ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรตรวจฎีกา
ขันทีน้อยเข้ามารายงานประโยคหนึ่ง…
ฮ่องเต้ทรงเงยพระพักตร์อย่างรวดเร็ว ทอดพระเนตรขันทีน้อยผู้นั้น ตรัสอย่างรีบร้อนว่า “เร็ว รีบไปเชิญเขาเข้ามา! อีกอย่าง พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีน้อยรวมถึงเหล่าบ่าวไพร่ก็ออกไปทันที
ไม่นาน
คนสวมชุดผ้าบางเบาปรากฏตัวอยู่กลางตำหนัก สายลมพัดอยู่ในตำหนักใหญ่ พัดเอาชายเสื้อสีขาวพลิ้วไหว ขับเน้นบุคลิกเด่นล้ำเหนือโลกของเขา รัดเกล้าสีเงินรัดเส้นผมสีดำขลับทิ้งตัวไว้ด้านหลัง เผยความน่าเกรงขามออกมา
บนอาภรณ์ขาวสะอาดผูกสายรัดเอวสีเงิน เจือจางกลิ่นอายเทพบนร่างนั้นไปหลายส่วน เพิ่มความเคร่งขรึมและเข้มแข็งขึ้นมา
เมื่อเขาเดินเข้า สายพระเนตรของฮ่องเต้ก็วนเวียนอยู่รอบๆ กายเขา
หลังจากเสินเซ่อเทียนเข้ามา ก็คุกเข่าลง มือขวาวางแนบอกคารวะ “เสินเซ่อเทียน ถวายบังคมฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้รีบลุกขึ้นจากบัลลังก์ ทรงเดินไปทางเสินเซ่อเทียน “ข้าเคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ยามพบข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีรีตองเช่นนี้!”
“ฝ่าบาท ไม่อาจขัดต่อธรรมเนียมได้” เสินเซ่อเทียนยังคงท่าทางเคารพนบนอบเอาไว้
เมื่อสายลมพัดผ่าน ปอยผมที่อยู่ตรงหน้าอกเขาปลิวไปด้านหลัง ขับเน้นให้เห็นความสูงสง่าราวทวยเทพ ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างหลงใหล
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไป เตรียมจะพยุงเสินเซ่อเทียน “เจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ!”
เสินเซ่อเทียนหลบพระหัตถ์นิ่งๆ เขาลุกขึ้นพร้อมถอยร่นไปหนึ่งก้าว รักษาระยะห่างกับฮ่องเต้เอาไว้
ทำให้สีพระพักตร์ฮ่องเต้ในเวลานี้แข็งทื่อ
พระพักตร์ที่เตรียมพยุงเสินเซ่อเทียนค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ สุดท้ายก็ทรงรั้งกลับไพล่หลัง กำหมัดแน่นด้วยความกระอักกระอ่วน
เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้ เสินเซ่อเทียนลอบถอนใจอยู่ในใจเบาๆ รู้ดีว่าฮ่องเต้ทรงพิโรธแล้ว
แต่ว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาทำได้แต่ปล่อยให้พระองค์ทรงพิโรธเท่านั้น
ฮ่องเต้ทรงจ้องใบหน้าราวน้ำแข็งตรงหน้า ทอดพระเนตรคนที่หล่อเหลาสง่างามราวเยาว์วัย ดูสูงส่งอยู่เหนือหล้า จนถึงกระทั่งแผ่ไอศักดิ์สิทธิ์ออกมา ตรัสด้วยสุรเสียงเย็นชา “เจ้าจะต้องผลักไสข้าให้ไกลห่างออกไปพันลี้ให้ได้ใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาททรงรู้ดี เพราะเหตุใดปีนั้นเสินเซ่อเทียนถึงแยกจากพระองค์ ยืนหยัดย้ายออกไปอยู่ตำหนักแปรพระราชฐาน” เสินเซ่อเทียนค้อมเอวประสานหมัด เอ่ยด้วยคำพูดแสดงความเคารพถึงที่สุดทว่าสีหน้ากลับดื้อดึง
พระพักตร์ฮ่องเต้เขียวคล้ำ
พระองค์ย่อมจำได้และเพราะจำได้ ความโกรธในใจถึงยังดำรงอยู่ พระองค์ทอดพระเนตรคนเบื้องหน้า ตรัส “เสินเซ่อเทียน หลายปีมานี้ขอเพียงเจ้าเอ่ยปาก ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าล้วนตามใจเจ้า ต่อให้เป็นเรื่องเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…ทุกคนต่างหวังให้ข้ากำจัดเขา หรือว่าปล่อยให้เขาทำลายตัวเองไปเสีย แต่เพราะคำพูดประโยคนั้นของเจ้า ข้าถึงยอมให้เจ้าอบรมสั่งสอนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ความในใจที่ข้ามีต่อเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ!”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว สีหน้ายิ่งพินอบพิเทา “กระหม่อมเข้าใจว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!”
คำพูดนี้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นนายกับบ่าวเท่านั้น
“เจ้า…” ในที่สุดฮ่องเต้ก็พิโรธขึ้นมาบ้างแล้ว
ความอดทนของเสินเซ่อเทียนก็ถูกใช้จนหมดสิ้น
เขาเงยหน้ามองฮ่องเต้ น้ำเสียงน่าเกรงขามไม่ด้อยกว่าผู้เป็นกษัตริย์ดังขึ้น “ฝ่าบาท แปดปีก่อนตอนข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวง ถึงได้รู้ว่าครอบครัวประสบเคราะห์กรรมไปนานแล้ว ยามนั้นท่านรับปากข้า จะช่วยพลิกคดีให้กับตระกูลของเสินเซ่อเทียน เพื่อล้างมลทินให้กับคนในตระกูลข้า จะล้างหนี้เลือดให้กับศัตรูของข้าด้วยเลือด เพราะบุญคุณนี้เสินเซ่อเทียนถึงสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อท่านไปชั่วชีวิต! แต่ขอให้พระองค์ทรงเข้าใจว่า เสินเซ่อเทียนเพียงแค่จงรักภักดีต่อพระองค์ ไม่มีเรื่องอื่นใดทั้งนั้น!”
หากมิใช่บุญคุณ ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งโอหังของเสินเซ่อเทียนไม่มีทางก้มหัวให้ใครง่าย ๆ
ปีนั้นอาศัยวรยุทธ์ของเขาก็เพียงพอจะกวาดล้างศัตรูทั้งหลายแล้ว แต่ว่า…ไม่อาจปล่อยให้คนในตระกูลที่ตายไปแบกรับมลทินความผิด ให้ตระกูลของเขาแบกรับชื่อเสียงของขุนนางทรยศ ตายด้วยความอัปยศ
ต่อให้ต้องใช้เวลาอีกหลายปีเพื่อล้างมลทินเขาก็ยินดี
ส่วนตอนนั้นฮ่องเต้ทรงมีน้ำใจช่วยเหลือเขา ภายในระยะเวลาสั้นๆ ช่วยล้างมลทินให้คนในครอบครัวเขา ดังนั้นชั่วชีวิตนี้ เขาไม่มีทางทรยศฮ่องเต้ แต่นี่คือสิ่งที่เขาทำได้ทั้งหมดแล้ว
นอกจากเรื่องนี้ ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
ฮ่องเต้ก็ทรงเข้าพระทัยในความหมายของเสินเซ่อเทียน พระองค์สงบนิ่งไปสักครู่ ในที่สุดก็ไม่ดึงดื้อแก้ไขความสัมพันธ์กับเขาอีก ทว่าตรัส “เสินเซ่อเทียน อย่ากลับไปที่ตำหนักหลิงซานอีกแล้ว อยู่ที่นี่เพื่อช่วยงานข้า เป็นผู้ช่วยของข้าเถอะ!”
เมื่อพระองค์ขอ เสินเซ่อเทียนไม่ตอบ ใบหน้าราวก้อนน้ำแข็งไร้อารมณ์ มีเพียงความสูงส่งและห่างเหินประดุจเทพ
ฮ่องเต้ทรงรับรู้ว่า เสินเซ่อเทียนไม่เอ่ยวาจาเพราะกำลังรออะไรบางอย่าง
พระองค์ทรงสูดลมหายใจลึก ข่มความยินดีและไม่ยินยอมในใจ สัญญาออกไปว่า “คอยช่วยเหลืออยู่ข้างกายข้า ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีอะไรเกินเลยอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เสินเซ่อเทียนตอบรับด้วยความเคารพ
ยามมองคนโอหังเช่นเขาแสดงความเคารพต่อหน้าตนเอง ฮ่องเต้กลับรู้สึกยินดีไม่ออก สะบัดชายเสื้ออย่างเย็นชา เดินกลับไปที่บัลลังก์
พระองค์นั่งอยู่บนที่นั่งแห่งราชันย์อันเย็นเยียบ มองคนที่แสดงความเคารพอยู่เบื้องหน้า ยิ่งทำให้หายใจไม่ออก หากบนโลกนี้มีสิ่งที่ฮ่องเต้อยากได้มากที่สุด นั่นคือคนที่อยู่เบื้องหน้าตนผู้นี้
หากทำได้ หากใช้บังลังก์มังกรที่พระองค์รักถนอมที่สุดนี้แลกมา พระองค์ก็ไม่เสียดายเลย
พระองค์ทรงเข้าใจว่า ต่อให้มอบบัลลังก์ของตนออกไป เสินเซ่อเทียนก็ไม่ใส่ใจ ส่วนคำสัญญาที่เสินเซ่อเทียนให้ไว้ ก็มีเพียงแค่ตราบใดที่เขายังไม่ตาย ก็จะปกป้องพระองค์ คุ้มครองความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉินเท่านั้นเอง
ฮ่องเต้ทรงเข้าใจ สำหรับคนอย่างเสินเซ่อเทียน ด้วยนิสัยและความสามารถที่คนทั่วหล้าไม่อาจเทียบเคียงได้ พระองค์มิอาจบีบคั้นจนเกินไป กระทั่งไม่อาจบีบคั้นเขาเลยด้วยซ้ำ พระองค์จึงได้แต่ถอยให้!
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงตามตัวกระหม่อมด้วยเรื่องอันใด” เสินเซ่อเทียนยังคงรักษาท่าทางก้มหน้าแสดงความเคารพเอาไว้
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียน ในที่สุดก็ตัดสินใจตรัสเรื่องงาน “ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปรากฏสตรีนางหนึ่ง นามว่า เยี่ยเม่ย เป่ยเฉินเสียเยี่ยนชื่นชอบนางมาก เดิมทีก็ไม่มีอะไร เพียงแต่หลังจากสตรีนางนี้ปรากฏกาย ก็ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน ข้ารู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง!”
เอ่ยไปแล้ว ฮ่องเต้ก็ตรัสต่อ “ทั้งข้ายังไม่ได้รับข่าวจากชายแดน ข้างกายนางยังมีจิ่วหุนคอยติดตามอยู่ จิ่วหุนเป็นคนแบบไหน ข้าไม่พูด เจ้าก็คงรู้ ข้ารู้สึกว่านางอันตราย!”
เสินเซ่อเทียนได้ฟัง ก็ถามว่า “ฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมจัดการอย่างไร”
เห็นท่าทางเคารพของเสินเซ่อเทียน ฮ่องเต้ก็เข้าใจ อีกฝ่ายต้องการให้พระองค์รีบสั่งงาน จะได้รีบจากไป ความจริงแล้วพระองค์เข้าใจดี เพราะพระองค์มีความคิดที่ไม่ควรมีกับเสินเซ่อเทียน ทำให้คนผู้ไม่ยินยอมรั้งอยู่นานแม้แค่นาทีเดียว
ฮ่องเต้พลันรู้สึกปวดใจ ถอนหายใจออกมา เอ่ยว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปดูด้วยตัวเอง หากนางเป็นภัยคุกคาม ก็กำจัดซะ !”