้เขาโดยไม่พูดไม่จา นวดไปได้สักพักเขาก็คว้าจับข้อมือเธอเอาไว้
นิ้วมือเรียวสวยของหานเซ่ากุมบนข้อมือของเธอเบา ๆ เขาค่อย ๆ เงยหน้ามองเธอ เดิมทีอวี่ฉีก็อยู่ใกล้เขาจนแทบจะชิดกันอยู่แล้ว ตอนก้มหน้าอยู่ยังไม่เท่าไร แต่ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นแหละ ปลายจมูกของทั้งสองก็แทบจะชนกันทันที ทั้งคู่ใกล้มากพอที่แพขนตาจะสัมผัสกันและกันได้
อวี่ฉีไม่ได้ถอยห่างออกไป แต่กลับจ้องตาเขาเงียบ ๆ แทน
ภายในดวงตาหงส์ของเขางดงาม ทว่ามืดมิดดุจร่างไร้วิญญาณ แต่เมื่อสบตากับเธอ แววตาคู่นั้นก็ปรากฏรอยยิ้มเลือนรางขึ้นมา
หานเซ่ายกมือเชยคางเธอด้วยท่าทีสง่างาม ดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้นหรี่ลง แล้วออกคำสั่งเสียงทุ้มต่ำ “ร้องเพลงให้ฉันฟัง!”
“อะไรนะคะ!?” ต่อให้เป็นอวี่ฉีก็ยังอดไม่ได้ที่จะหลุดปากถามออกไปอย่างลืมตัว ในสถานการณ์แบบนี้ ไม่แปลกถ้าเขาจะสั่งให้เธอจูบตนเอง แต่ว่า…ร้องเพลงเนี่ยนะ?
หานเซ่ายามเมามายรับมือได้ยากเป็นพิเศษ สั่งเสร็จก็ไม่เร่งเร้า ทำเพียงแค่จ้องเธอนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
อวี่ฉียอมแพ้ หันตัวกลับไปปิดประตูห้องน้ำ ก่อนจะร้องเพลงกล่อมเด็กเพลงหนึ่งให้เขาฟังสั้น ๆ แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นพนักงานดีเด่นของสายอาชีพ อวี่ฉีถือเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถเกือบทุกด้าน ถึงร้องสดแบบไม่มีดนตรีประกอบ ก็ยังถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงออกมาได้ไม่น้อย เสียงของเธอนุ่มนวลอ่อนหวาน ฟังแล้วไพเราะรื่นหูเป็นอย่างยิ่ง
ครั้นร้องจบไปหนึ่งเพลง ในที่สุดหานเซ่าก็ยอมตามเธอกลับห้อง แต่ทันทีที่ก้าวถึงชั้นสอง เขากลับหยุดฝีเท้าลงเสียอย่างนั้น ทั้งยังไม่ยอมเดินขึ้นต่อไปอีกแม้แต่ครึ่งก้าว
อวี่ฉีรับรู้แล้วว่าคุณชายหานในสภาพเมาหัวราน้ำนั้นทรมานผู้คนได้อย่างไรบ้าง เธอยืนสงบจิตใจอยู่ข้าง ๆ รอคอยให้เขาบอกว่าต้องการอะไรอีก
และก็เป็นไปตามที่คาด หานเซ่าขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ฉันหิวน้ำ”
อวี่ฉีตอบรับด้วยท่าทางอารมณ์ดีเช่นเคย ก่อนวิ่งเหยาะ ๆ ลงไปชั้นล่าง รินน้ำอุ่นหนึ่งแก้วจากห้องครัวแล้วเดินถือกลับขึ้นไปให้เขา แทบจะบริการป้อนเขาถึงปากเลยด้วยซ้ำ
แต่หานเซ่ากลับผลักแก้วน้ำออกด้วยท่าทางสับสน พิจารณาเธอเอย่างสนใจใคร่รู้ “เธอเป็นใคร ทำไมเชื่อฟังขนาดนี้”
ปกติไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเธอก็รับได้ทั้งนั้น แต่การที่ตัวเองต้องยุ่งหัวหมุนอยู่นานสองนาน แล้วอีกฝ่ายดันจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใครนี่ เธอรับไม่ได้จริง ๆ รสชาติของการเสียแรงฟรีนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร
แต่ใครจะไปรู้ว่า ในตอนที่เธอกำลังจะย้ำชื่อตัวเองออกมาให้ชัดเจนเต็มสองรูหูนั้น หานเซ่ากลับผละห่าง ยันตัวเองไว้กับราวบันไดแล้วส่งยิ้มน้อย ๆ ให้เธอ “ฉันเดาว่าเธอคือซูอวี่ฉี”
หลังจากหายตกใจแล้ว อวี่ฉีอดรู้สึกดีใจปนประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ทว่าเธอยังไม่ทันพูดอะไรต่อแม้แต่ครึ่งประโยค เสียงนุ่มนวลชัดถ้อยชัดคำของหานเซ่าก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แฝงไปด้วยแรงดึงดูดอันน่าพิศวง คล้ายกำลังทอดถอนใจด้วยความโศกเศร้า “มีแต่อวี่ฉีที่เชื่อฟังว่าง่ายขนาดนี้” หลังพูดประโยคนี้จบ เขาก็ทรุดลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างกายที่แต่เดิมพิงอยู่กับราวบันไดค่อย ๆ ไถลลงมา อวี่ฉีถอนหายใจ แล้วเข้าไปประคองเขาขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเขาจะหลับไปแล้ว ทั้งยังปล่อยให้น้ำหนักตัวมากกว่าครึ่งกดทับลงมาบนร่างของอวี่ฉี ยังดีที่หลายวันมานี้เธอออกกำลังกายที่ฟิตเนสเล็ก ๆ ตรงชั้นใต้ดินเป็นประจำ จึงแข็งแรงพอที่จะสามารถพยุงอีกฝ่ายขึ้นไปถึงชั้นสามได้ แม้จะทุลักทุเลบ้างก็ตาม
กว่าจะพาเขามาส่งถึงเตียงนั้นไม่ง่ายเลย อวี่ฉีเหนื่อยจนเหงื่อผุดพรายเต็มหน้า แต่ก็ยังก้มหน้าจำยอมปรนนิบัติเขาด้วยการช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อีกฝ่ายต่อ อวี่ฉีเพิ่งช่วยเขาถอดชุดสูทออกเสร็จ ยังไม่ทันปลดกระดุมเม็ดที่สองบนเสื้อเชิ้ต ข้อมือก็ถูกเขาดึงไว้ อวี่ฉียังไม่ทันได้ตั้งตัวจึงล้มฟุบลงไปบนเตียง แล้วบังเอิญทาบทับไปบนแผ่นอกของอีกฝ่ายพอดิบพอดี
เธอไม่ได้ดิ้นรนขัดขืน เพียงจ้องมองเขาอย่างสงบนิ่ง กระดุมเสื้อเชิ้ตผ้าไหมของหานเซ่าถูกปลดออกแล้วสองเม็ด เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าเป็นร่องลึกดูดี คอเสื้อแยกกว้างจนเห็นลำคอเรียวยาวของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
จู่ ๆ หานเซ่าก็ยื่นแขนออกมา รวบตัวเธอทั้งตัวเข้าไปในอ้อมกอด ใบหน้าของอวี่ฉีทั้งหน้าแทบจมลงไปในแผ่นอกอันอบอุ่นของเขา ปลายจมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นเย็นอ่อนจางบนตัวของอีกฝ่าย
แต่เหมือนหานเซ่าไม่คิดทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ นิ้วมือที่ค่อนข้างเย็นของเขาไล้ไปตามเส้นผมสีดำของเธอไปมา ราวกับกำลังกอดสัตว์เลี้ยงในร่างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น
อวี่ฉีนอนซบบนอกอีกฝ่าย ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างว่าง่าย ไม่ได้พยายามดิ้นรนแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ ๆ หานเซ่าก็ผลักเธอออก แล้วเลื่อนมือมากุมท้องไว้แน่น คิ้วยาวพลันขมวดมุ่น
อวี่ฉีรีบลุกขึ้น พยุงแขนของเขาเอาไว้ “เป็นอะไรไปคะ ปวดท้องหรือ?”
หานเซ่าไม่ส่งเสียงตอบอะไรทั้งนั้น ใบหน้าขาวซีดราวกับศพ บนหน้าผากที่เดิมทีเกลี้ยงเกลานั้นมีเหงื่อเย็นบางๆ ผุดพราย ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่น เหมือนกำลังฝืนกล้ำกลืนความเจ็บที่ปะทุขึ้น อาการปวดท้องธรรมดาไม่มีทางรุนแรงได้ถึงขนาดนี้ ร่างกายของเขาคู้งอจนแทบจะม้วนตัวได้ มือสองข้างกดแน่นลงบนท้อง
อวี่ฉีตกใจจนลุกพรวดขึ้นมา เธออยากช่วยเขานวดท้อง แต่ไม่อาจแทรกมือเข้าไปได้ จึงได้แต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาโดยการลูบแผ่นหลังของเขาซ้ำไปซ้ำมา “เรียกหมอมาเถอะค่ะ ไม่ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลดีไหมคะ”
หานเซ่าแทบจะสร่างเมาเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส ร่างทั้งร่างของเขากำลังสั่นระริก เมื่อได้ยินคำพูดของเธอก็ได้แต่ฝืนส่ายศีรษะ เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา “ไม่จำเป็น”
“บางทีอาจเป็นอาการกระเพาะหดเกร็งก็ได้ ฉันจะไปเอากระเป๋าน้ำร้อนมาให้นะคะ” เอ่ยจบ อวี่ฉีก็รีบร้อนลุกขึ้นจะวิ่งลงไปชั้นล่างทั้งเท้าเปล่า ๆ แต่กลับถูกหานเซ่าเรียกไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง” เสียงของเขาแผ่วเบาแหบแห้ง “ช่วยฉันหยิบยามาก็พอ อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุม”
เนื่องจากเป็นสถานการณ์เร่งด่วน อวี่ฉีไม่มีเวลามามัวพินิจพิเคราะห์อะไรทั้งนั้น เธอได้แต่รีบวิ่งลงไปชั้นล่าง หาเสื้อคลุมที่เขาถอดตอนกลับถึงบ้าน ก่อนเจอมันอยู่บนที่แขวนเสื้อ แล้วคลำจนเจอขวดยาขวดหนึ่งในกระเป๋าเสื้อฝั่งขวา
เธอเหลือบเห็นชื่อยาแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ…Ginsenoside Rh2
อวี่ฉีชะงักนิ่งอยู่กับที่
Ginsenoside Rh2 หรือเรียกอีกอย่างว่ายายื้อชีวิต ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเธอเคยพบตัวร้ายคนหนึ่งที่ต้องทรมานจากโรคมะเร็งปอดระยะแรก เขาต้องกินยาที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งแบบนี้เช่นกัน
ถ้าอย่างนั้น หานเซ่าล่ะ?
—————————–