ขณะเดียวกัน ณ จวนราชเลขา หลินหันเยียนก็นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง ตั้งแต่ราชเลขาหลินกักตัวนางเป็นต้นมา นางก็ไม่ได้ออกจากเรือนไปที่ใดอีกเลย แม้กระทั่งหงเอ๋อร์รวมทั้งสาวใช้คนสนิททั้งหลายก็ถูกจับตามอง เข้าออกจวนจะต้องมีคนติดตามไปด้วยเสมอ
ในเวลาไม่กี่วัน หลินหันเยียนซูบผอมลงไปมาก แม่ของนางมาดูหลายครา เป็นห่วงนางแทบแย่ คอยพูดถึงความดีของคุณชายผู้นั้นให้นางฟังเสมอ
หลินหันเยียนทำเป็นไม่ได้ยิน ราชเลขาฮูหยินเองก็จนปัญญา นอกเสียจากให้คนหาวิธีทำอาหารบำรุงให้นางแล้วนั้น สองสามวันนี้ก็ไม่ได้เข้ามาอีกเลย
หลินหันเยียนยังคงเป็นเหมือนหลายวันก่อน นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง แต่หงเอ๋อร์กลับวิ่งมาด้วยความร้อนใจ กล่าวกับหลินหันเยียนว่า “คุณหนูเจ้าขา แย่แล้ว คุณชายและฮูหยินกล่าวว่ารอจนรายชื่อจอหงวนออกมา ก็จะหมั้นหมายท่านกับคุณชายหลิวเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนเด้งตัวขึ้นจากเตียงทันที เนื่องจากลุกนั่งเร็วเกินไป จึงทำให้หน้ามืดขึ้นมา ร่างของนางก็โอนเอนไปมา
หงเอ๋อร์ตกใจ รีบเดินไปพยุงนาง “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
หลินหันเยียนคว้าแขนของนางเอาไว้ ถามด้วยความร้อนรนว่า “หงเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดเมื่อครู่เป็นจริงหรือ”
หงเอ๋อร์พยักหน้า “เป็นจริงเจ้าค่ะ นอกจากคุณหนู คนในจวนต่างก็รู้กันทั่วแล้ว คุณชายและฮูหยินได้ไปเตรียมการณ์แล้วเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนยิ่งกระวนกระวายกว่าเดิม คว้าแขนของหงเอ๋อร์เอาไว้ “พี่ใหญ่เล่า พี่ใหญ่อยู่ที่จวนหรือไม่ ไปเรียกเขามาหาข้าที”
หงเอ๋อร์พยักหน้า ก้าวเท้าเดินไปทันที แต่หลินหันเยียนกลับคว้าแขนของนางเอาไว้แน่นไม่ปล่อย ดึงยื้อสองสามที แขนของหงเอ๋อร์แทบจะหลุดออกมาแล้ว ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “คุณหนู ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
หลินหันเยียนได้สติกลับมา จึงได้รีบปล่อยแขนของนางออก หงเอ๋อร์รีบวิ่งออกไป
หลินหันเยียนก็ยืนขึ้น เดินไปมาในห้องด้วยความร้อนใจ คอยแต่จะเดินไปที่ประตู เปิดม่านมองได้ด้านนอกเสมอ
ผ่านไปราวสิบห้านาที ในสวนมีเสียงฝีเท้า ตึกๆๆ ดังขึ้น หลินหันเยียนรีบไปเปิดผ้าม่านออก หงเอ๋อร์ที่ห้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อวิ่งเข้ามา พูดด้วยความหอบเหนื่อยว่า “คุณหนู ฮูหยินบอกว่าคุณชายไปว่าราชการด้านนอกยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ ถามว่าหากมีเรื่องอะไร รอจนคุณชายกลับมาแล้วจะบอกให้เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าบอกพี่สะใภ้ไปแล้วหรือยัง” หลินหันเยียนถามด้วยความรีบร้อน
หงเอ๋อร์ส่ายหน้า “บ่าวเพียงแต่พูดว่า คุณหนูมีเรื่องจะพบคุณชาย แต่เรื่องอะไรนั้นบ่าวก็ไม่ทราบ”
หลินหันเยียนโล่งใจ สั่งว่า “อย่างนี้ เจ้าไปรอที่หน้าประตู รอจนพี่ใหญ่กลับมาแล้วรีบเชิญเขามาหาข้าทันที”
หงเอ๋อร์พยักหน้า หันหลังวิ่งออกไปทันที
หลินหันเยียนเห็นว่าไม่เหมาะ จึงได้เรียกนางไว้ “เดี๋ยวก่อน!”
หงเอ๋อร์หยุดฝีเท้าลง หันหลังกลับมา พูดด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “คุณหนู?”
“ข้ารอไม่ไหว วันพรุ่งรายชื่อก็จะออกมาแล้ว หากวันนี้ยังหาทางออกไม่ได้ ข้าก็จะไม่มีโอกาสอีก เอาอย่างนี้ เจ้าไปหาพี่ใหญ่ที่จวนแม่ทัพ บอกว่าข้ามีธุระจะพบเขา ให้เขารีบกลับมา”
หงเอ๋อร์ตอบรับ วิ่งออกไปอีกครั้ง
หลินหันเยียนทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ พี่ใหญ่เป็นความหวังเดียวของนางแล้ว หากเขาไม่ยอมช่วยนาง อย่างนั้นทั้งชีวิตนี้นางก็คงไม่มีวาสนากับหวงฝู่อวี้เสียแล้ว
หลินจ้งได้ยินคำรายงานของหงเอ๋อร์ คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียแล้ว จึงได้รีบขี่ม้ากลับมายังจวนทันที ตรงมายังเรือนของหลินหันเยียน
ราชเลขาหลินได้สั่งคนให้มาเฝ้าหลินหันเยียนที่หน้าประตู แต่เมื่อเห็นหลินจ้งตรงเข้ามา ผู้รับผิดชอบจึงได้มองตากัน จากนั้นก็ยื่นมือไปขัดขวางเขาไว้ “คุณชายขอรับ นายท่านและฮูหยินสั่งไว้ว่า ไม่ให้ใครเข้าไปที่เรือนของคุณหนูเด็ดขาดขอรับ”
หลินจ้งถีบพวกเขาเรียงตัว “เจ้าพวกบ้า กล้ามาขัดขวางข้าอย่างนั้นหรือ อยากตายรึไง”
หลินจ้งเป็นทหาร น้ำหนักเท้าย่อมมีมากเป็นธรรมดา ทั้งสองรับไม่ไหว จึงล้มไปคนละทิศ
หลินจ้งไม่สนใจพวกเขา เดินสาวเท้ายาวเข้าไปด้านใน
ทั้งสองยืนขึ้นอย่างยากลำบาก มองหน้ากัน จากนั้นคนหนึ่งก็วิ่งไปรายงานราชเลขาหลินด้วยความรวดเร็ว
ราชเลขาหลินได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย คิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือ “จ้งเอ๋อร์รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ให้เขาไปช่วยพูดกับเยียนเอ๋อร์ก็ดีเช่นกัน วันพรุ่งนี้รายชื่อจอหงวนก็ออกมาแล้ว เจ้าเฝ้าคุณหนูไว้ให้ดี อย่าให้เกิดเรื่อง”
นายท่านไม่ได้กล่าวโทษอะไร คนรับผิดชอบทั้งสองดีใจยิ่ง จากนั้นก็เดินกลับมาอย่างใจเย็น นำคำของราชเลขาไปบอกอีกคน
หลินหันเยียนได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นในลาน เมื่อหลินจ้งก้าวเข้ามาด้านใน หลินหันเยียนก็รีบตรงไปหาเขาอย่างร้อนใจ พูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ”
หลายวันก่อน ตอนที่หลินหันเยียนถูกกักบริเวณ หลินจ้งเองรู้สึกแปลกใจ ถามราชเลขาหลินว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ตอบตามตรง เพียงแต่พูดว่ารายชื่อผู้สอบผ่านจอหงวนออกมาเมื่อใด หลินหันเยียนก็จะหมั้นหมายกับคุณชายหลิวทันที หลายวันมานี้ ได้ขังนางไว้ด้านใน ก็เพราะอยากจะให้นางได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียม ภายหน้าเมื่อต้องมาเป็นแม่ศรีเรือนแล้ว จะได้ดูแลจัดการเรื่องในบ้านได้
ในฐานะภรรยาเอก ก่อนที่หญิงสาวจะแต่งออกไปนั้น จะต้องเรียนรู้วิธีการทำงานบ้านงานเรือน หลินจ้งจึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่คิดไม่ถึงว่าไม่พบกันเพียงไม่กี่วัน หลินหันเยียนซูบผอมลงไปไม่น้อย หลินจ้งตกใจ คิดว่านางป่วย จึงได้นำมือไปทาบไว้บนหน้าผากของนาง ดูว่าร้อนหรือไม่ จากนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “น้องเล็ก เจ้าเป็นอะไรหรือ ไม่สบายที่ใดหรือไม่”
น้ำตาของหลินหันเยียนหยดลงมา จากนั้นก็ขอร้องเขาอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านต้องช่วยข้าจริงๆ แล้ว”
หน้าผากนางเย็นเฉียบ ไม่ได้มีไข้ หลินจ้งจึงได้วางใจลงไม่น้อย พยุงนางให้นั่งลงบนเก้าอี้ “นั่งลงก่อน มีเรื่องอะไรค่อยๆ พูด พี่จะช่วยเจ้า”
ใจของหลินหันเยียนมีความหวังขึ้นมา จากนั้นก็ตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่อยากแต่งงานกับคุณชายหลิว ข้อยากแต่งงานกับพี่อวี้เจ้าค่ะ”
หลินจ้งชะงักไป มองนางอย่างไม่เชื่อใจ ครู่ใหญ่จึงได้พูดว่า “พี่อวี้? หวงฝู่อวี้? ”
หลินหันเยียนพยักหน้าทั้งน้ำตา “น้องขอร้องล่ะ พี่ใหญ่ช่วยข้าด้วยเถิด”
“ไม่ได้!” หลินจ้งปฏิเสธ “สถานะของเขาไม่คู่ควรกับเจ้า หากเจ้าแต่งออกไปจะลำบาก”
“พี่ใหญ่ ขอเพียงได้อยู่กับพี่อวี้ ข้าไม่กลัวความลำบาก ท่านช่วยข้าด้วยเถิด ข้าไม่อยากแต่งกับคุณชายหลิวจริงๆ”
หลินจ้งส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “คุณชายหลิวผู้นั้นพี่ไปพบแล้ว หน้าตา การศึกษา ดีกว่าหวงฝู่อวี้ทุกประการ ได้ยินท่านแม่ว่าทางครอบครัวเขาก็ไม่มีภาระ ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีพี่น้อง ภายหน้าเจ้าแต่งออกไปก็ไม่มีผู้ใดทำให้เจ้าลำบากใจได้ เรื่องงานแต่งครั้งนี้ พี่คิดว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก เจ้าเองก็ทำใจให้สงบแล้วรอออกเรือนเถิด”
พี่ชายที่แสนดีของตนยังไม่ยอมช่วย เสียงร้องเศร้าโศกของหลินหันเยียนดังมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าร้องไห้ออกมาดังมาก นางเกรงว่าบ่าวรับใช้ที่เฝ้าด้านนอกจะได้ยินเข้าแล้วไปรายงานพ่อของตน ฟางเส้นสุดท้ายของนางไม่เหลือแล้ว “พี่ใหญ่ ต่อให้คุณชายหลิวผู้นั้นดีกว่านี้เป็นร้อยเป็นพันเท่า เขาก็ไม่ใช่คนที่ข้ารัก ใจข้ามีเพียงพี่อวี้เท่านั้น หากต้องแต่งงานกับเขา ไม่เพียงจะเป็นการทำร้ายข้า แต่ยังเป็นการทำร้ายคุณชายหลิวด้วย”
“หยุดคิดบ้าๆ ได้แล้ว” หลินจ้งเอ็ดนาง “แต่ไหนแต่ไร เรื่องการแต่งงาน ก็เป็นคำสั่งของพ่อแม่ เป็นคำบอกของแม่สื่อแม่ชัก มีงานแต่งที่ใดเกิดจากความรักบ้างเล่า แต่ทุกคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไม่ใช่หรือ ฟังพี่นะ คุณชายหลิวผู้นั้นนิสัยอ่อนโยน สง่างาม มีความรู้ การศึกษาสูง พวกเจ้าทั้งสองคนหนึ่งสงบ คนหนึ่งร่าเริง เหมาะสมกันยิ่ง ภายหน้าจะต้องเป็นคู่กิ่งทองใบหยก”
หลินหันเยียนร้องไห้พร้อมส่ายหน้า น้ำตากระเด็นออกมา “ไม่มีทาง พี่ใหญ่ หากไม่สามารถแต่งกับพี่อวี้ได้ ข้ายอมสละชีวิตดีกว่า”
หลินจ้งโกรธยิ่งกว่าเดิม เขาทุบโต๊ะ “พูดซี้ซั้วอะไรเช่นนี้ หวงฝู่อวี้นั่นมีดีอะไร เจ้าจึงได้คิดถึงเขาไม่หยุด เจ้าต้องรู้ไว้ว่า เขาไม่มีทั้งการศึกษาและความสามารถ ไม่มีใจคิดพัฒนาตนเอง มีหรือจะเทียบได้กับคุณชายหลิวอนาคตไกลผู้นี้”
หลินหันเยียนเพียงแต่ร้องไห้ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
อย่างไรก็เป็นน้องสาวที่ตนรักมากคนหนึ่ง หลินจ้งเป็นห่วงนาง ถอนหายใจออกมา น้ำเสียงอ่อนลง “เยียนเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เต็มใจช่วยเจ้า หากเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นชาวบ้านจนๆ ไม่มีสถานะใด พี่ก็จะยอมช่วยเจ้า แต่หวงฝู่อวี้ไม่เหมือนกัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีพระชายารองเฮ่อแล้ว และยังไม่มีต้นตระกูลคอยหนุนหลัง ดูแค่เขาเป็นเพียงซู่จื่อของจวนอ๋อง จากนี้ไป หวงฝู่อี้เซวียนคงไม่ปล่อยเขาไว้แน่ หนำซ้ำ เจ้าเองก็เคยหมั้นหมายกับหวงฝู่อี้เซวียน ต่อให้เจ้ายินดี แต่คนฝั่งจวนอ๋องก็ไม่ยอมหรอก อีกอย่าง ดูจากความสัมพันธ์ของเรากับจวนอ๋องแล้วนั้น ตระกูลเราทั้งสองไม่มีทางดองกันได้เด็ดขาด เจ้าตัดใจเสียเถิด”
“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านช่วยข้าเถิด ข้าไม่อยากแต่งงานกับคุณชายหลิวจริงๆ”
หลินจ้งตกใจมาก รีบก้มลงพยุงนางขึ้นมา “เยียนเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่ มีเรื่องอะไรก็ขอให้ยืนขึ้นพูดเถิด”
ไม่ว่าหลินจ้งจะออกแรงมากเพียงใด หลินหันเยียนก็ไม่ยอมลุกขึ้น นางคว้าแขนของเขา ขอร้องด้วยน้ำเสียงขื่นขม “พี่ใหญ่ ข้าเติบโตมาในสายตาของพระชายาฉี รู้จักนิสัยใจคอของนางดี นางมองพี่อวี้ดั่งลูกในไส้ ไม่มีทางทำร้ายเขาเป็นแน่ ต่อให้ซื่อจื่อไม่เขาไว้ พวกเราก็เพียงย้ายออกไปอยู่ด้านนอกเท่านั้น พวกเรามีมือมีเท้า ไม่มีทางอดตายหรอก”
หลินจ้งทั้งโกรธทั้งสงสารนาง “เยียนเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจเล่า การสู้ชีวิตอยู่ด้านนอกนั้นไม่ง่าย เจ้าเป็นคุณหนูของจวนราชเลขา เติบโตมาอย่างไข่ในหินแต่เล็ก มีคนรับใช้มากมาย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีคนคอยจัดการให้เจ้า เจ้าไม่เคยต้องเป็นกังวล แต่หากวันใดที่เจ้าทำลายความหวังของพ่อและแม่ ทั้งหมดนี้ก็จะหายไป ถึงตอนนั้นที่เจ้าถูกขับไล่ออกจากจวนอ๋องมาสร้างครอบครัวตัวเอง ก็มีแต่จะขมขื่นเท่านั้นเอง พี่ไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ สิ้นพระชายารองเฮ่อแล้ว นางคงจะต้องเหลือสมบัติอะไรไว้บ้าง ต่อให้พี่อวี้แต่งงานกับข้า จวนอ๋องจะขับไล่พวกเราออกมา พวกเราก็ยังคงเหลือสมบัติเก่าไว้กิน พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นกังวลเลย” หลินหันเยียนรีบอธิบาย
“นี่เจ้า ถูกตามในเสียจนเคยตัว ใสซื่อเหลือเกิน สถานะเช่นเจ้า อาศัยอยู่ในเมืองหลวงง่ายๆ ได้ที่ใดกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่มีตำแหน่งขุนนางแล้ว เพราะจะมีพวกที่จะคอยหาเรื่องพวกเจ้าเพื่อประจบหวงฝู่อี้เซวียน ทำให้พวกเจ้าใช้ชีวิตกันลำบากยิ่งขึ้น” พูดถึงตรงนี้ ก็ได้บอกกับนางอย่างจริงจังว่า “น้องเล็ก เชื่อพี่ใหญ่สักครั้งเถิด เจ้าเก็บความคิดนี้ไปได้ รอแต่งงานกับคุณชายหลิว หากเจ้าทำใจตัดใจจากเขาไม่ได้ เจ้าก็รอวันใดที่เขาตกอับแล้ว เจ้าก็ค่อยช่วยเหลือด้านการเงินให้เขาก็ได้ ก็นับว่าได้ทำตามใจของเจ้าแล้ว”
“ไม่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ ข้าไม่เอาเช่นนี้ ชาตินี้ข้าจะเป็นคนของพี่อวี้ ตายไปก็จะเป็นผีของพี่อวี้ ข้าจะไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะจบชีวิตตัวเองในวันแต่งงาน” หลินหันเยียนทั้งข่มขู่ ทั้งร้องไห้ขอร้องเขา
หลินจ้งตกใจเข้าเสียจริงๆ จะดุด่าก็ไม่มีผล จะปลอบโยนนางก็ไม่มีผล เขาร้อนใจเสียจนมีเหงื่อผุดออกมาบนหน้าผาก
หลินหันเยียนเห็นว่าท่าทางคัดค้านของเขาไม่เคร่งขรึมเหมือนเมื่อครู่แล้ว รู้สึกมีความหวังขึ้นมา นางดึงทึ้งชายเสื้อของเขา เงยหน้าขอร้อง “พี่ใหญ่ วันนั้นข้าได้ไปพบพระชายาที่จวนอ๋องแล้ว นางไม่ได้คัดค้านใด แถมยังยื้อเวลาหมั้นหมายของพี่อวี้ออกไปอีก เพื่อรอข่าวจากข้า พี่ใหญ่ ข้าขอร้องท่าน ท่านช่วยข้าทีเถิด”
หลินจ้งตกใจ “เจ้าไปจวนอ๋องแล้วหรือ ไปมาเมื่อใด ท่านพ่อและท่านแม่รู้หรือไม่”
หลินหันเยียนส่ายหน้า “หลายวันก่อนเจ้าค่ะ พวกท่านไม่ทราบ”
“พระชายากล่าวว่าอะไร”
เมื่อหลินจ้งฟังจบก็ขมวดคิ้ว ถามว่า “ความหมายของเจ้าคือ พระชายาตอบรับเรื่องการหมั้นหมายของเจ้าและหวงฝู่อวี้ แต่ไม่มีแผนจะมาสู่ขออย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนรีบอธิบาย “พระชายาเกรงว่าหากมาสู่ขอ จะถูกท่านพ่อท่านแม่ปฏิเสธ ดังนั้นจึงได้ให้ข้ามาขอร้องพวกท่านเสียก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกท่านพ่อสั่งให้ขังเอาไว้ที่นี่”
“แล้วหวงฝู่อวี้เล่า เขามีท่าทีเช่นไร หากใจเขามีเจ้า หลายวันมานี้ไม่พบกัน เขาก็ควรจะส่งคนมาสืบเรื่องของเจ้าแล้วสิ”
น้ำตาของหลินหันเยียนไหลออกมามากกว่าเดิม สะอื้นแล้วพูดว่า “พี่อวี้เกลียดข้า เขาไม่ยอมสนใจข้า”
หลินจ้งเริ่มร้อนใจ ถามด้วยความโกรธว่า “นี่มันอะไรกัน พูดมาให้ข้าเข้าใจ”
หลินหันเยียนหยุดร้องไห้ เล่าท่าทางที่นางมีต่อหวงฝู่อวี้เมื่อครั้งนางไปพบเขาที่จวนแม่ทัพในวันนั้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น พูดด้วยความเจ็บปวดว่า “ตอนนั้นข้าเกรงว่าพระชายาจะทำให้เขาลำบากใจ ข้าจึงจงใจไม่สนใจเขา ใครจะคิดว่าเขาเข้าใจว่าข้าดูถูกเขา ผูกใจเจ็บกับข้า แม้ว่าหลังจากนั้นข้าไปหาเขาด้วยตนเองถึงสองครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สนใจข้าเลย”
“เช่นนี้เองหรือ!” หลินจ้งตบโต๊ะด้วยความโกรธเคือง “เขากล้าขัดข้อกับเราขึ้นมา ไม่ดูเลยว่าตัวเองเป็นผู้ใด เจ้ามีใจให้เขา เป็นบุญที่ไม่รู้อีกกี่ชาติเขาจะมีได้”
หลินหันเยียนรีบปกป้องหวงฝู่อวี้ “ข้าเป็นคนก่อความผิดเอง พี่ใหญ่อย่าไปกล่าวโทษเขาเลย”
หลินจ้งถอนหายใจ พูดด้วยความโกรธว่า “เขามีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า เหตุใดข้าจะต้องไปกล่าวโทษเขา” พูดจบ ก็พูดต่อว่า “ข้าเห็นว่าเขาไม่ได้มีใจให้เจ้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัดใจเสียเถิด จะได้ไม่ให้คนเขาหัวเราะเยาะเอาได้ว่าเจ้าคิดเองเออเอง”