ตอนที่ 1204 สันหลังของทวีป โดย Ink Stone_Fantasy
ในที่ตอนที่พระอาทิตย์ตกลงไป อุณหภูมิบนเทือกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
ควรจะพาที่พักค้างแรมได้แล้ว ไลต์นิ่งคิดในใจ อุณหภูมิบนยอดของเทือกเขาสิ้นวิถีนั้นแตกต่างกันจนน่ากลัว แสงแดดตอนกลางวันนั้นร้อนจนรู้สึกเหมือนโดนเผา ถ้าไม่หาอะไรมากำบัง ผิวก็อาจจะถูกเผาจนไหม้ได้ แต่พอตกกลางคืน ลมหนาวที่พัดไปมาจะพัดเอาความร้อนทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว ถ้าไปนอนอยู่บนยอดไม้เหมือนตอนที่อยู่ในป่าเร้นลับ เกรงว่าตื่นเช้าขึ้นมาพวกเธอแข็งกลายเป็นน้ำแข็งแน่
ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำเป็นต้องหาที่หลบลมหนาวให้ได้ก่อนที่ฟ้าจะมืด
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน” ไลต์นิ่งหยิบเอารูนสดับออกมาพูด “ข้าจะไปหาที่พัก เจ้าไปเอาของกินมา”
เมซี่ที่แปลงร่างเป็นนกนั้นไม่สามารถพูดตอบได้ แต่เธอรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูดไป
จากนั้นเธอก็ลดระดับความสูงเข้าสู่โหมดบินเลียดพื้น ก่อนออกเดินทางอกาธาเคยสั่งกำชับเอาไว้หลายครั้งว่าในตอนที่มองหาร่องรอยของปีศาจให้บินสูงๆ เอาไว้หรือไม่ก็บินเลียดพื้น แล้วก็อย่าเปลี่ยนเส้นทางตามใจชอบ ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเข้าไปในพื้นที่ของสายแร่หินอาญาสิทธิ์ล่ะก็ แบบนั้นคงไม่มีใครช่วยออกมาได้
ไลต์นิ่งปฏิบัติตามคำสั่งนี้อย่างเคร่งครัด เพราะในเทือกเขาแห่งนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจะไม่มีใครที่จะมาช่วยเธอได้ เธอจำเป็นต้องดูแลตัวเองและเมซี่
เนื่องจากตอนที่ทำการสำรวจก่อนหน้านี้เธอได้สังเกตสถานที่ที่พอจะเป็นสถานที่ซ่อนตัวเอาไว้บ้างแล้ว ดังนั้นเธอจึงหาโพรงถ้ำตรงเชิงเขาที่แห่งหนึ่งเจออย่างรวดเร็ว — สภาพภูมิประเทศที่นี่เป็นเหมือนกับป่าหิน มีภูเขาที่มีความสูงแทบจะเท่ากันขึ้นอยู่เต็มไปหมด ภูเขาเล็กๆ แต่ละลูกมีขนาดประมาณเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ถ้าภูเขาเหล่านี้ไปตั้งอยู่ที่อื่นคงจะไม่มีใครสนใจมันแน่ แต่เมื่อตั้งอยู่ที่นี่ มันกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ามหัศจรรย์ ราวกับว่ายอดเขาเหล่านี้ถูกมือขนาดใหญ่แกะสลักให้เป็นแบบนี้
ช่องว่างระหว่างยอดเขานั้นกลายเป็นทางน้ำตามธรรมชาติ เวลาที่ฝนตกหนักมักจะมีน้ำป่าไหลทะลักลงมา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือสภาพอากาศบนภูเขาสูงนั้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างมาก ด้านนี้ของภูเขาอาจจะท้องฟ้าปลอดโปร่ง แต่อีกด้านหนึ่งกลับมีฟ้าร้องครืนๆ นักสำรวจที่ไม่มีประสบการณ์ถ้าเลือกที่พักแรมอยู่ตรงช่วงรอยต่อระหว่างภูเขาเพราะความสะดวกล่ะก็ กลางดึกอาจจะถูกน้ำป่าพัดหายไปได้ ดังนั้นไม่ว่าจะมีที่หลบลมหลบฝนอย่างที่ดีอย่างที่คิดเอาไว้หรือไม่ จุดพักแรมก็ควรจะอยู่ในที่สูง
นับตั้งแต่ที่เข้ามาในพื้นที่ภูเขาที่ถูกเรียกว่าสันหลังของทวีปแห่งนี้ ไลต์นิ่งก็เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว
นอกจากนี้ ภูเขาของที่นี่ก็ไม่เหมือนกับภูเขาที่อื่น ยอดเขาและหน้าผาตามปกติแล้วมันควรจะตรงชั้นขึ้นไป แต่ภูเขาที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นทรงกลม รูปร่างมันดูแล้วเหมือนจะอ่อนยวบยาบ ด้านบนก็มีหลุมยุบตัวอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับว่ามันไม่ใช่สิ่งก้อนหินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากแต่เป็นของเหลวอะไรบางอย่างที่จับตัวเป็นก้อน
โชคดีที่พวกมันยังคงมีความแข็งของก้อนหินอยู่
ถ้ำที่เธอพักค้างแรมในวันนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ พื้นที่ในถ้ำมีขนาดประมาณ 10 กว่าตารางเมตร ด้านในมีเศษหญ้าและเศษกิ่งไม้อยู่ น่าจะเป็นเศษหญ้าและกิ่งไม้ที่พวกนกใช้ทำรัง หลังจากตรวจสอบดูแล้วว่าข้างในไม่มีอันตราย ไลต์นิ่งก็แจ้งตำแหน่งของถ้ำให้เมซี่ทราบ แล้วก็เริ่มเก็บกวาดภายในถ้ำ
ในตอนที่แสงสุดท้ายของวันหายลับไปและความมืดเข้ามาแทนที่ เมซี่ที่แปลงร่างเป็นนกฮูกหิมะก็บินมาถึงถ้ำแห่งนี้ เธอสลักขนก่อนจะแปลงร่างกลับเป็นคน พร้อมกับยกกระเป๋าที่กอดเอาไว้ตรงหน้าอกขึ้นมา “ดูสิว่าข้าหาอะไรมาได้จิ๊บ!”
ไลต์นิ่งรับเอากระเป๋ามา ด้านในมีไก่ภูเขาอยู่ตัวหนึ่งกับไข่นกขนาดใหญ่อีก 4 ฟอง นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากบนยอดเขาสิ้นสิถี แม้แต่เมซี่ที่มีประสบการณ์ในการล่าอันโชกโชนก็ไม่ว่าจะหาเสบียงแบบนี้กลับมาได้ทุกวัน
“ทำได้ดีมาก!”
ไลต์นิ่งลูกหัวอีกฝ่าย ส่วนเมซี่ก็ยิ้มกลับมา “ฮี่ๆ”
กองไฟถูกก่อขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เธอใช้ดินโคลนที่เก็บมาจากด้านล่างภูเขามาก่อเป็นเตาเพื่อบังแสงไฟไม่ให้เล็ดลอดออกไป ก่อนจะเอาดินมาโปะบนตัวไก่ที่ถอนขนออกไปแล้วโยนมันลงไปบนกองไฟ สุดท้ายก็ค่อยวางไข่ทับลงไป
หลังจากนั้น 30 นาที อาหารเย็นก็เสร็จเรียบร้อย
วิธีการทำอาหารแบบนี้ ทั้งสองคนทำตอนอยู่ในป่าเร้นลับมาแล้วหลายครั้ง เรียกได้ว่าพวกเธอมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก
หลังแกะเปลือกดินออก กลิ่นหอมก็ลอยพุ่งมาเตะจมูกทั้งสองคน
น้ำมันที่ไหลออกมาจากใต้ผิวทำให้เนื้อไก่เปล่งประกายแวววาว เครื่องเทศที่ยัดเอาไว้เต็มต้องถูกความร้อนกระตุ้นจนส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลออกมา หลังเอาผิวนุ่มๆ ออกมา สิ่งที่เหลืออยู่คือเนื้อไก่นุ่มๆ มันไม่เหมือนเนื้อไก่ที่ถูกเอาไว้ย่างไฟตรงๆ เพราะการย่างแบบนี้จะทำให้เนื้อไก่ไม่มีรอยไหม้แม้แต่นิดเดียว เมื่อฉีกเนื้อออกมาจะเห็นได้ถึงความชุ่มฉ่ำของเนื้อ
เมื่อกินคู่กับไข่นกที่ถูกนึ่งจนสุก ไม่นานทั้งสองคนก็กินจนปากเลอะเทอะไปหมด แม้แต่หัวไก่ก็ยังแทะจนเกลี้ยง
“เฮ้อ” เมซี่ถอนหายใจออกมา “อาหารที่ตัวเองจับมาเนี่ยแหละอร่อยที่สุดแล้วจิ๊บ”
เจ้านี่ ตอนที่เจอกันครั้งแรกยังทำเป็นพูดบ่นตัวเองว่า ‘นี่เจ้าคิดจะกินนกทั้งตัวเลยเหรอ’ อยู่เลย
ไลต์นิ่งส่ายหัวยิ้มๆ ออกมา “วันนี้เจออะไรไหม? นอกจากของกินแล้ว”
“เอ่อ ไม่มีจิ๊บ…สภาพของที่นี่แทบจะเหมือนๆ กัน ถ้ามีร่างรอยของปีศาจ ข้าจะต้องเห็นแน่จิ๊บ”
ใช่จริงๆ ด้วย ถ้าสายแร่หินอาญาสิทธิ์อยู่ใต้ดินล่ะก็ อาศัยแค่การค้นหาทางอากาศนั้นยากที่จะทำให้เจอร่องรอยของมันได้ ไม่รู้ว่ากองหนุนจากทาคิลาจะมาถึงที่นี่เมื่อไร ถ้าพวกนางสามารถชี้เส้นทางคร่าวๆ ได้ ต่อให้ตำแหน่งจะดูเลือนรางแค่ไหน แต่มันก็ดีกว่าการสุ่มค้นหาไปเรื่อยๆ แบบนี้
ไลต์นิ่งสลัดความคิดฟุ้งซ้านแล้วชี้ไปยังด้านหนึ่งของถ้ำ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นก็ไปเป็นเตียงให้ข้าซะ!”
“เอ่อ….เข้าใจแล้วจิ๊บ” เมซี่เดินลากผมยาวๆ สีขาวของเธอไปยังตำแหน่งที่ไลต์นิ่งชี้ ก่อนจะนอนขดตัวแล้วแปลงร่างเป็นอสูรสยอง
ไลต์นิ่งดับไฟ ก่อนจะนอนลงไปตรงซอกท้องของเมซี่ เมื่อเทียบกับการนอนเบียดกันอยู่ในถุงนอนแล้ว เห็นได้ชัดว่าการนอนอยู่บนท้องเมซี่ที่แปลงร่างเป็นอสูรสยองนั้นมีความสบายมากกว่า อย่างน้อยท้องของเธอก็เป็นเหมือนเครื่องให้ความร้อนขนาดใหญ่ แล้วก็เพียงพอจะทำให้เธอไม่โดนลมหนาวพัดจนแข็งตายในเวลากลางคืน
แต่การนอนเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อน ผิวหนังของอสูรสยองนั้นค่อนข้างหยาบ เรียกได้ว่าสามารถหยาบจนเอามาใช้โกนหนวดได้เลย ไลต์นิ่งอดคิดถึงขนนุ่มๆ ของโลก้าขึ้นมาไม่ได้
“เจ้ายังไม่นอนเหรอ?” เมื่อเห็นเธอควักเอาหินเรืองแสงขึ้นมา เมซี่จึงเหลียวหน้ามาถาม
“อื้อ ข้าต้องจดบันทึกเส้นทางของวันนี้ก่อน ใช้เวลาไม่นานหรอก เจ้านอนไปก่อนเลย”
“อื้อ” เมซี่พูดเสียงงัวเงีย ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เธอพลันพูดงึมงำขึ้นมา “เจ้าจะพาข้าออกไปสำรวจแบบนี้ตลอดไปใช่ไหม?”
ไลต์นิ่งงุนงง ก่อนจะตอบเสียงเบาๆ ออกมา “แน่นอน”
เมื่อแอชเชสไม่อยู่แล้ว ข้าจะรับผิดชอบคอยดูแลเจ้าเอง
หลังได้ยินคำตอบนี้แล้ว ในที่สุดเมซี่จึงหลับตาลง
ไลต์นิ่งเหม่ออยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบเอาสมุดบันทึกออกมา
วันนี้เป็นวันที่สิบที่พวกเธอเข้ามาในพื้นที่ภูเขาทางเหนือของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้ว ระยะทางที่พวกเธอทำการค้นหาประมาณ 120 กิโลเมตร ยิ่งเข้าไปถึงยอดของเทือกเขาสิ้นวิถี เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเล็กของตัวเอง ในสถานที่ที่ไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามานี้ เธอมองเห็นทิวทัศน์ที่ยากจะบรรยายได้มากมาย อย่างเช่นป่าหินที่กว้างใหญ่เหมือนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ น้ำตกน้ำแข็งที่ตกลงไปในทะเลทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ชั้นเมฆที่ต่อกันขึ้นไปเหมือนบันได แล้วก็รอยแยกขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกึ่งกลางของสันหลังของทวีป…เมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว เทือกเขาสิ้นวิถีที่แบ่งสี่อาณาจักรใหญ่นั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งที่ยืดขยายออกไปจากที่นี่เท่านั้น และภาพทิวทัศน์เหล่านี้ก็แอบซ่อนอยู่ด้านบนของภูเขา และถ้าไม่ข้ามหน้าผาที่สูงชันมาก็ไม่มีทางที่จะได้เห็นมัน
ไลต์นิ่งเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อของเธอถึงได้หลงไหลการสำรวจ
โลกนี้กว้างใหญ่เกินไป ถ้าไม่ลืมตาดู คนก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆ มีแต่ต้องทำความเข้าใจเท่านั้นถึงจะเอาให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมาได้
การตัดสินใจเป็นนักสำรวจคือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเธอ
แต่แน่นอน การสำรวจโลกนั้นค่อยทำวันหลังก็ได้ ไลต์นิ่งไม่ลืมว่าตัวเองยังมีหน้าที่อยู่ ถ้าบินออกห่างจากอีเทอร์นอลวินเทอร์มากขึ้นไป ประสิทธิภาพในการค้นหาไม่เพียงแต่ลดต่ำลง แต่มันยังทำให้กองหนุนต้องมาคอยกังวลด้วย เมื่อคำนวณดูจากเวลาแล้ว เรือรบ ‘โรแลนด์’ น่าจะใกล้ถึงเท่าเรือของอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วล่ะ
เธอกวาดตามองแผนที่ ก่อนจะจ้องมองไปที่รอยแตกขนาดใหญ่
เมื่อดูจากระยะไกล มันเป็นเหมือนพื้นที่ยกสูงขึ้นมาเหมือนป่าหิน แต่ตรงกลางกลับเป็นช่องว่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังยากจะระบุได้ว่ามันลึกเท่าไร
เมื่อเทียบกับป่าหินที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างน้อยที่ันั่นก็สามารถมองเห็นภาพตัดที่อยู่ใต้ชั้นหินได้
ถ้าเธอยังไม่พบร่องรอยของสายแร่หินอาญาสิทธิ์หรือว่าปีศาจ เธอก็ควรจะคิดแล้วว่าจะกลับไปรวมกับกองหนุนที่อีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วค่อยวางแผนต่อไปดีหรือไม่
……………………………………………………………..