GGS:บทที่ 836 สาวงาม
วันถัดๆมา ซูจิ้งยังคงมาเรียนเทคนิคต่างๆอย่างต่อเนื่องในทุกๆวัน
เขายังคงทำซ้ำอย่างเดิมคือลองวาดตาม ติดขัดก็ถามเชิงกูยี่ เสร็จแล้วก็ทำใหม่จนสมบูรณ์ ถึงแม้ภาพของเขาจะไม่มีเสร็จเลยซักภาพก็ตาม
แต่ถ้าพูดถึงในด้านเทคนิคแล้วถือได้ว่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ยิ่งวาดยิ่งมีความละเอียด ละเมียด และสมบูรณ์ พอจะกล่าวได้ว่าซูจิ้งเป็นปรมาจารย์ในแต่ละเทคนิคที่เขาได้เรียนรู้จากเชิงกูยี่เรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งเริ่มให้ความสนใจการเรียนรู้เรื่องทฤษฎีมากขึ้น ตัวอย่างเช่นสมดุลของภาพ แนวคิดทางศิลปะ และเรื่องอื่นๆอีก
แต่ที่น่าประหลาดใจต่อเชิงกูยี่ก็คือเมื่อซูจิ้งถามเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีไปเพียงไม่กี่คำถามเขาก็หยุดถามลง
ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าซูจิ้งพอจะรู้ในเรื่องพวกนี้อยู่แล้วเลยไม่ถาม หรือว่าเขาไม่เข้าใจเลยเลยไม่ถามต่อเพราะมันน่าปวดหัวเกินไปกันแน่
วันนี้ซูจิ้งยังคงเข้าไปเรียนตามปกติ เขาอยู่จนหมดเวลาสอนแล้วแต่ซูจิ้งก็ยังคงนั่งเรียนต่อไป
เขาทำการวาดภาพของเขาไปเรื่อยๆจนลืมเวลา หากมองในเรื่องของสมาธิและความตั้งมั่นแล้วซูจิ้งถือได้ว่านำหน้าคนอื่นไปไกลมากแล้ว
เชิงกูยี่เองก็อยู่ข้างๆซูจิ้งเช่นเดียวกันแต่เขาก็ไม่ได้ไปกวนซูจิ้งแต่อย่างใด
ถ้าจะพูดให้ถูกก็ควรจะเป็นเขาทึ่งจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่า ผ่านไปสองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว และก็ได้เข้าสู่ชั่วโมงที่สี่ ซูจิ้งก็ยังคงวาดภาพเขียนของเขาต่อไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เชิงกูยี่เองก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเช่นกัน เขายังคงจ้องมองภาพเขียนของซูจิ้งโดยไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแต่อย่างใด
แต่เขาเองก็เผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้เช่นกัน เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเย็นแล้ว เขานั้นรู้สดชื่นยิ่งกว่าการนอนตามปกติซะอีก เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าตอนแรกอยู่ที่โต๊ะทำไมถึงมานอนตรงนี้ได้
ความจริงแล้วเป็นซูจิ้งเองที่สะกดจิตให้เชิงกูยี่หลับไปเพราะว่าเขาห่วงใยในสุขภาพของอาจารย์ของเขา หลังจากเชิงกูยี่หลับไปแล้วเขาจึงเขาให้ชิเหยาช่วยพาไปนอน
เมื่อเชิงกูยี่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าซูจิ้งยังคงวาดรูปอยู่นั้นเขาก็ยอมรับซูจิ้งด้วยใจของเขาเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเป็นความสามารถและทักษะ
เขาไม่แปลกใจอีกต่อไปที่ซูจิ้งนั้นได้รับความนิยม เขาเหมือนดาราทั่วไปที่มีเพียงทักษะนิดหน่อยและหน้าตาดีเพียงเท่านั้น ซูจิ้งคือคนที่คู่ควรกับคำว่าดาราแล้วจริงๆ
“อาจารย์เชิง อาจารย์ไปพักก่อนก็ได้ครับ ผมเองก็จะวาดต่ออีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา
“นายต่างหากที่ต้องพักบ้าง การทำงานหนักมันดีก็จริงแต่เมื่อเหนื่อยล้าเกินไปล่ะก็ตัวนายเองก็จะเสียมากกว่าได้นะ ยังไงก็เสร็จแล้วก็ล็อกประตูให้ด้วยแล้วกัน” เชิงกูยี่ยิ้มและพูดออกมาด้วยท่าทีห่วงใย
“ได้ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เชิงกูนี่ได้ออกจากห้องไป เหลือเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่อยู่ในห้องนี้
เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครจริงๆแล้ว ซูจิ้งได้หยุดมือลงพร้อมนั่งอย่างเงียบสงบซักพัก หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาลอยๆว่า “มันน่าจะคล้ายๆกันนะ ลองดูดีกว่า”
เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้หยิบพู่กันจีนขึ้นมาและได้เริ่มสร้างผลงานภาพเขียนพู่กันจีนของเขาจริงๆ
วันถัดมา วันนี้เป็นวันอาทิตย์
เชิงกูยู่ได้กลับเข้ามายังที่ห้องเรียนนี้เป็นคนแรกซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่เขาเปิดประตูแล้ว เขานั้นก็ได้มานั่งลงที่ที่ซูจิ้งนั่งวาดรูปทิ้งไว้ซึ่งตอนนี้ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปแล้ว
ถึงแม้รูปของซูจิ้งจะไม่เสร็จสักรูปก็ตามแต่เขาก็ยังชื่นชอบที่จะได้มองพวกมันอยู่ทุกวัน
นั่นก็เพราะว่าเขานั้นรู้สึกชื่นชมในตัวซูจิ้งที่มีพัฒนาการที่เร็วเกินกว่าใครๆที่เขาเคยพบ
เมื่อเขาได้เห็นภาพพวกนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง ทิ้งความรู้สึกเป็นเกียรติ ยินดี ตื่นเต้น และภูมิใจ ที่ได้มีโอกาสสอนอัจฉริยะบุคคลที่เหนือกว่าคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะแบบนี้
มีเหล่าอาจารย์มากมายหลากหลายที่ต้องการลูกศิษย์ดีๆแบบนี้เพียงคนเดียวก็เพียงพอ แต่ก็บอกได้เลยว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง
มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยที่จะได้พบกับคนที่จะพร้อมรับความรู้ทุกอย่างได้เพียงวันเดียวแบบนี้
การที่เขามีโอกาสได้สอนซูจิ้งแต่กลับรู้สึกได้ว่าเป็นเกียรตินั้นก็ถือได้ว่าไม่ได้กล่าวเกินเลยแต่อย่างใด
ในขณะที่เขารู้สึกแบบนั้น เมื่อเขาได้เห็นภาพใบสุดท้ายที่น่าจะเป็นภาพที่ซูจิ้งวาดไว้เมื่อคืน
เขาเองก็ต้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะภาพนั้นไม่ใช่ภาพที่ยังไม่เสร็จแบบภาพอื่นๆ
เขานั้นได้พิจารณาภาพดูอีกครั้งก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้าง และแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
เขาตื่นเต้นจนหายใจระรัวก่อนจะพูดออกมาลอยๆว่า “พระเจ้า นี่มัน เป็นไปได้ด้วยเหรอเนี่ย”
ภาพที่เชิงกูยี่ได้เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือภาพของคนๆหนึ่ง ไม่สิต้องบอกว่าเป็นภาพของหญิงงามคนหนึ่ง
เขาจำได้ในทันทีที่เห็นว่านี่คือภาพของเชิงชิเหยา มันเป็นภาพของลูกสาวของเขาที่อยู่ในชุดกระโปรงยาว
เธอนั้นกำลังหันไปมองข้างหลังพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย ผมของเธอปลิวสลวยลอยอยู่บนอากาศ ช่างเป็นภาพที่ดูมีชีวิต มันเหมือนกับว่าภาพนี้เป็นภาพลูกสาวเขาที่อยู่ในช่วงที่ดูดีที่สุด สวยที่สุด ราวกับว่าเขาได้เห็นลูกสาวแสนสวยได้มาอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ
โดยทั่วไปแล้วเชิงกูยี่เองไม่ได้ชอบเลยสักนิดเวลาที่เขาได้เห็นชายหนุ่มมาทำการวาดรูปของลูกสาวของเขานอกจากตัวเขาเอง
ไม่ใช่ว่าเพราะเขาหวงลูกสาวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าพวกผู้ชายเหล่านั้นวาดรูปของลูกสาวเขาด้วยจิตใจอันไม่บริสุทธิ์ทำให้รูปของลูกสาวของเขาที่ออกมาไม่ได้สวยงามเท่าตัวจริงได้เลยแม้แต่น้อย
ถือได้ว่าชายหนุ่มเหล่านั้นมีฝีมือไม่เพียงพอที่จะสร้างผลงานที่คู่ควรนี่จึงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นรูปลูกสาวตัวเองที่ไม่สวยงามเลยสักนิด
แต่กลับรูปนี้ต่างออกไป เขานั้นหลงใหลในรูปนี้ทันทีที่เห็นและชอบมันอย่างที่สุด
“อาจารย์ อาจารย์เข้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ” นักเรียนของเชิงกูยี่ได้เริ่มเข้ามาเรียนแล้ว พวกเขาได้กล่าวทักทายเชิงกูยี่แต่ก็เหมือนว่าเขานั้นมัวแต่จ้องมองอะไรอยู่จนไม่ได้สนใจพวกเขาแต่อย่างใด จนนักเรียนกลุ่มนั้นเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา
นักเรียนกลุ่มนั้นที่กำลังสงสัยว่าอาจารย์ของพวกเขาเป็นอะไรอยู่ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้นและสังเกตุเห็นภาพก็ได้ทำตาโตเท่าไข่ห่านกันเป็นแถบ
“พระเจ้า โคตรสวย”
“มันเป็นภาพของพี่ชิเหยา มันสวยราวกับมีชีวิตแบบนี้เลยหล่ะ”
“ใช่มันสวยราวกับมีชีวิตจริงๆ เหมือนกับว่าพร้อมจะออกมาจากภาพได้ทุกเมื่อเลย”
“นี่เป็นภาพเขียนของซูจิ้งงั้นหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน”
ทุกคนที่เห็นต่างตกตะลึง และแสดงใบหน้าทึ่งและทึ่มออกมาพร้อมๆกัน
ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ เหล่านักเรียนก็ยังเข้ามายังห้องเรียนแห่งนี้มากขึ้น ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันเมื่อได้เห็นผลงานของซูจิ้งภาพนี้
หลังจากผ่านไปสักพัก เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันเองก็ได้เข้ามา เมื่อพวกเขาได้เห็นคนที่กำลังจ้องมองบางสิ่งไปในทิศทางเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยออกมา
“เกิดอะไรขึ้น” เชิงชิเหยาถามนักเรียนคนหนึ่งที่ยืนอยู่
“พี่ชิเหยา พี่ลองมาตรงนี้หน่อยสิ และลองดูนี่ดู” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันได้แหวกฝูงคนเข้าไปด้านหน้าเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทันทีที่พวกเขาได้เห็นต่างก็ทำตาโตและท่าทางตกตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้เป็นคนทั่วไปมาเห็นก็สมควรจะมีท่าทีไม่ต่างไปกับพวกเขาอย่างแน่นอนเมื่อได้เห็นภาพเขียนพู่กันจีนชั้นเลิศแบบนี้
“พระเจ้า นี่เป็นภาพเขียนของซูจิ้งจริงๆอย่างงั้นหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”
“นี่เป็นที่นั่งของเขา ถ้าไม่ใช่ภาพของเขาแล้วจะเป็นใครได้กันล่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา
“ถ้าเขานั้นเรียนมานานนับปี ฉันก็ยังพอรับได้นะ แต่นี่เขาเรียนมาแทบจะยังไม่เกินสัปดาห์เลย ฝีมือของเขานอกจากจะไม่ใช่แค่ดีสุดๆแล้ว แต่นี่ยังผนวกเอาทฤษฎีงานศิลป์มาใช้จนสร้างผลงานงามเลิศแบบนี้ออกมาได้ จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” จูหยันพูดออกมาด้วยท่าทางตกตะลึง
“นี่เธอไม่เห็นความเร็วในการเรียนรู้ของเขารึไง เขานั้นเป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเขานั้นถึงได้รับความนิยมชมชอบมากนัก
แม้แต่ปีศาจที่เรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วก็ยังไม่สู้เขาเลยจริงๆ”
“นี่ซูจิ้งหลงใหลในความงามของชิเหยาจนต้องวาดรูปออกมาเลยหรอ”
“พี่ชิเหยาไม่ได้มาเมื่อวานนี้ นั่นก็หมายความว่าซูจิ้งวาดรูปจากจินตนาการของเขาที่จดจำพี่ไว้ ดูเหมือนว่าเขานั้นจำได้อย่างแม่นยำเลยล่ะนั่น”
“เฮ้ ฉันว่าฉันกำลังได้กลิ่นคนซุบซิบนินทาอยู่นะ”
หลังจากได้ยินคนที่อยู่รอบๆเริ่มพูดคุยเรื่องภาพเขียนนี้ เชิงชิเหยาเองก็อดไม่ได้ที่จะโวยวายออกมา
ไม่ว่าใครจะคิดยังไงก็ตามแต่สุดท้ายแล้วภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพของหญิงสาวที่สวยงามและน่าหลงใหล แถมยังสามารถตราตรึงใจไว้กับคนที่พบเห็นได้เป็นอย่งดี
เมื่อฮวงจิงฮงได้เห็นใบหน้าของเชิงชิเหยาที่กำลังเขินอายในขณะที่ไปไล่ทุบตีเหล่าคนที่กำลังนินทาเธออยู่นั้น ใบหน้าของเขาแสดงออกมาด้วยท่าทางน่าเกลียดในทันที
ภาพๆนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงให้เห็นทักษะอันสูงล้ำของซูจิ้งในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นการบ่งบอกว่าต่อให้เป็นเรื่องที่เขามั่นใจที่สุดก็ยังสู้ซูจิ้งไม่ได้
ถึงแม้เขาจะรู้ตัวอยู่บ้างก่อนหน้านี้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่เคยจะคิดว่าฝีมือจะห่างชั้นกันขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ซูจิ้งวาดรูปของเชิงชิเหยาออกมาได้งามเลิศไร้ที่ติขนาดนี้ย่อมทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีๆต่อซูจิ้งอย่างมากแน่นอน
นี่ทำให้ฮวงจิงฮงเป็นปฏิปักษ์ต่อซูจิ้งในทันที
“อย่าพูดอะไรไร้สาระน่า ซูจิ้งเขามีแฟนแล้วนะ” เชิงชิเหยาเองก็พยายามอธิบายเต็มที่
“เหรอ…” คนที่ได้ยินต่างก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ยิ่งเธอพูดออกมาแบบนี้มันจะไม่ให้คนคิดว่าเป็นรักสามเส้าก็แปลกล่ะ
ได้ยินดังนั้นเชิงชิเหยาก็ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงแต่ เธอทำได้เพียงกระทืบเท้าขู่ออกมาเล็กน้อยอย่างน่ารัก
เอาจริงๆเธอเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกับเรื่องนี้ เธอเองก็สงสัยเหมือนกันว่าที่ซูจิ้งประทับใจในตัวเธอจนต้องวาดรูปออกมาเลยอย่างนั้นเหรอ
แต่ซูจิ้งเองก็มีแฟนอยู่แล้วที่ชื่อว่าฉือชิง แถมเธอเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ซือหยาอีกด้วย แล้วเขาจะมาชอบหลงใหลได้ยังไงกัน
“เอาหล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว ภาพนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรอย่างที่ชิเหยาพูดนั่นแหล่ะ”
ถึงแม้ว่าเชิงกูยี่จะชอบภาพนี้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากให้ภาพที่สวยงามขนาดนี้เป็นต้นตอของข่าวลือที่ยังไม่รู้ที่มาแต่อย่างใด
เขาเองก็อยากจะโวยวายซูจิ้งสักหน่อยที่อยู่ๆก็มาเขียนรูปภาพของลูกสาวแสนสวยของเขาแบบนี้เขาจึงได้ถามเชิงชิเหยาว่า “ชิเหยา ลูกมีเบอร์โทรของซูจิ้งรึเปล่า”
“มีค่ะ” เชิงชิเหยาพยักหน้ารับ
“ดี โทรหาเขาสิ” เชิงกูยี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจอย่างมาก