ถึงแม้ดูจากการแสดงออกของซือหม่าหรุ่ยก็ไม่มีปัญหาจริงๆ สีหน้าของสตรีนางนี้ก็ไม่เผยพิรุธใดๆ
แต่ว่า…
ความจริงอวี้เหว่ยก็รู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง
แม้ว่าเขาไม่ใช่อวี้เหว่ยที่มีความรู้สึกไวนัก แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่วางใจของเตี้ยนเซี่ย เขาก็รู้สึกไม่วางใจขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
เมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยออกมา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหันกลับไปกวาดตามองเขา เอ่ยว่า “เรื่องไม่ง่ายดายถึงขนาดนี้! เยี่ยนมักรู้สึกว่า เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคำถามที่เยี่ยเม่ยถามซือหม่าหรุ่ย ยิ่งไปกว่านั้นบางทีอาจเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่เป่ยเฉินอี้พานางไป และคำพูดที่เขาพูดกับนางด้วย”
เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินอี้อยู่ร่วมกันหลายวัน เขาไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักน้อย ถามนาง นางก็ทำเหมือนไม่มีอะไร ไม่ยินยอมเล่า บางทีปัญหาอาจจะเกิดตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้!
เมื่อคิดได้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็เรียก “เสี่ยวกวน!”
เสี่ยวกวนรีบโผล่ออกมาจากที่ลับ คุกเข่าลง “เตี้ยนเซี่ย!”
ถึงเสี่ยวกวนจะความรู้สึกเฉื่อยนัก แต่ระดับสติปัญญายังพอมีอยู่บ้าง เมื่อเตี้ยนเซี่ยเรียกเขาออกมา เขาก็รู้ว่าเตี้ยนเซี่ยต้องการถามอะไร จึงเอ่ยตอบทันทีว่า “เตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยหารู้ไม่ว่าเป่ยเฉินอี้พาแม่นางเยี่ยเม่ยไปที่ใด หลังจากที่ข้าน้อยพบจงรั่วปิง ก็มุ่งตรงไปที่หมู่ตึกกูเยว่ทันที ทว่าระหว่างทางมิได้พบพวกเขาเลย ดูท่าพวกเขาจะเดินทางไปที่อื่น!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสี่ยวกวนหยุดเล็กน้อยจากนั้นก็เล่าต่อ “เดิมทีข้าน้อยรู้สึกหมดหวัง คิดว่าจะหานางไม่พบแล้ว ขณะคิดว่าจะกลับมารายงานดีหรือไม่ ก็บังเอิญพบพวกเขาระหว่างทางกลับชายแดน! ดังนั้น…”
ดังนั้นเยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินอี้ไปที่ไหนมา เขาไม่รู้เลยสักนิด
อวี้เหว่ยมองเสี่ยวกวนทีหนึ่ง อดใจไม่ไหวเอ่ยคำยุแยงว่า “เสี่ยวกวนเอ๋ย ช่วงนี้โอกาสออกโรงของเจ้าสูงเสียเหลือเกิน แต่ว่าทำไมข้ารู้สึกว่าการออกโรงของเจ้าช่างไม่มีประโยชน์เอาเสียเลย! กลับมาแต่ละครั้ง เตี้ยนเซี่ยถามอะไร เจ้าก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้สักอย่าง จากนั้นก็บอกว่าข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าเจ้ายังมีประโยชน์อะไรอีก!”
เมื่ออวี้เหว่ยตำหนิ เสี่ยวกวนรีบปาดเหงื่อบนหน้าผาก ในใจเคียดแค้นอวี้เหว่ยเป็นทวีคูณ ทำไมต้องเอ่ยประโยคพวกนี้ออกมา ทำให้เตี้ยนเซี่ยรู้สึกว่าเขาไร้ประโยชน์ด้วย ?!
เขาล่วงเกินอวี้เหว่ยตอนไหนกัน
เป็นดังคาดเมื่ออวี้เหว่ยเอ่ยจบ แววตานิ่งขรึมของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเสี่ยวกวน น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ก็ไปรับโทษโบยหนึ่งร้อยไม้ บางทีผ่านวันเวลาเหล่านี้ไป เจ้าอาจรู้อะไรมากขึ้นบ้าง!”
ใบหน้าเสี่ยวกวนยามนี้พลันมีน้ำตาไหลเป็นสองสาย “ขอรับ!”
ความจริงแล้วสองสามวันนี้เขามีลางสังหรณ์ไม่ดี รู้สึกว่าช่วงนี้ตนทำเรื่องอะไรก็ไม่สำเร็จอาจจะถูกจัดการได้ คิดไม่ถึงว่าในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เฮ้อ…ความจริงวินาทีนี้ เขาก็ไม่ได้เสียใจขนาดนั้นแล้ว กลับเกิดความรู้สึกคลายใจ
ก็ถูก ทุกวันเขากังวลว่าตนเองจะถูกโบย เมื่อวันนี้รับโทษโบยแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลใจต่อไปอีก
เขาลุกขึ้นอย่างโศกเศร้า มองอวี้เหว่ยด้วยความแค้น สายตาราวกับมองศัตรูของตน
อวี้เหว่ยกลับมีสีหน้าอึดอัด แอบมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนทีหนึ่ง จากนั้นก็มองเสี่ยวกวนทำปากว่า ข้าไม่ได้ตั้งใจ
เสี่ยวกวนร้องเหอะในใจ ไม่ตั้งใจก็แปลกแล้ว!
หลังจากเสี่ยวกวนจากไป มุมปากอวี้เหว่ยยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ช่วงนี้เสี่ยวกวนมีโอกาสออกงานมากเกินไปแล้ว เขาเพียงแค่แทงมีดออกไปต่อหน้าครั้งหนึ่ง เพื่อรักษาตำแหน่งอันดับหนึ่งต่อหน้าเตี้ยนเซี่ยเอาไว้ ดูท่าเขาจะจัดการงดงามมาก!
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่อมเห็นรอยยิ้มมุมปากของอวี้เหว่ย เข้าใจความคิดของเขา เพียงแต่เสี่ยวกวนทำงานไม่สำเร็จติดต่อกัน แต่แม้เยี่ยเม่ยหายตัวไปที่ไหนยังไม่รู้ ทำให้เขาไม่พอใจจริงๆ
อวี้เหว่ยเก็บรอยยิ้มของตน มองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ถามต่อว่า “เตี้ยนเซี่ย เรื่องนี้ท่านคิดว่าอย่างไร”
องค์ชายสี่นวดหว่างคิ้ว เพลิงโทสะในใจโหมกระหน่ำ ค่อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้บางทีเป่ยเฉินอี้อาจจะรู้คำตอบ!”
อวี้เหว่ยเลิกคิ้ว “ท่านคิดไปถามเป่ยเฉินอี้”
“ไม่!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความหนักใจอย่างไม่เคยมีมากก่อน เขาเอ่ยไปตามเหตุผล “หากเยี่ยเม่ยจงใจปกปิดความลับ ให้เยี่ยนไม่อาจรู้ได้ อย่างนั้นนางก็ไม่มีทางบอกเป่ยเฉินอี้ ยามนี้หากเยี่ยนไปถามเป่ยเฉินอี้ ในทางกลับกันจะทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีปัญหา จับพิรุธของนางได้!”
อวี้เหว่ยคิดๆ ดู ก็จริง
หากเตี้ยนเซี่ยถามออกไปโดยพลการ เป่ยเฉินอี้มองปัญหาของเยี่ยเม่ยออก เกิดอีกฝ่ายรู้เท่าทันความลับของแม่นางเยี่ยเม่ยที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ได้ นั่นไม่เท่ากับเป็นการทำร้ายเยี่ยเม่ยหรอกหรือ
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้…
อวี้เหว่ยปรายตามอง เตี้ยนเซี่ย “เช่นนั้นท่านก็เหลือแต่ครุ่นคิดเอง ค่อยๆ พิจารณาไปแล้ว!”
ไม่ใช่หรือไง
แม่นางเยี่ยเม่ยไปที่ไหน ยังไม่มีใครรู้ทิศทางของนาง ดูจากผลงานของนางครั้งก่อน ไม่แน่ว่าเตี้ยนเซี่ยยังไม่ทันพบตัว นางก็กลับมาก่อนแล้ว
ถามซือหม่าหรุ่ยไม่ได้คำตอบ ถามเป่ยเฉินอี้ก็อันตรายเกินไป…
“ไม่เป็นไร!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโบกมือ นัยน์ตาชั่วร้ายยามนี้เผยความแน่วแน่ น้ำเสียงเบาสบาย ค่อยๆ กล่าว “ไม่ว่ามีความลับปิดบังจริงหรือไม่ ไม่ว่าปฏิกิริยาของนางเกิดจากอะไร สรุปว่าเยี่ยนไม่ปล่อยมือก็พอแล้ว!”
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องสับสนอีกต่อไป
อวี้เหว่ยพยักหน้า รู้สึกสงบใจได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เตี้ยนเซี่ยก็จะไม่อารมณ์เสียต่อใช่หรือไม่
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “ก็ถูก! อืม คือเตี้ยนเซี่ย ข้าน้อยขอ ช่วงนี้ฝากคนนำตั๊กแตนมาจากเมืองหลวง ข้าน้อย…”
ข้าน้อยไม่กัดจิ้งหรีดแล้ว เปลี่ยนเป็นตั๊กแตนได้ไหม
เขายังไม่ทันเอ่ยจบ แววตาเย็นชาของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็มองเขา อวี้เหว่ยมุมปากกระตุก น้ำตาสองสายไหลพรากเหมือนเสี่ยวกวน สะอื้นเอ่ย “ข้าน้อยทราบแล้ว กลับไปข้าน้อยจะปล่อยตั๊กแตน!”
อวี้เหว่ยคิดว่า เช่นนี้ชีวิตเขาคงไร้ความหมาย!
ในเวลานี้เอง ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าร้อนรนดังขึ้นมา เซียวเยว่ชิงจ้ำพรวดพลาดเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ค้อมเอวรายงานว่า “เตี้ยนเซี่ย พวกเราทำตามความต้องการของแม่นางเยี่ยเม่ย ไล่สังหารพวกเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ไป ผลคือพวกเขาถูกสังหารไปจำนวนมาก! พวกเขาคิดไม่ถึงว่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะสั่งให้คนไล่ตามไป ดังนั้นจึงไม่ดักซุ่มระหว่างทาง พวกเรากำจัดคนได้อย่างราบรื่น!”
เมื่อเอ่ยแล้วเซียวเยว่ชิงมีสีหน้ายินดี
ในสถานการณ์ปกติ ไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่ามีการดักซุ่มโจมตีแน่ ไม่ตามไปเด็ดขาด คิดไม่ถึงว่า แม่นางเยี่ยเม่ยใช้วิธีคิดในทางตรงกันข้าม ทว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ
เขาเอ่ยต่อว่า “พลทหารสามพันนายของเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่ ถูกพวกเรากำจัดราบคาบ เหลือเพียงทหารม้าเหล็กสองพันนายที่คุ้มครองเฮ่อเหลียนเฮ่าเยว่หนีกลับไปค่ายต้ามั่วได้!”
พูดไปเขาก็ยิ่งเลื่อมใสเยี่ยเม่ยมาก!