กว่าอาการของหานเซ่าจะบรรเทาลง ฟ้าก็เริ่มสาง คนทั้งคู่ต่างไม่ได้นอนกันตลอดทั้งคืน เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง สภาพอิดโรยจนดูไม่ได้พอ ๆ กัน

หานเซ่าสร่างเมามาพักใหญ่แล้ว ภาพพฤติกรรมตัวเองระหว่างที่เมาปรากฏขึ้นในสมองอย่างชัดเจน เขารู้สึกเพียงว่าชื่อเสียงที่สั่งสมมาทั้งชีวิตได้แหลกสลายลงภายในพริบตา ทำให้เขากลัดกลุ้มทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ดื่มเหล้าจนเมามาย หานเซ่ารู้ดีว่าพฤติกรรมตอนเมาของตัวเองนั้นไม่ดีเท่าไรอยู่แล้ว ลูกน้องหลายคนรู้กันเป็นอย่างดีและฝึกฝนเพื่อรับมือจนชินชา เมื่อเจ้านายเมาต้องไม่มองสบตา แต่ให้รีบส่งเขากลับห้องเพื่อจบภารกิจให้เร็วที่สุด หลังพาคนมาถึงเตียงปุ๊บก็เร่งถอยทัพหนีกลับทันที ทุกฝ่ายจึงอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่ใครจะไปคิดว่าครั้งนี้เขาจะเมาจนทำให้เรื่องเละเทะไปหมด แถมเด็กคนนั้นก็ดันร่วมทำเรื่องบ้าบอไปกับเขาด้วยเสียอย่างนั้น หานเซ่าจะหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก

ทว่าอวี่ฉีในเวลานี้กลับไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นเลย ในหัวของเธอมีแต่ตัวอักษรขนาดใหญ่หลายตัวบนขวดยาขวดนั้น…Ginsenoside Rh2

จริงอยู่ว่างานของเธอคือการแสดงเป็นนางร้าย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะกลายเป็นคนไร้หัวจิตหัวใจราวกับเซียนที่ปล่อยวางเรื่องทางโลกสักหน่อย คนเราไม่ใช่ต้นไม้ใบหญ้า ไหนเลยจะไร้อารมณ์ความรู้สึก เธอเองก็ยังเป็นคน ไม่ใช่หุ่นยนต์รูปร่างเหมือนมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำภารกิจให้ลุล่วงเพียงเท่านั้น

คนสองคนเมื่อได้มารู้จักกันแล้ว ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันระหว่างกันตามธรรมชาติ จริง ๆ แล้วในภารกิจนับไม่ถ้วนที่ผ่านมา เธอก็คิดว่าตัวร้ายชายเหล่านั้นเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอเหมือนกัน การสั่นคลอนหัวใจของคนคนหนึ่งนั้นไม่ได้อาศัยแค่เทคนิคกับดวง คนเราต่างไม่ได้โง่ มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่จะสามารถแลกความรู้สึกกลับมาได้

สิ่งเดียวที่เธอเหนือกว่าคนทั่วไปก็คือเธอผ่านประสบการณ์มาหลากหลายรูปแบบ ทั้งยังสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ค่อนข้างดีอีกด้วย เมื่อถึงจุดหนึ่งเธอก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดังใจคิด แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ทุกครั้งหลังจากที่ทำภารกิจเสร็จแล้ว เธอก็ยังต้องพักผ่อนปรับตัวหลายวันอยู่ดี เมื่อจัดการกับความรู้สึกของตัวเองจนเรียบร้อยดีแล้วถึงเริ่มทำภารกิจถัดไปได้

และภารกิจครั้งนี้ ความรู้สึกเศร้าใจและสงสารหานเซ่าก็เป็นความรู้สึกจากใจจริง

ถึงแม้ว่านิสัยของเขาจะแปลกประหลาดและเอาใจยากไปบ้าง แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษที่ใจกว้างคนหนึ่ง

คนทุกคนล้วนมีรสนิยมลับ ๆ อยู่ในใจ เขาก็แค่ชื่นชอบเด็กสาวที่อ่อนวัยเท่านั้นเอง ชอบก็คือชอบ เขาไม่เคยพยายามปิดบังเรื่องนี้ และแทบไม่เคยร้องขออะไรจากเด็กสาวที่ติดตามเขาเลย แถมยังไม่เคยงกดอกไม้หรือของขวัญ ไม่เคยมีคำพูดติดปากจำพวก “ชอบไหม โอเคไหม จะตอบแทนฉันยังไง” ให้แล้วก็คือให้ ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยเรียกร้องสิ่งตอบแทนอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ

สถานการณ์ของซูเวยเวยเป็นอย่างไร เธอไม่รู้หรอก แต่ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์กว่าที่เธออยู่กับอีกฝ่าย เขาไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามหรือแม้แต่พูดจาเหลวไหล พ่นคำลามกใส่เธอเลย เขารู้ว่าอะไรคือการให้ความเคารพคนอื่น และไม่เคยทำให้ผู้อื่นรู้สึกทนไม่ได้ แม้บางครั้งจะใช้ถ้อยคำตักเตือนราวกับตัวเองเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง อย่างเช่นตอนที่ให้เธอปล่อยผมสีดำของเธอวันนั้นอยู่บ้างก็ตาม 

แต่เขาก็ได้จ่ายค่าตอบแทนไว้ก่อนหน้านั้นนานแล้ว จึงย่อมมีสิทธิ์สั่งให้สินค้าของเขาเปลี่ยนตัวเองให้เป็นไปตามแบบที่เขาชื่นชอบ

อวี่ฉีถอนหายใจแผ่วเบา ถามออกไปตรง ๆ “เป็นระยะต้น ระยะกลาง หรือระยะสุดท้ายคะ?” ที่เธอถามอย่างไม่อ้อมค้อม เป็นเพราะคำถามประเภทนี้ต่อให้จะถามอ้อมค้อมอย่างไร ปลายทางสุดท้ายก็คือผลลัพธ์เดียวกันอยู่ดี ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้เพียงเพราะเปลี่ยนวิธีถาม

หานเซ่าชะงักไป เขานึกว่าสาวน้อยคนนี้จะเป็นแค่เด็กสาวมัธยมปลายธรรมดา ต่อให้เห็นขวดยาก็ไม่น่าคาดเดาอะไรได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะประเมินเธอต่ำเกินไป แต่ในเมื่อรู้แล้วก็คือรู้ เขาไม่ได้ไปวางเพลิงหรือฆ่าใครที่ไหนเสียหน่อย ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบัง มีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในชีวิต เขาก็แค่เจอมันเร็วไปหน่อยเท่านั้นเอง

เขาเหม่อมองดวงตาสุกใสเป็นประกายของเธอ น้ำเสียงที่ใช้อ่อนโยนสงบนิ่งกว่าที่เคย คล้ายกับกำลังบอกเล่าอาการป่วยของคนอื่นอยู่ “มะเร็งกระเพาะอาหารระยะกลาง”

หากเป็นแค่มะเร็งระยะต้น โอกาสรักษาหายยังมีค่อนข้างสูง แต่นี่ไม่ใช่ อวี่ฉีตกตะลึงไปเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงกุมมือของเขาแน่น แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ฉันจะอยู่กับคุณค่ะ”

คำสัญญาจริงจังแบบนี้ พอออกมาจากปากของเด็กหญิงมัธยมปลายปีสี่คนหนึ่งแล้ว หานเซ่าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ในดวงตาหงส์ที่ปกติจะเฉยชาสงบนิ่งเผยรอยยิ้มอ่อนจางขึ้นมา “เธอกำลังเห็นใจฉัน?” คนคนนี้ ต่อให้แย้มรอยยิ้มก็ยังฉาบด้วยแสงยามสนธยาในต้นฤดูหนาว ริมฝีปากเย็นเยียบขยับโค้งขึ้นครู่เดียวก่อนจางหายไปในพริบตา

“แต่ฉันไม่ต้องการ”

พูดจบ เขาก็ยื่นมือมาลูบเส้นผมอ่อนนุ่มของเธอแผ่วเบา กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทุ้มต่ำ “แต่ก็ต้องขอบคุณเธอนะ อวี่ฉีน้อย เธอเป็นเด็กดีคนหนึ่ง” ท่าทางปลอบโยนของเขาแลดูเป็นธรรมชาติมาก ราวกับผู้ใหญ่ที่กำลังชมเชยลูกหลานที่สอบได้คะแนนดีอย่างไรอย่างนั้น

อวี่ฉีไม่พูดอะไร เดิมทีเธอนึกว่าเขาจะเป็นคนหยิ่งทะนง ไม่ยอมให้ใครมาเห็นใจ แต่เมื่อลองคิดดู เธอถึงเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เขาไม่ได้หยิ่งยโส เขาแค่ไม่ต้องการความเห็นใจจากใครเท่านั้นจริง ๆ

จะมีสักกี่คนที่ปล่อยวางทุกสิ่งได้เมื่ออยู่ต่อหน้าความตายแบบหานเซ่า เขาคิดเพียงว่าในชีวิตนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้เสียใจภายหลังอีกแล้ว จากไปเร็วสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่พอใจสิ่งที่ตัวเองได้รับ ทุกวันเอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุดว่าชีวิตคนเราไม่เป็นไปอย่างที่หวัง คนแบบนี้ต่อให้มีอายุยืนยาวถึงร้อยปีก็ไม่มีวันมีความสุขแม้แต่น้อย

“เอาละ ไปทำธุระของเธอเถอะ” เขาขยี้ผมดำนุ่มลื่นของเธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกปากไล่อย่างเฉยชาโดยไม่เปิดช่องว่างให้ปฏิเสธแม้แต่น้อย “ฉันอยากพักผ่อนแล้ว”

อวี่ฉีลังเลไปชั่วขณะ แต่ก็ยังออกมาจากห้องอย่างเชื่อฟัง และไม่ลืมที่จะช่วยเขาปิดประตูเบา ๆ ด้วย

เธอลงไปถามเรื่องราวจากเสี่ยวโจวที่ชั้นล่าง ถึงเพิ่งเข้าใจว่าหานเซ่ารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมานานแล้ว ก่อนหน้านี้หนึ่งเดือนกว่าเขาเข้ารับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อบรรเทาอาการชั่วคราว การพักฟื้นหลังผ่าตัดก็เป็นไปด้วยดี เขาสามารถทานอาหารแต่ละมื้อได้กว่าครึ่งชาม สภาพร่างกายอื่น ๆ ยังมีอาการปกติ และมีความหวังสูงว่าจะยืดชีวิตออกไปสักสามถึงห้าปี

อวี่ฉีอดเศร้าใจไม่ได้ ขนาดเธอยังกินข้าวหนึ่งชามได้อย่างสบาย ๆ แต่ผู้ชายคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทั้งยังสูงมากกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร อาหารมื้อหนึ่งกลับกินได้เพียงครึ่งชามเท่านั้น ยังเรียกว่าฟื้นตัวได้ไม่เลวอีกเหรอ แล้วไหนความหวังที่จะยืดชีวิตได้อีกแค่สามถึงห้าปีเท่านั้นอีก

ถึงเวลาอาหารเย็น หานเซ่าก็ลงมาชั้นล่าง เหมือนกับที่เสี่ยวโจวบอกเอาไว้ไม่มีผิด เขากินไปได้ไม่ถึงครึ่งชามก็ไม่ขยับตะเกียบอีก ก่อนจะเดินถือหนังสือเล่มหนึ่งไปอ่านที่ห้องรับแขกเหมือนอย่างที่แล้วมา

อวี่ฉีกำลังจะเดินตามไป แต่ซูเวยเวยดันโทรมาพอดี ทันทีที่รับโทรศัพท์ อีกฝั่งก็โพล่งถามใส่หูเธอทันทีว่า หานเซ่ารังแกอะไรเธอหรือเปล่า

เมื่อถามอีกฝ่ายดู อวี่ฉีถึงทราบว่ามีเงินจำนวนหนึ่งถูกโอนเข้าบัญชีเงินเก็บสำหรับค่ารักษาพยาบาลของแม่ จำนวนเงินนั้นมหาศาลมากถึงขนาดเพียงพอให้ครอบครัวพวกเธอสามคนใช้ไปได้อีกสักสองสามชาติ ซูเวยเวยเลยเดาว่าเป็นเงินชดเชยที่หานเซ่าให้ หลังทำเรื่องอะไรเกินเลยกับอวี่ฉีนั่นเอง

อวี่ฉีจำได้ว่าเขาเคยบอกว่าให้ซูเวยเวยเท่าไรก็จะให้เธอเท่านั้น ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น ใครจะคิดว่าเขากลับยอมถอนคำพูดตัวเองเสียอย่างนั้น นอกจากนี้ ระหว่างมื้อเย็นเขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่ครึ่งประโยค…บางทีเขาคงจะลืมเรื่องนี้ไปนานแล้วด้วยซ้ำ

อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าคนใจกว้างอย่างแท้จริง แม้ให้ไปมากมายก็ยังทำเหมือนมันง่ายดายราวกระดิกนิ้ว เมื่อให้ไปแล้วก็แล้วกันไป จับเรื่องพวกนั้นยัดทิ้งไว้ในส่วนลึกสุดของสมอง ไม่ใส่ใจว่าผู้รับจะซาบซึ้งบุญคุณหรือไม่แต่อย่างใด

เธอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ อวี่ฉีไม่คุยเรื่องนี้ต่ออีก แต่ก็หลุดถามออกไปโดยไม่รู้ตัวราวกับถูกผีเข้าสิงว่า “หานเซ่าเริ่มรู้สึกปวดท้องตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เสี่ยวโจวบอกแค่ว่าเขารู้มานานแล้วว่าตัวเองป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร แต่ไม่ได้บอกอย่างเจาะจงว่าเมื่อไร

ซูเวยเวยที่อยู่อีกฝั่งกลับแปลกใจและคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก “เขาปวดท้อง? ทำไมพี่ไม่เห็นจะรู้เลย” เหมือนกับว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยสักนิด

อวี่ฉีตกตะลึงไป เธอแทบไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน “เขาเข้ารับการผ่าตัดเมื่อเกือบสองเดือนก่อน พี่ไม่รู้เลยเหรอคะ?”

“ผ่าตัดอะไร ไส้ติ่งอักเสบเหรอ” ซูเวยเวยถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรหรอก หมอนั่นน่ะถ้าคิดจะทำอะไร ใครหน้าไหนก็หยุดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ หลังเย็บแผลเสร็จ เผลอ ๆ ตอนบ่ายก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วมั้ง ไม่มีใครทำร้ายเขาได้หรอก”

“ฉันยังมีเรื่องต้องทำ วันหลังค่อยคุยกันนะคะ” อวี่ฉีว่าตัวเองอยากโต้กลับและแก้ต่างแทนหานเซ่า ถึงขนาดหงุดหงิดซูเวยเวยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เธอถึงลองคิดทบทวนดูอีกครั้ง เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของซูเวยเวยหรอก ในหนึ่งเดือนหานเซ่าก็คงเจอเธอแค่ไม่กี่ครั้ง แถมหัวใจทั้งดวงของเธอก็โยนให้หลินเซียวไปหมดแล้ว จะมาสังเกตเห็นเรื่องนี้ได้ยังไงกัน คนเรานั้น ต่อให้เห็นคนที่ตัวเองไม่สนใจขาหักทั้งสองข้าง ก็ไม่เจ็บปวดเท่ายามที่ต้องเห็นคนที่ตัวเองใส่ใจมีแผลบาดเพียงแค่นิ้วหนึ่ง

โลกมันก็ไม่ยุติธรรมเช่นนี้แหละ เธอรับรู้มานานแล้ว เพียงแต่สิ่งที่เกิดกับหานเซ่านั้นมันช่างน่าเศร้าเหลือเกิน สิ่งที่เขาทำ ทำให้คนภายนอกยิ่งคิดว่าเขาเข้มแข็งเป็นที่พึ่งพาได้มากเกินไป ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้ เขาก็สามารถเผชิญหน้ากับมันได้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจสั่นคลอนเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือคนรัก ทุกคนต่างคิดว่าเขาฝึกตนจนบรรลุวิชาร่างกายคงกระพัน ถึงต้องเจอกับความทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้ก็คงไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร

อวี่ฉีถอนหายใจ ความจริงแล้วสิ่งที่คนจำนวนมากมักมองข้ามไป คือคนบางคนนั้นต่อให้จะยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม สุดท้ายเขาก็ยังเป็นคน ไม่ใช่เทพเจ้าอะไรทั้งนั้น หากพวกเขาบาดเจ็บก็ย่อมรู้สึกเจ็บปวดได้เช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขาแตกต่างออกไปคือ พวกเขาเคยชินกับการอดทนอดกลั้นไว้คนเดียว เพราะไม่มีใครใส่ใจหรือสนใจ แม้แต่คนที่จะเป็นห่วงเป็นใยถามไถ่ชีวิตของพวกเขาก็ไม่มี

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะการไม่มีใครคอยใส่ใจพวกเขา ถ่านเพียงก้อนเดียวที่ถูกหยิบยื่นให้ท่ามกลางหิมะอันเหน็บหนาวถึงได้ดูล้ำค่ายิ่งกว่าเดิม

 ————————————————————-