“หากนางเป็นคนในดวงใจของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจริง ฝ่าบาทเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างหรือไม่” เสินเซ่อเทียนย้อนถาม
ฮ่องเต้พลันตีพระพักตร์เย็นชา จ้องเสินเซ่อเทียน “หากสตรีนางนั้นมีอันตรายต่อเป่ยเฉิน เช่นนั้นก็ต้องกำจัด! หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปกป้องนางให้ได้ เสินเซ่อเทียนเจ้าคงรู้ว่านี่หมายความอย่างไร!”
เสินเซ่อเทียนนิ่งไปชั่วครู่ ในที่สุดก็เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “กระหม่อมเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ!”
หากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะปกป้องนางให้ได้ เช่นนั้นเขาก็ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามความปลอดภัยของราชสำนักเป่ยเฉิน เช่นนี้…ต่อให้เขา เสินเซ่อเทียนเห็นแก่ส่วนตัวแค่ไหน ก็ทำได้เพียงกำจัดเขา
“กระหม่อมทูลลา!”
สิ้นเสียง เสินเซ่อเทียนก็จากไป
จู่ๆ ฮ่องเต้ทรงเรียกเขาไว้ “เสินเซ่อเทียน !”
เสินเซ่อเทียนชะงักฝีเท้า ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมมิได้หันหน้ากลับไป
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแผ่นหลังตรงตระหง่าน ราวกับได้พบเทวดาในความฝัน เทพองค์นั้นเคร่งขรึมไม่อาจเข้าใกล้ พระองค์อดถามออกไปไม่ได้ “สิ่งที่ข้าขอ เจ้าให้ไม่ได้จริงๆ หรือ”
เสินเซ่อเทียนเงียบไปสักครู่ ในที่สุดก็หันกลับมา “ฝ่าบาท ขออภัยที่กระหม่อมต้องเอ่ยตามตรง ความรู้สึกประเภทนี้ กระหม่อมรู้สึกขยะแขยงมาก!”
สีพระพักตร์เปลี่ยนไปเขียวคล้ำทันที
พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า เสินเซ่อเทียนหาได้มีความคิดด้านนั้นต่อพระองค์เลย และไม่เคยมีความคิดถวายตัวมาก่อน พระองค์รู้ดี เสินเซ่อเทียนอดทนส่งสัญญาณบอกพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เพราะพระองค์เป็นผู้มีบุญคุณต่อครอบครัวเขาเท่านั้น
แต่พระองค์คิดไม่ถึงว่า วันนี้คำพูดที่ออกจากปากเขาไม่เพียงแค่การปฏิเสธ ยังเป็นความรู้สึกของเสินเซ่อเทียนที่มีต่อพระองค์มาโดยตลอดอีกด้วย
เขารู้สึกขยะแขยง
บางทีนี่อาจเป็นการลบหลู่ที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตของฮ่องเต้ พระองค์หลงคิดว่าอาจก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางเพศ สามารถแสดงออกถึงความจริงใจ หลังจากแสดงความในใจออกไป ถึงกับถูกปฏิเสธกลับมาว่าขยะแขยง
พระองค์จะไม่รู้สึกถูกลบหลู่ จะไม่โกรธได้อย่างไร
ฮ่องเต้ทรงตวาดก้อง “เจ้ารีบไสหัวออกไป!”
“กระหม่อมทูลลา!” เสินเซ่อเทียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน เดินออกไปด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
เสี้ยวนาทีที่เขาเดินออกจากตำหนักไปนั้น ฮ่องเต้ทรงกวาดข้าวของบนโต๊ะทรงพระอักษรร่วงลงพื้นจนหมดสิ้น ขันทีน้อยที่เพิ่งเข้ามาตกใจจนหน้าซีด
ฝ่าบาท…ทรงเป็นอะไรไปแล้ว
“ฝ่าบาท” ขันทีน้อยลองเรียกคำหนึ่ง
ฮ่องเต้ทรงแผดเสียงด้วยโทสะทันที “ไสหัวออกไป! ไสหัวออกไปให้หมด!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีน้อยตกใจรีบเผ่นออกไปทันที บรรดาบ่าวไพร่ที่เตรียมตัวเข้ามาปรนนิบัติหลังจากเสินเซ่อเทียนจากไป ในเวลานี้ก็ล่าถอยออกไปจนหมด
……
หลังจากเสินเซ่อเทียนจากมา ก็ส่ายหน้ารู้สึกจนปัญญา
เป่ยเจี้ยนเกอรอเสินเซ่อเทียนอยู่หน้าประตู ย่อมได้ยินเสียงพิโรธราวฟ้าผ่าของฮ่องเต้ เขาเข้าใจดี เกรงว่าวันนี้จวินซ่างจะทำให้ฝ่าบาททรงพิโรธแล้ว
เสี้ยวขณะนี้ เป่ยเจี้ยนเกอรู้สึกว่าฮ่องเต้ช่างน่าขันนัก
เสินเซ่อเทียนผู้มีความสามารถเทียบเคียงเทพ กระทั่งเป็นคนที่เอาชนะเทพได้ในสายตาคนทั่วหล้า ยินยอมจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ เขายังมีอะไรไม่พอใจกัน
แม้กระทั่งเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังเคยเยาะเย้ยจวินซ่างว่าจงรักภักดีให้กับคนโง่เขลาอย่างฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
ผลเล่า
ฮ่องเต้ไม่เพียงไม่รู้จักพอเท่านั้น ซ้ำร้ายยังมีความคิดเกินเลยเช่นนั้น
เขาอดใจไม่ไหว เอ่ยออกไปว่า “จวินซ่าง ฝ่าบาทช่างเหิมเกริมนัก!”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้ว เพียงปรายตามองเป่ยเจี้ยนเกอเอ่ยเสียงเย็นว่า “ห้ามไม่เคารพฝ่าบาท!”
“ขอรับ!” เป่ยเจี้ยนเกอรับคำ
เขาเข้าใจดี ต่อให้จวินซ่างไม่พอใจฝ่าบาท แต่…เพราะบุณคุณในปีนั้น จวินซ่างจึงไม่อาจทรยศ หรือไม่เคารพฝ่าบาท
……
“เยี่ยเม่ยออกจากชายแดนไปแล้ว” จิวมั่วเหอขมวดคิ้วแน่นมองทหารเบื้องหน้าตน
นายทหารตอบ “ขอรับ! นี่คือข่าวที่สายในเมืองรายงานมา เยี่ยเม่ยกลับถึงชายแดนหลังจากปะทะกับเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไม่นานก็ขี่ม้าออกไปโดยลำพัง!”
จิวมั่วเหอพลันสงบลง หลายวันมานี้เขาอยากพบเยี่ยเม่ยมาตลอด จะหารือเรื่องที่ราชาต้ามั่วลักลอบสมคบคิดกับเป่ยเฉินอี้ แต่ว่าหลายวันนี้เยี่ยเม่ยไม่อยู่ชายแดน ไม่ง่ายเลยกว่านางจะกลับมา
คิดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันหาเวลาเหมาะสม นางก็ออกไปอีกแล้ว
จิวมั่วเหอพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว บอกให้สายในเมืองคอยจับตาดูไว้ พอนางกลับมาให้มารายงานข้าทันที!”
“ขอรับ!” นายทหารรับคำสั่ง
จิวมั่วเหอถามขึ้นว่า “เฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่มีชีวิตรอดกลับมาไหม”
“กลับมาแล้ว…กำลังเข้าเฝ้าท่านข่าน…” นายทหารตอบทันที
จิวมั่วเหอแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง
……
ซือหม่าหรุ่ยที่เผชิญกับคนตรงหน้ารู้สึกตื่นเต้นมาก
นางก้มหน้าลง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “องค์ชายสี่ ข้าเล่าเรื่องออกไปหมดแล้ว ท่านยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่”
ความจริงแล้ว นางเกลียดพวกเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทุกคน ทั้งยังไม่อยากพูดคุยกับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจด้วย เพียงแต่ว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นคนที่มีบรรยากาศคุกคามรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ซือหม่าหรุ่ยสาบานก่อนที่นางจะได้พบเซียวชิน ยังไม่คิดเอาชีวิตเข้าแลก ดังนั้นจึงได้แต่เกรงใจเขาแล้ว
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ก็จ้องนางเขม็ง
น้ำเสียงน่าฟังเจือด้วยความอันตราย ทำให้คนรับรู้ว่ายามนี้เขากำลังไม่พอใจ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยเสียงขรึมว่า “สิ่งที่เจ้าบอกกับเยี่ยนคือความจริงทั้งหมดใช่หรือไม่”
คำพูดของซือหม่าหรุ่ยตามเหตุผลแล้วไม่มีปัญหาเลย เยี่ยเม่ยเดินทางไปหายา
แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับรู้สึกว่า ปัญหาหาได้ง่ายดายอย่างที่เห็นเบื้องหน้า
ซือหม่าหรุ่ยเงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่คล้ายจะเริ่มไม่พอใจขึ้นแล้ว “สิ่งที่สมควรเล่า ข้าก็เล่าไปหมดแล้ว หรือว่าองค์ชายสี่อยากได้ความจริงที่ต่างออกไป ยังมีความจริงอะไรอีก หรือว่าตัวองค์ชายสี่มีปมในใจของท่านเอง”
คำที่ออกมาด้วยท่าทางไม่สู้ดีนักของซือหม่าหรุ่ย ทำเอาอวี้เหว่ยในยามนี้ได้แต่ปาดเหงื่อแทนนาง ในโลกนี้คนที่กล้าเอ่ยวาจากำเริบเสิบสานต่อหน้าเตี้ยนเซี่ยมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ซือหม่าหรุ่ยผู้นี้…ช่างขวัญกล้ายิ่งนัก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟัง ดวงตาชั่วร้ายทอประกายสีแดง เริ่มเกิดความโมโห แต่สุดท้ายเขาก็สะกดไว้ มองที่ศีรษะของซือหม่าหรุ่ยอย่างสงสัยทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดัน ซือหม่าหรุ่ยในใจก็เริ่มหวั่นหวาด
ความจริงนางไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แต่บรรยากาศรอบกายเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว นางกลัวหากไม่แสร้งทำเป็นโมโห สุดท้ายเพราะความกลัวอาจทำให้เผยพิรุธออกไป
ดังนั้นจึงต้องเลือกที่จะเสี่ยง…
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนจ้องซือหม่าหรุ่ยอยู่สักพักใหญ่ จนกระทั่งซือหม่าหรุ่ยรู้สึกว่าหากเขายังจ้องนางเช่นนี้ต่อไปอีก นางจะเลือกเป็นลมล้มไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ในที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปเถอะ!”
“ได้!”
ซือหม่าหรุ่ยยามนี้คลายใจลง แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า หมุนกายจ้ำออกไปทันที
ไม่ว่าอย่างไรเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เป็นเชื้อพระวงศ์ของเป่ยเฉิน เป็นศัตรูหรือมิตรไม่ชัดเจน เยี่ยเม่ยไม่ยินยอมบอกความจริงกับเขา ตัวนางก็ไม่อาจทำเกินหน้าที่ของตน ช่วยบอกแทนเยี่ยเม่ย
ยังดีที่ปกปิดไปได้
อวี้เหว่ยมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง ถามอย่างระวังว่า “เตี้ยนเซี่ย ท่านเชื่อว่าไม่มีปัญหาจริงๆหรือ”