GGS:บทที่ 837 เยี่ยมเยือน

 

เชิงชิเหยาได้ลองโทรหาซูจิ้งอยู่นานแต่ซูจิ้งก็ไม่ได้รับสายของเธอแต่อย่างใด

เชิงกูยี่เห็นดังนั้นแล้วเขาก็ไม่อยากจะรออีกต่อไปจึงได้พูดขึ้นว่า “ลูกรู้จักบ้านของซูจิ้งรึเปล่า”

เชิงชิเหยาได้พยักหน้ารับและได้พูดขึ้นว่า

“รู้ค่ะ แต่พ่อไม่ต้องกังวลจนถึงขั้นบุกไปหาที่บ้านของเขาทันทีก็ได้นี่ พรุ่งนี้หนูว่าเขาก็น่าจะมาเก็บงานของเขาไปนะ ตอนนี้พ่อเก็บภาพนี้ไว้ก่อนดีกว่า”

ตอนที่เชิงชิเหยานั้นได้ยินพ่อเธอถามถึงที่อยู่ของซูจิ้ง เธอเองก็รู้สึกอายเล็กน้อย

เธอไม่รู้จริงๆว่าซูจิ้งนั้นคิดยังไงกับเธอกันแน่ ถ้าเขาบอกชอบเธอก็ดีไป แต่ถ้าบอกไม่ชอบขึ้นมาเธอเองคงทำได้เพียงแค่ปวดใจเท่านั้น

แถมเขาเองก็ยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ตอนที่เชิงชิเหยาลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จะเตลิดไปไกล อยู่ๆเธอก็ได้สติพร้อมทั้งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงในทันทีและคิดขึ้นมาในใจว่า “นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย”

“รอไม่ได้ เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่พ่อจะไม่ยอมรอเด็ดขาด พ่อต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเขาถึงได้วาดภาพรูปออกมากัน

ต่อให้เขาบอกว่าไม่ได้วาดแต่การที่เขาทิ้งขว้างงานที่สุดยอดอย่างนี้เอาไว้โดยไม่สนใจแบบนี้ช่างไม่น่าสบอารมณ์เลยซักนิด ถ้ามันเสียหายหรือหายไปขึ้นจะทำยังไงกัน” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“เอิ่มมม ก็ได้ค่ะ งั้นเราก็ไปบ้านของเขากัน” เชิงชิเหยาพยักหน้ายอมไปแต่โดยดี

 

ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกไปหาซูจิ้งนั้น เชิงกูยี่ได้โทรศัพท์ออกไปสายหนึ่ง ไม่นานนักก็มีชายวัยกลางคนสามคนมาด้วยท่าทีเร่งรีบ เมื่อพวกเขามาถึงพวกเขารีบถามเชิงกูยี่ในทันทีว่า

“กูยี่ นายบอกว่าลูกศิษย์นายสร้างสรรค์สุดยอดภาพเขียนพู่กันจีนออกมาจริงๆหรอ”

“ไม่เชื่อหรอ ดูด้วยตาเลย” เชิงกูยี่ชี้ไปยังภาพเขียนของซูจิ้งอย่างภูมิอกภูมิใจ

“นี่มัน…” ชายวัยกลางคนสามคนได้มุ่งไปยืนอยู่หน้าภาพเขียนสาวงามของซูจิ้งด้วยท่าทีตื่นเต้น

ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงและฉายแววตาที่สื่อถึงความตื่นตะลึงออกมา

“ภาพที่ดี ภาพที่ดี นายบอกว่าลูกศิษย์ของนายวาดมันแสดงว่าภาพนี้แสดงว่าเขาเองก็น่าจะอายุราวๆยี่สิบต้นๆใช่รึเปล่า”

“ไม่มีทาง นายจะไปมีลูกศิษย์ชั้นยอดแบบนี้ไปได้ยังไงกัน หากมีคนรู้ว่าการได้เรียนที่นี่แล้วสามารถสร้างผลงานศิลป์ชั้นเลิศขนาดนี้ได้ล่ะก็คงต้องมีคนแห่กันมาเรียนแล้วล่ะ ต้องเป็นเรื่องตลกแน่ๆ นายแค่แกล้งพวกเราใช่ไs,เนี่ย”

“ใช่แล้วล่ะ ฉันว่านายน่ะวาดเองแล้วเอามาหลอกพวกเรามากกว่า ไม่สิ เดี๋ยวนะ นายไม่ได้วาดเองแน่ๆเพราะว่าสไตล์ภาพแบบนี้ไม่ใช่ของนายนี่นา ถึงจะมีความคล้ายคลึงกันบ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”

“ฮ่าฮ่า ภาพนี้ลูกศิษย์ฉันวาดขึ้นมาเองจริงๆ และใช่ เขานั้นอายุประมาณนี่สิบเท่านั้น ถ้าพวกนายไม่เชื่อล่ะก็ฉันจะพานายไปพบเขาเอง”

เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างภูมิใจอีกครั้ง พวกเขานั้นชอบนำผลงานของลูกศิษย์มาแข่งกันอยู่บ่อยๆ

 

ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซูจิ้งมาขอเป็นลูกศิษย์เขา เขาก็รีบเอาเรื่องนี้ไปคุยโวกับทั้งสามคนนี้ตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เขาเห็นภาพนี่แล้ว เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นได้ซึมซับเทคนิคต่างๆของเขาไปได้แล้วจริงๆ

ต่อให้มีคนบอกว่าไม่เชื่อว่าจะมีใครเรียนรู้เทคนิคของเขาได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่หลักฐานที่เห็นตรงหน้านี่คือคำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว

เขาเองในตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเขานั้นไม่เหลือความรู้อะไรที่พอจะสอนซูจิ้งได้แล้ว จึงตั้งใจว่าจะช่วยแนะนำปรมาจารย์ด้านภาพเขียนพู่กันจีนคนอื่นให้กับซูจิ้ง

เพราะถึงยังไงซะตัวเขาเองก็ยังมีเทคนิคที่ไม่ถนัดอยู่เหมือนกัน การจะให้คนที่ไม่ถนัดไปสอนเรื่องที่ไม่ถนัด ต่อให้ซูจิ้งเป็นอัจฉริยะยังไงก็สมควรให้เขาไปเรียนกับคนที่มีประสบการณ์ด้านนั้นดีกว่า

“ก็ได้ งั้นเรามาดูกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าในโลกนี้จะมีปีศาจแบบนั้นอยู่จริง”

หลังจากที่เชิงกูยี่คุยกับคนทั้งสามแล้ว หากว่ามีหนึ่งในนั้นไม่พร้อมที่จะไปล่ะก็ เขาเองก็คงไม่คิดจะไปอย่างแน่นอน

แต่กลายเป็นว่าอีกสองคนนั้นต้องการรู้ความจริงจนอดใจไว้ไม่อยู่ และได้ปรารภกับเขาอย่างจริงจังเขาจึงตัดสินใจว่ายังไงแล้วก็คงต้องพาไปแค่สองคนเท่านั้น

 

ตอนนี้เชิงกูยี่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียนของเขาแล้ว เขาให้นักเรียนนั่งทบทวนบทเรียนของตัวเองไปพลางๆก่อน

เขาพาชายวัยกลางคนอีกสองคนและเชิงชิเหยาตรงไปยังบ้านของซูจิ้ง โดยมีฮวงจิงฮงและจูหยันที่เป็นนักเรียนของกูยี่ติดตามไปด้วยอย่างเกร็งๆแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้

ด้วยการที่เชิงกูยี่นั้นมีชีวิตที่สมถะ เขานั้นถึงแม้จะเปิดสอนวิธีการวาดภาพเขียนพู่กันจีนแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เคยเก็บเงินเลยสักแดงเดียว แถมเขาเองยังคอยอยู่ตอบคำถามและชี้แนะแนวทางลูกศิษย์ของเขาอย่างเต็มที่

หากเมื่ออาจารย์ดีๆแบบนี้มาขอให้คุณทำอะไรซักอย่าง อย่างเช่นการไปบ้านคนอื่นเป็นเพื่อนกันหน่อยล่ะก็ ถ้าไม่ได้มีปัญหากันอย่างรุนแรงยังไงซะก็ยากที่จะปฏิเสธได้

เอาจริงๆทั้งสองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสัตว์ประหลาดอย่างซูจิ้งนั้นจะรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของคนที่เป็นพ่อสุดแสนจะหวงลูกสาวอย่างเชิงกูยี่ได้ยังไง

 

เมื่อพวกเขาขับรถมาถึงหน้าบ้านของซูจิ้ง เชิงกูยี่ไม่รอช้ารีบเคาะประตูในทันที

“พ่อคะ ต่อให้พ่อเคาะให้ตายก็ไม่มีประโยชน์หรอก ซูจิ้งไม่เคยอยู่ในบริเวณที่เสียงเคาะประตูส่งไปถึงเลยสักครั้ง” เชิงชิเหยาได้รีบห้ามปรามพ่อตัวเอง

“เคาะประตูก็ไม่ได้ โทรหาก็ไม่ได้ แล้วเราจะติดต่อเขาได้ยังไงกัน” เชิงกูยี่ถามออกมาอย่างสงสัย

“นั่นค่ะ” เชิงชิเหยาชี้ไปที่นกแก้วตัวใหญ่และตัวเล็กที่กำลังบินตรงมาที่ประตูจากที่ห่างไกล หนึ่งในนั้นได้พูดขึ้นมาว่า “ใครมากัน” อีกตัวหนึ่งพูดออกมาว่า “มาให้ใคร แจ้งชื่อด้วย”

ฮวงจิงฮงและจูหยันเองก็เคยเห็นฉากแบบนี้มาแล้วเลยไม่ได้แปลกใจอะไร แต่กับเชิงกูยี่ และชายวัยกลางคนอีกสองคนนั้นต่างก็แสดงท่าทีประหลาดใจ

เชิงกูยี่ได้พูดออกมาว่า “นกสองตัวนี้ช่างพูดได้เจื้อแจ้วและชัดเจนจริงๆ แต่ที่มันพูดอย่างนี้คือมันต้องการแกล้งพวกเราหรอ”

“ฮี่ฮี่ ไม่ใช่ค่ะพ่อ พวกมันสองตัวต้องการรู้ชื่อเราเพื่อไปรายงานให้ซูจิ้งทราบเท่านั้นเอง” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“งั้น… ฉันชื่อเชิงกูยี่ มาเพราะมีธุระสำคัญกับซูจิ้ง” เชิงกูยี่พูดออกมา

“โปรดรอซักครู่ โปรดรอซักครู่” หลังจากนกแก้วพูดจบแล้ว นกแก้วทั้งสองก็ได้บินตรงขึ้นบันไดเพื่อไปรายงานอย่างที่ว่ามาจริงๆ นี่ทำให้เชิงกูยี่และพวกอีกสองคนรู้สึกประหลาดใจมากๆ

หลังจากนั้นสักพักซูจิ้งได้เดินลงมา เมื่อเขาเห็นทุกคนเขานั้นประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “อาจารย์เชิง อาจารย์มาได้ยังไงกันครับ”

“ทำไมเธอไม่มาที่ชั้นเรียนวันนี้ล่ะ แถมโทรหาแล้วยังไม่รับอีก” เชิงกูยี่ถามด้วยความสงสัย

“อ๋อ ขอโทษครับ พอดีผมมีนิสัยเวลาเรียนรู้อะไรแล้วจะต้องกลับมาฝึกที่บ้านแบบจริงจังเลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์นะ ว่าแต่อาจารย์คงไม่ได้มาเพียงเพราะความเป็นห่วงใช่รึเปล่าครับเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพลางเหลือบไปมองคนอื่นๆที่ยกโขยงมาที่นี่

“ไม่ใช่แค่นี้อย่างแน่นอน เอาเป็นเราเข้าไปคุยข้างในกันดีกว่า” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ราวกับว่าเขานั้นถูกซูจิ้งขโมยภาพเขียนหนีกลับบ้านมาก็ไม่ปาน

“ได้ครับได้ เชิญเข้ามาก่อนครับ”

 

หลังจากนั้นซูจิ้งได้เชิญทุกคนเข้าบ้านและทำการปิดประตู ก่อนที่จะนำทุกคนไปนั่งในสวนของเขา

ถึงตอนแรกทุกคนทำท่าจะเคืองๆไปบ้าง แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสวนของซูจิ้งที่สวยประดุจดั่งสวนสวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยเลยตามเลยไป

“ซูจิ้ง เธอวาดภาพนี้ออกมาใช่รึเปล่า” เชิงกูยี่ได้นำภาพวาดที่เป็นรูปของเชิงชิเหยาออกมาวางไว้บนโต๊ะ

เมื่อเชิงชิเหยาได้เห็นภาพเขียนนี้อีกครั้งแก้มของเธอก็แดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มอึกอักทำตัวไม่ถูก

เธอเองก็สงสัยไม่น้อยเหมือนกันว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ใช้เธอเป็นแบบกัน แล้วอย่างนี้เธอจะกล้ามองหน้าซูจิ้งให้เหมือนปกติได้ยังไงล่ะ

“ใช่ครับ ผมเป็นคนวาดเอง ทำไมหรืดครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ

“ฉันบอกแล้วว่าเป็นเขา ฮ่าฮ่าฮ่า” เอาจริงๆต่อให้ไม่ต้องมาถาม เชิงกูยี่ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงซะ กับภาพเขียนพู่กันจีนชั้นเลิศขนาดนี้

ถ้าไม่ใช่ซูจิ้งล่ะก็ สมควรจะเป็นคนจากดินแดนเซียนออกมาวาดให้แน่ๆ ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่เขาก็ยังคงเป็นกังวลเล็กน้อยเหมือนกันกลัวจะเสียหน้า แต่ตอนนี้เขาโล่งใจได้แล้ว

“เจ้าหนุ่ม นายบอกว่าเป็นคนวาดแล้วมีหลักฐานรึเปล่า” ชายวัยกลางคนอีกสองคนถามซูจิ้งออกมาแทบจะพร้อมกัน

“ไม่มีครับ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แต่วันนี้ผมวางแผนว่าจะวาดภาพอีกสักรูปสองรูปอยู่แล้ว ไม่แน่ใจว่าพวกคุณสนใจจะดูซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งได้หันไปพูดกับชายวัยกลางคนทั้งสองคน

“แน่นอน รีบๆเลย” เชิงกูยี่ลุกพรวดขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“สักครู่ครับอาจารย์” ซูจิ้งน้อมรับคำขอของเชิงกูยี่แต่โดยดี เขากลับเข้าไปในบ้านสักพักก่อนที่จะขนอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต่อการวาดรูปพู่กันจีนออกมา

เขาเองนั้นก็ได้เห็นว่าอาจารย์ของเขานั้นมีความภูมิใจต่อตัวเขามากมายขนาดไหน แต่กับอีกสองคนนั้นต่อให้อาจารย์ของเขาบอกยังไงก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี

เมื่อเป็นอย่างนั้น คราวนี้เขาจะทำให้อาจารย์ของเขาได้หน้ายาวเป็นกิโลไปเลย เพราะยังไงซะอาจารย์ของเขาก็เป็นผู้ประสิทธิประสานวิชาให้เขาอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ