มีหรือหลินหันเยียนจะตัดใจ นางขอร้องอีกครั้ง “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าทีเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากที่หลินจ้งคิดทบทวนและพิจารณาดูแล้ว สุดท้ายก็ไม่สามารถทำใจแข็งไม่สนใจได้ “ข้าจะไปหาหวงฝู่อวี้เสียก่อน หากว่าเขาก็มีใจคิดเช่นนั้น พี่ก็จะออกหน้าช่วยเหลือเจ้า แต่หากไม่ เจ้าก็จงรอแต่งงานกับคุณชายหลิวแต่โดยดีเถิด”
ท่าทีของหวงฝู่อวี้เมื่อสองครั้งก่อน ทำให้นางไม่มั่นใจว่าเขามีใจให้นางหรือไม่ จึงไม่หวังอยากจะให้หลินจ้งไปหาเขาอยู่แล้ว แต่เมื่อหลินจ้งเน้นย้ำ วานี่คือฟางเส้นสุดท้ายของเขา อย่างไรเขาก็ต้องแน่ใจก่อนว่าหวงฝู่อวี้คิดอย่างไรกับน้องสาวของตน จึงจะดำเนินขั้นต่อไปได้ มิเช่นนั้นแล้วล่ะก็ แม้ว่าเขาจะช่วยให้นางหนีออกมาได้ แต่หากหวงฝู่อวี้ไม่ยอมรับนาง แล้วนางจะมีที่ไปที่ใดอีก
หลินหันเยียนเถียงเขาไม่ได้ จึงจำต้องตกลงเขา และสั่งเน้นย้ำว่า “พี่ใหญ่ ท่านพูดกับพี่อวี้ดีๆ นะเจ้าคะ อย่าให้เกิดการปัญหาขึ้นได้”
แม้ว่าหลินจ้งจะทำเหมือนตกลงแล้ว แต่ในใจกลับโกรธเป็นอย่างมาก คุณหนูแห่งจวนราชเลขา ทั้งยังเป็นน้องสาวที่ข้าตามใจมาแต่เด็ก หวงฝู่อวี้กลับกล้าปฏิเสธนางถึงสองครั้ง หากพบหน้าจะต้องอัดเขาให้สะใจจนได้
เมื่อคิดเช่นนี้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินออกไปจึงได้หนักเป็นพิเศษ ตึง ตึง ตึง เสียงนี้ตราตรึงในใจของหลินหันเยียนและบ่าวรับใช้ที่เฝ้านางอยู่
หลินหันเยียนมองเขาเดินออกจากเรือนของตนไปด้วยความกังวล ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ในใจคิดว่าหากหลินจ้งทำจนเสียเรื่อง ไม่แน่ว่าหวงฝู่อวี้อาจไม่สนใจนางอีกเลยก็เป็นได้
คนเฝ้ายามกลับกลัวจนถดถอยไปหลายก้าว กลัวเพียงแค่หลินจ้งจะถีบตนเองอีกครั้ง อย่างนั้นทั้งสองคงจะต้องนอนเป็นผักปลาอยู่บนเตียงเป็นแน่
โชคดีที่หลังจากหลินจ้งเดินออกจากเรือนไปแล้ว ไม่มองพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ตรงไปยังประตูจวนทันที
ทั้งสองถอนหายใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นก็พบว่าไม่เพียงแค่ขาเท่านั้น แต่ทั้งร่างของพวกเขาก็กำลังสั่นอยู่
หลินจ้งออกจากจวนไป ควบม้าตรงไปยังจวนอ๋องโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นบนประตูจวนมีป้ายชื่อส่องสว่างเขียนว่า ‘จวนอ๋องฉี’ จึงได้คิดว่าที่นี่มิใช่ที่ที่ใครจะสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ เมื่อใจสงบลง จึงลงมาจากม้า ใช้แซ่ม้าชี้ไปที่นายประตู สั่งด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ว่า “ไป ไปเรียกตัวหวงฝู่อวี้มา บอกว่าหลินจ้งมีเรื่องจะมาหารือกับเขา”
นายประตูเห็นว่ากิริยาของเขาไม่ดี จึงมิได้ตอบรับ ก้าวข้าเดินไปรายงานยังเรือนหวงฝู่อี้เซวียน
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา ไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนพูด นางรีบโบกมือให้นายประตู “ไปบอกหลินจ้งว่าคุณชายรองอยู่ในจวน เจ้าพาเขาไปก็ได้”
นายประตูมองหวงฝู่อี้เซวียนเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเขามิคัดค้าน จึงได้รีบวิ่งออกไป นำคำของเมิ่งเชี่ยนโยวมาบอกหลินจ้ง
หลินจ้งไม่แม้แต่จะลังเล ก้าวเท้ายาวเข้าไปด้านในจวน
หลายปีก่อนนั้น เขาเองก็มักจะมาที่จวนนี้บ่อยครั้ง คุ้นเคยกับเรือนของหวงฝู่อวี้เป็นอย่างดี ต่อให้ไม่มีคนนำทาง เขาก็สามารถไปยังเรือนหวงฝู้อวี้ได้ถูก
หลังจากที่นายประตูจากไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเรียกชิงหลวนเข้าพบ สั่งนางด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้าน บอกว่า ไม่ว่าอีกครู่ในเรือนของคุณชายรองจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ต้องไปสนใจทั้งสิ้น และไปหาเฮ่ออีบอกว่าหากคุณชายรองไม่ถึงกับใกล้สิ้นใจ ก็อย่าเพิ่งยื่นมือเข้าช่วย”
ชิงหลวนเม้มปาก ตอบรับ และเดินจากไป
หวงฝู่อีเซวียนยิ้มพร้อมส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเปิดปากพูดอีกครั้ง แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับตัดบทนางว่า “เจ้าอยู่ในห้องเฉยๆ ก็พอ ข้าเกรงว่าวันนี้ทั้งสองคงจะพังบ้านจนได้ ข้าไม่อยากให้เจ้าได้รับอันตราย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเบ้ปาก ขอร้องว่า “ไม่มีเรื่องน่าสนุกเช่นนี้มานานแล้วนะ ข้าจะพลาดได้อย่างไร เจ้าพาข้าไปดูทีเถิด”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่มีปฏิกิริยา และไม่โต้ตอบ
ราวกับว่าในใจของเมิ่งเชี่ยนโยวมีหญ้างอกขึ้นมา ทำให้นางคันอกคันใจ ดวงตานางกลอกไปมา ยืนขึ้น หวังจะไปใช้มารยาหญิงกับหวงฝู่อี้เซวียน
หวงฝู่อี้เซวียนมองแผนของนางออก จึงได้เอนตัวบนพนักพิงอย่างสบายใจ น้ำเสียงอ่อนโยนแต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ข้าเองอดทนมาหลายวันแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่านี่จะไม่ใช่การป้อนเนื้อเข้าปากเสือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตัวสั่นเทิ้ม เท้าที่ยกขึ้นมา ก็ถูกเก็บเข้าไปอย่างเรียบร้อย เผยรอยยิ้มออกมา “ข้า ข้า ข้าเพียงแค่อยากนั่งให้ห่างเจ้าน้อยลงเท่านั้นเอง”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ติดใจ จึงได้ถอนหายใจพูดเสียงต่ำ “โยวเอ๋อร์ ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ขอแค่ลูกคลอดออกมาอย่างปลอดภัย ภายหน้าต่อให้เจ้าจะไปกระทุ้งฟ้าจนทะลุ ข้าก็จะยอมอ่อนให้เจ้า แต่ว่า บัดนี้ไม่ได้ ใจข้าเกรงกลัวเหลือเกิน กลัวว่าเจ้าจะเกิดเรื่องขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเพียงแต่ไปดูเรื่องสนุกเท่านั้น จะมีเรื่องไม่คาดคิดมากเพียงนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง ข้าก็อยู่ข้างกายเจ้ามิใช่หรือ”
ที่จริงแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นคนนิ่งสงบ หากเป็นสมัยก่อน อย่าว่าแต่เรื่องเล็กเพียงนี้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา นางเองก็จะเผชิญหน้าด้วยใจแน่นิ่ง แต่นับแต่ตั้งท้องขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นิสัยของนางเปลี่ยนไปไม่น้อย ชอบไปดูเรื่องสนุก หวงฝู่อี้เซวียนอยู่กับนางทุกวัน จะไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของนางได้อย่างไร จงได้ถอนหายใจยาวเหยียด ยอมถอยหนึ่งก้าว “รอให้พวกเขาทะเลาะกันเสร็จแล้ว เจ้าไปเจรจาดีหรือไม่”
แม้ว่าจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังดีกว่าไม่ได้ไปดู เมิ่งเชี่ยนโยวจึงพยักหน้าด้วยความยินดี
หลินจ้งเป็นถึงทหาร และยังเป็นผู้มีอารมณ์ร้อน เมื่อไปถึงเรือนของหวงฝู่อวี้แล้ว ก็ยืนตะโกนอยู่หน้าประตูว่า “หวงฝู่อวี้ เจ้าไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้”
หวงฝู่อวี้กำลังจิตใจวุ่นวาย นอนไม่ได้ นั่งไม่สงบ เมื่อได้ยินเสียงหลินจ้งเรียก จึงได้เปิดผ้าม่าน เดินออกมาจากเรือน เมื่อเห็นว่าเป็นหลินจ้งก็ตกใจขึ้นมา กำลังจะอ้าปากถาม ก็รู้สึกตาลายขึ้นทันที หลินจ้งชกเข้ามาที่หน้าของเขาหนึ่งหมัด
หวงฝู่อวี้หลบได้ทัน ความโกรธในใจได้สุมขึ้นมา จึงได้สวนกลับทันควัน
หลินจ้งคิดไม่ถึงว่าเขาจะต่อยกลับ ไม่ทันตั้งตัว จึงถูกเขาต่อยเข้า ทำได้เพียงคลำจมูกตนเองพร้อมเดินถอยหลังไป เลือดกำเดาสีแดงสดไหลออกมา
หวงฝู่อวี้ชะงักไป
หลินจ้งโกรธมาก พุ่งเข้าหาเขาโดยไม่สนอะไรอีก
หวงฝู่อวี้หลบไม่ทัน ถูกเขากอดรัดเอาไว้ ทั้งสองลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น
บ่าวรับใช้ตกใจเป็นอย่างมาก ต่างวิ่งเข้ามาพร้อมตะโกนเรียกว่า “คุณชายรอง”
“พวกเจ้าอย่าเข้ามา!” หวงฝู่อวี้ห้ามพวกเขาเอาไว้
ทั้งหมดยืนนิ่ง มองดูทั้งสองทุบต่อยกันอยู่กับพื้นราวกับเด็กๆ ด้วยใจสั่นเทา
เฮ่ออีที่ได้รับคำสั่งมากจากเมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ก็ต้องอ้าปากค้าง ทีแรกเขาคิดว่า…ไม่ว่าจะคิดว่าอย่างไร เขาก็คิดไม่ถึงว่าทั้งสองจะทะเลาะกันด้วยวิธีนี้
หลินจ้งได้เปรียบ เขากดหวงฝู่อวี้เอาไว้กับพื้น ดึงคอเสื้อของเขาขึ้นมา พูดด้วยความโกรธว่า “น้องข้ามีที่ใดไม่คู่ควรกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดเจ้าต้องหลบหน้านางด้วย”
หลายวันมานี้ ความโกรธที่อัดอั้นในใจของหวงฝู่อวี้ไม่มีที่ระบาย บัดนี้หลินจ้งมาหาถึงที่ ไฟโกรธของเขาก็มีที่ระบายแล้ว เขาออกแรงต่อสู้ พลิกตัว กดหลินจ้งไว้กับพื้น ขณะเดียวกันก็ตะโกนใส่เขาว่า “คนที่ไม่คู่ควรมิใช่เยียนเอ๋อร์ แต่เป็นข้า เป็นข้า เป็นข้า”
หลินจ้งไม่อยากแสดงออกว่าอ่อนแอ จึงได้ออกแรง หวงฝู่อวี้มาอยู่ใต้ร่างของเขาอีกครั้ง น้ำเสียงโกรธกว่าเมื่อครู่ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดเจ้าต้องหลบหน้านาง”
พูดจบ ก็ต่อยเข้าไปที่หน้าของหวงฝู่อวี้เต็มแรง
หวงฝู่อวี้เบนหัวหลบ จากนั้นก็คืนเขาไปหนึ่งหมัด
หลินจ้งเอนตัวหลบ ทำให้หวงฝู่อวี้มีโอกาสหนี เขาออกแรง ผลักเขาออกจากร่างของตน
ความโกรธในใจของหลินจ้งยังไม่ถูกระบายออกมา เขาไม่ยอมหยุด ดีดตัวขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็รุดไปด้านหน้า หวังจะกดร่างหวงฝู่อวี้ไว้ใต้ร่างเขาอีกครั้ง
หวงฝู่อวี้กลิ้งไปอีกด้าน หลบเขามาได้
หลินจ้งล้มลงกับพื้น
หวงฝู่อวี้อาศัยจังหวะยืนขึ้น มองหลินจ้งด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “บ้าพอหรือยัง หากไม่มีธุระอะไร เชิญออกจากจวนข้าไป เห็นแก่หน้าของเยียนเอ๋อร์ ข้าจะไม่เอาเรื่องเจ้า”
แต่หลินจ้งไม่ยอม ใช้นิ้วชี้ไปที่ปลายจมูกเขา ด่าทอว่า “เจ้าคนใจไม้ไส้ระกำ น้องข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเจ้า และยังถูกพ่อกับแม่ขังตัวเอาไว้ แต่เจ้าไม่ถามถึงนางสักคำ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ใจของหวงฝู่อวี้ก็เจ็บแปลบขึ้นมา มิน่าหลายวันมานี้ไม่เห็นนางมากวนใจเขา ที่แท้ก็เพราะว่าถูกขังเอาไว้ แต่ว่าสีหน้ากลับเคร่งขรึมอยู่ ทำสีหน้าไม่ใสใจ “นางไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้า ข้าก็ไม่ได้ทำให้นางเป็นเช่นนี้ เจ้ามาคิดบัญชีผิดคนเสียแล้ว”
หากบอกว่าเมื่อครู่หลินจ้งมีไฟโกรธสุมอยู่ เมื่อฟังคำจบแล้วหัวของเขาร้อนจนแทบระเบิด เขาขาดสติไปแล้ว เจ้าคนไร้ค่า น้องสาวของตนรักเขาได้ ถือเป็นบุญล้นหัว เขาไม่เพียงแต่ไม่สำนึก แต่ยังมาทำท่าทีรังเกียจอีก เขาพุ่งเข้าไปหาหวงฝู่อวี้ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า คว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้ ต่อยเข้าไปที่ใบหน้าขาวซีดของเขา
ครานี้หวงฝู่อวี้ไม่ได้หลบ ถูกต่อยเข้าจังที่ใบหน้า รู้สึกได้ทันทีว่าหน้าบวมขึ้นมา
หวงฝู่อวี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างทะนุถนอม ไม่เคยถูกผู้ใดรังแกมาก่อน เขาหัวร้อน ใช้หัวของตนโขกเข้ากับหัวของหลินจ้ง
ปัง เสียงดังสนั่น ทั้งสองผละออกจากกัน ถอยกันไปคนละก้าว
คนในบริเวณนั้นต่างสูดปากกันอย่างเข้าใจความเจ็บ ยื่นมือมาลูบหน้าผากของตนเองเอาไว้ รู้สึกเจ็บเหลือเกิน
หลินจ้งและหวงฝู่อวี้กลับรู้สึกว่าตรงหน้าของพวกเขามีดาวอยู่รอบๆ มึนหัวตาลายทันที
สะบัดหัวเล็กน้อย มองทะลุสายตาพร่ามัว หลินจ้งคาดเดาตำแหน่งของหวงฝู่อวี้ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อีกครั้ง
ดวงดาวตรงหน้าของหวงฝู่อวี้ยังคงหมุนอยู่ จึงไม่ทันได้หลบหลีก ถูกหลินจ้งพุ่งเข้าใส่อีกรอบ ทั้งสองทุบต่อยกันอีกครั้ง
ในหัวของเมิ่งเชี่ยนโยวจินตนาการภาพทั้งสองกำลังต่อสู้กัน จมูกบวมช้ำบ้างล่ะ แขนขาดขาขาดบ้างล่ะ หัวแตกเลือดออกบ้างล่ะ ที่คิดไม่ถึงก็คือทั้งสองจะทะเลาะกันด้วยวิธีโบราณเช่นนี้ เมื่อเห็นทั้งสองทะเลาะกันราวกับเด็ก ทุบตี เตะต่อยกันอยู่บนพื้น ปากก็สบถคำด่าออกมาไม่หยุด นางทนไม่ได้แล้ว
ครู่ใหญ่จึงได้หัวเราะออกมา ทั้งสองราวกับว่าเสียสติไปแล้ว รู้เพียงแต่ว่าคนที่กำลังทะเลาะกันอยู่นั้นจะได้สติกลับมาเพราะเสียงหัวเราะ ทั้งคู่หยุดการกระทำ มองมาที่นางพร้อมกันด้วยสภาพที่มีหวงฝู่อวี้อยู่ด้านล่าง และมีหลินจ้งนั่งคร่อมอยู่ด้านบน
หลินจ้งรีบลุกขึ้นมาจากตัวของหวงฝู่อวี้ แต่ด้วยความกลัว ขาอ่อนแรงลง ลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งก็ล้มลงอีก
หวฝู่อวี้กำลังจะลุกขึ้นนั่งพอดี ทั้งสองจึงชนกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ ภาพนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวปิดตาลง ไม่กล้าดูอีกต่อไป
หลินจ้งกัดฟันกรอด ราวกับว่าตนถูกลงโทษหนัก
หวงฝู่อวี้ก็กุมหัวตนเองไว้ ไม่กล้าขยับอีก
คนตรงนั้นไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ตกใจจนพูดไม่ออก ตรงนั้นเงียบสงัดทั้งบริเวณ เงียบเสียจนหลินจ้งมีเหงื่อหยดลงมา ไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีกแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งไอ เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ ถามด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าทั้งสอง ค่อยๆ ลุกขึ้นมาได้แล้วล่ะ”
ทั้งสองได้สติกลับมา ครานี้ฉลาดขึ้น หลินจ้งเบี่ยงตัวไปด้านข้างเสียก่อน จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นมา
หวงฝู่อวี้เช่นกัน รอให้หลินจ้งลุกขึ้นแล้ว เขาจึงค่อยพลิกตัวลุกขึ้น กลืนน้ำลายลงคอ พูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ ว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ตอบรับ
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มแฉ่งเดินไปด้านหน้า วนรอบตัวทั้งสอง ทำเสียงจิ้จ้ะในปาก ยิ้มพร้อมถามว่า “คุณชายรอง ท่านไปลักลอบปีนกำแพงบ้านเขา หรือว่าไปทำลายสุสานบรพบุรุษของเขาเล่า เขาจึงได้ทำกับท่านถึงเพียงนี้”