GGS:บทที่ 838 ตะลึง

 

ซูจิ้ง เดินออกมาจากบ้านพร้อมอุปกรณ์ในการวาดภาพของเขา พร้อมกับภาพวาดบางส่วนที่เขาด้วยลองไปก่อนหน้านี้

เมื่อซูจิ้งวางภาพของเขาลง เชิงกูยี่เองก็อดในแทบไม่ไหวจึงได้เปิดกระดาษที่ปิดเอาไว้ออกอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ทุกคนได้เห็นก็ถึงกับตกตะลึงนั่นก็เป็นเพราะว่าภาพที่ทุกคนได้เห็นก็คือภาพของหญิงงามและไม่ใช่ภาพเดียวแต่เป็นหลายภาพ ทุกๆภาพยิ่งสวยนั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะภาพที่ดูไปแล้วหมึกยังเปียกๆอยู่เลย การลงเส้นภาพนี้ยิ่งทำให้รู้สึกตราตรึงใจจนยากที่จะละสายตาไปได้

งานภาพเหล่านี้ได้ยกระดับงานศิลป์ของโลกนี้เรียบร้อยแล้ว

“งดงาม งดงามอย่างที่สุด”

“หมึกนี่ยังไม่แห้งดีเลย นี่นายเป็นคนวาดภาพนี้จริงเหรอเนี่ย

“งานสองชิ้น สองเทคนิค นี่นายสามารถสร้างผลงานได้มากมายขนาดนี้โดยใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเนี่ยนะ”

เชิงกูยี่และเพื่อนของเขาอีกสองคนต่างก็รู้สึกอึ้งกันไปหมด

แม้แต่ฮวงจิงฮงและจูหยันเองต่างก็อึ้งไม่ต่างกัน

เชิงชิเหยาเองในตอนนี้เมื่อเห็นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นั่นก็เพราะภาพทุกๆภาพนั้นล้วนเป็นหญิงงามทั้งสิ้น และเธอเองเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นแค่นั้นเอง

เอาจริงๆเธอเองก็ต้องขอบคุณเขาก่อนหน้านี้ด้วยเหมือนกันที่ทำให้เธอพอจะเตรียมใจไว้ได้บ้างแต่เธอเองก็ไม่คิดว่าผลลัพท์จะออกมาแบบนี้เหมือนกัน

ใครจะไปคิดว่าสาวงามอย่างเธอจะเป็นเพียงแค่แบบวาดรูปของเขาได้แค่นั้นเอง

หรือว่าจริงๆแล้วซูจิ้งนั้นเลือกคบแต่กับคนสวยๆเท่านั้นนะ

 

เชิงชิเหยาเองในตอนนี้เริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอในตอนนี้มีความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

หากว่าต้องรู้สึกอย่างนี้เธอมีความรู้สึกว่ายอมให้ซูจิ้งบอกว่าไม่ชอบเธอซะยังจะดีกว่า

เหตุผลนั่นก็เพราะว่าภาพสุดท้ายที่ซูจิ้งพึ่งจะวาดเสร็จ และเป็นภาพที่ดูดีที่สุดนั้นก็คือภาพของฉือชิง

หากลองไล่เรียงลำดับการวาดของซูจิ้งนั้นจะพบว่าภาพก่อนหน้านี้เหมือนเป็นเพียงการหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อที่จะให้ภาพสุดท้ายดูมีชีวิตชีวามากที่สุดเท่านั้นเอง

 

การที่ทุกคนเห็นได้ว่าทุกๆภาพที่ซูจิ้งวาดนั้นต่างก็ดูมีชีวิตชีวานี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาตะลึงในความสามารถของซูจิ้ง

เด็กหนุ่มผู้มีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ แต่กลับสามารถสร้างผลงานดีๆมากมายเช่นนี้ออกมาได้เพียงชั่วข้ามคืน

ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันจีนหลายๆคนจะทำได้อย่างง่ายดาย

แต่ก็ไม่มีซักคนเดียวที่จะมีความสามารถพอที่จะสร้างผลงานศิลป์ได้สองสามชิ้นโดยอาศัยเทคนิตที่ต่างกันไปแต่ก็ยังคงไว้ในเป้าหมายเดิม(วาดแต่ภาพคนโดยอาศัยเทคนิคที่แตกต่างกัน)แบบนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานชิ้นสุดท้าย เพียงพวกเขามองแค่แวบเดียวก็บอกได้เลยว่าผลงานชิ้นนี้ต้องทำให้วงการภาพเขียนพู่กันจีนในระดับโลกต้องสั่นสะเทือน

 

งานชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นผลงานชั้นสุดยอดที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก หากมองในมุมมองศิลปะแล้ว

ผลงานชิ้นนี้สามารถกลายเป็นตำนานได้อย่างง่ายดาย และไม่มีงานชิ้นไหนสามารถนำมาเปรียบเทียบได้

ในตอนนี้พวกเขาเองก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆแล้วเหมือนกันว่าหากมีคนอื่นมาเห็นเขาล่ะก็คงสร้างความตื่นตะลึงในวงการภาพเขียนพู่กันจีน ไม่สิ ต้องบอกว่าทั่วทุกคนทั้งโลกใบนี้ก็สมควรที่จะตื่นตะลึงอย่างแน่นอน

 

“ไม่เชื่อหรอก ยังไงฉันก้ไม่เชื่อว่านายเป็นคนวาดภาพนี้” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีว่าไม่เชื่ออย่างที่สุด

นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆเท่านั้น ด้วยอายุเพียงเท่านี้ไม่มีทางที่เขานั้นจะเขาถึงแก่นแท้ในงานศิลป์ได้เป็นอันขาด

“อ้อ ลืมบอกไป ซูจิ้งนั้นเขาพึ่งจะเริ่มเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนได้ เอ… รู้สึกจะสิบวันก่อนนะ”

เชิงกูยี่นั้นเชื่ออย่างหมดใจในทันทีว่าซูจิ้งไม่ได้โกหกเขาที่ว่าเป็นคนวาดภาพเขียนเหล่านี้

นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเองก็ได้ติดตามเฝ้าดูพัฒนาการของซูจิ้งอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าทุกพัฒนาการเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าภาพของซูจิ้งก่อนหน้านี้จะไม่มีภาพไหนเลยที่วาดเสร็จ แต่ถ้ามองในมุมมองทางศิลปะล่ะก็

ซูจิ้งถือได้ว่าเข้าใจแก่นแท้ของแต่ละเทคนิคก่อนที่จะวาดภาพได้เสร็จด้วยซ้ำ

 

“นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”

“ใช่ จะไปมีคนดีๆที่ไหนสามารถเรียนรู้แก่นแท้เทคนิคงานศิลป์มากมายขนาดนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่สิบวัน”

ชายวัยกลางคนทั้งสองยิ่งปฏิเสธไม่ยอมรับแบบเสียงแข็งออกมา

“งั้นนนน… เอาอย่างนี้ หากว่าพวกคุณทั้งสองยังไม่ยอมเชื่อล่ะก็ ผมขอวาดภาพให้คุณดูสักรูปจะได้รึเปล่าล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“โฮ่โฮ่ วาดภาพออกมาให้พวกนี้เห็นได้ก็น่าสนใจทีเดียว” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างสบายอารมณ์

“ก็ได้ ถ้านายวาดภาพออกมาในระดับนี้นะที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ได้ พวกฉันก็จะยอมรับในความสามารถของนาย” ชายวัยกลางคนทั้งสองพูดออกมาด้วยท่าทางมีอารมณ์ขุ่นเคือง

“รอสักครู่นะครับ” ทันทีที่พูดจบ ซูจิ้งได้ไปจัดแจงอุปกรณ์ทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง

หลังจากนั้นเขาปิดตาลง สูดหายใจเข้าไปราวกับกำลังดื่มด่ำอารมณ์ไปกับอะไรบางอย่าง

และในขณะนั้นเอง ซูจิ้งได้หยิบพู่กันและตวัดลงไปในกระดาษทันที

หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการวาดอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าต่อให้ระดับปรมาจารย์ก็แทบจะตามเขาไม่ทัน

ไม่นานนักก็ได้ปรากฎภาพที่น่าจะเป็นฉากหลังผลงานชิ้นนี้ตามขอบกระดาษ

เพียงแค่นี้ก็ทำให้ชายวัยกลางคนทั้งสองคนตกใจจนเผลอถอนหายใจออกมาอย่างรวดเร็ว

มีเพียงเชิงกูยี่เท่านั้นที่จ้องมองด้วยสายตาอันเป็นประกาย

 

เชิงชิเหยาและจูหยันเองในตอนนี้ทำได้เพียงรู้สึกอัศจรรย์อยู่ภายในใจของพวกเธอและทำได้เพียงยอมรับออกมาเท่านั้น

ถึงจะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งจะหัดเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนได้เพียงสิบวัน และเมื่อเทียบกับพวกเธอที่เรียนกันมานับแรมปีแล้วแต่ฝีมือก็ยังห่างกันเป็นโยชน์ได้ขนาดนี้

หากเป็นคนทั่วไปจะรู้สึกโกรธแค้นในความอัจฉริยะของซูจิ้งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

สำหรับฮวงจิงฮงนั้น เขาเองก็รู้สึกไขว้เขวที่จะยอมรับนับถือในตัวของซูจิ้งตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นว่าซูจิ้งเองก็ได้วาดสาวงามคนอื่นไปตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้แล้ว

เอาจริงๆที่เขาไม่ชอบหน้าซูจิ้งนั้นก็มีเพียงเรื่องที่เขากลัวว่าซูจิ้งจะมาชอบเชิงชิเหยาเข้าก็แค่นั้นเอง

ในตอนนั้นที่เขาเห็นภาพวาดของเชิงชิเหยาที่ซูจิ้งวาดเอาไว้

ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นคือต้องกันให้เชิงชิเหยาอยู่ห่างจากซูจิ้งให้จงได้

ต่อให้เชิงชิเหยาไม่ได้ชอบซูจิ้งแต่เธอเองก็เป็นคนที่มีรสนิยมสูงล้ำและชื่นชอบคนที่มีความสามารถด้านการเขียนภาพพู่กันจีนอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว กันไว้ก่อนถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า

ถึงตัวเขาเองจะมีความสามารถด้านการเขียนภาพพู่กันจีนอยู่บ้าง และหลงลำพองใจไปกับเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ก็ตาม

แต่หากเทียบกับซูจิ้งแล้วเขานั้นเทียบไม่ได้แม้แต่เป็นเศษเสี้ยว

แทบจะพูดได้ว่าปิดประตูแพ้เรื่องนี้ไปได้เลย

หากปล่อยให้เชิงชิเหยาได้อยู่กับซูจิ้งบ่อยครั้งเข้าล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่เขานั้นจะทำอะไรได้

 

“พระเจ้าช่วย เร็วมาก”

“ใช่ แถมยังเป็นงานภาพเขียนที่ดูน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก นี่เขาใช้เทคนิคทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้ในช่วงสิบวันนี้ลงไปในภาพนี้เลยนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนทั้งสองคนก็ถึงกับหูผึ่งและหันไปมองหน้ากันพร้อมทำตาปริบๆ

แต่เสียงรบกวนรอบข้างของพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ซูจิ้งหยุดวาดรูปแต่อย่างใด

เขายังคงวาดรูปต่อไปด้วยความเร็วที่ทุกคนในที่แห่งนี้สุดจะตามทันได้

เพียงไม่ถึงครึ่งชัวโมงดี ภาพวิวทิวทัศน์ก็ได้ปรากฎออกมาต่อหน้าของผู้คน

นี่คือภาพของเมืองฉิงหยุนที่ซูจิ้งเคยได้เห็นตอนที่เขานั้นได้ขึ้นไปขี่บนหลังของอินทรีย์ทองของเขา

มันเป็นภาพของผู้คนมากมาย ทะเลสีคราม และต้นไม้เขียวขจี

มันช่างงดงามราวกับเป็นงานศิลป์ชั้นเลิศ ถึงแม้ว่าภาพนี้จะเทียบไม่ได้กับภาพเหมือนฉือชิงก็ตาม แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นงานชั้นเลิศอยู่ดี

และอย่างน้อยๆนี่ก็ช่วยพิสูจน์ความสามารถของซูจิ้งได้เป็นอย่างดีว่าเขานั้นเป็นศิลปินที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างน้อยๆก็สองรูปแบบภายในวันๆเดียวและเป็นคนๆเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ชายวัยกลางคนทั้งสองคนในตอนนี้ตะลึงกับภาพที่เห็นจนทำให้ทั้งสองเผลอปล่อยเสื้อคลุมของเขาลงไปที่พื้นแทบจะพร้อมๆกัน

ในขณะเดียวกันทั้งสองคนในตอนนี้ก็ได้รู้สึกเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ของแม่น้ำแยงซีเกียงกระแทกอย่างรุนแรงจนร่างลอยกระเด็นไปไกลจนนอนตายอยู่ริมหาดในเฉียนหลาง(รุนแรงจนกระเด็นไปคนละซีกประเทศจีน)

หากมีคนหนุ่มที่มีความสามารถด้านการวาดภาพเขียนพู่กันจีนขนาดนี้ล่ะก็ พวกเขาไม่ต้องกลัวว่าสมบัติแห่งชาติพันธุ์จีนจะสูญหายไปแต่อย่างใด

 

“อาจิ้ง นายสามารถวาดภาพแนวนี้ได้ยังไงกันน่ะ” เชิงกูยี่เองได้เตะตัดขาเรื่องน่าตกตะลึงของซูจิ้งทั้งหมดด้วยการหันไปถามเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวเขาในทันที

“ขอพูดตามตรงแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับอาจารย์ ผมเพียงแค่วาดภาพตามจินตนาการของผมที่จำในสิ่งที่สวยงามและตราตรึงใจเอาไว้ในความทรงจำของสิ่งที่ผมเคยพบเห็นก็เท่านั้นเอง

ที่เหลือผมก็แค่วาดออกมาให้สื่อถึงภาพจำเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวสามารถตอบทุกคำถามที่ทุกคนอยากรู้เอาไว้ทั้งหมดในทันที

นอกจากนี่จะเป็นหัวใจแห่งงานศิลป์ทุกประเภทแล้ว ประโยคนี้ยังสื่อออกมาได้ว่าที่เขาวาดได้ดีขนาดนี้ก็เพราะเห็นสิ่งที่สวยงามที่ปรากฎในแต่ละสิ่งก็เพียงพอแล้ว

ถึงแม้นี่อาจจะไม่ช่วยให้เขารอดตัวจากคำถามที่เชิงกูยี่อยากจะถามว่าทำไมถึงได้วาดภาพของลูกสาวเขาซักเท่าไหร่นัก

เอาจริงๆที่เขาวาดรูปของเชิงชิเหยานั้นก็เพียงเพราะว่าเขาเองอยากจะวาดหญิงงามตามตำราการวาดภาพหญิงงามที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Eraก็เท่านั้น

จากภาพสาวงามทั้งหมดทั้งมวลที่เขาได้ลองวาดดูนั้น มีเพียงภาพของฉือชิงเท่านั้นที่พอไปวัดไปวาได้เมื่อเทียบกับภาพอื่นๆที่อยู่ในตำรา

ถึงแม้เขาจะไม่อยากยอมรับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม นั่นก็เพราะเมื่อเทียบกับภาพสาวงามที่งามที่สุดที่เขาเห็นในตำราแล้วยังถือได้ว่ายังห่างกันเป็นหมื่นลี้ เขาจึงอยากจะปลอบใจตัวเองสักหน่อยก็ยังดี

แต่อย่างน้อยๆการวาดภาพพวกนี้ก็ช่วยเขาในการบ่มเพาะความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาได้ล่ะนะ

 

“อัจฉริยะ สุดยอดอัจฉริยะ” ชายวัยกลางคนทั้งสองทำได้เพียงตกตะลึงจนเผลอพูดออกมาอย่างไม่หยุดปาก

“คำว่าอัจฉริยะนี่ผมรับไม่ไหวจริงๆครับ ผมยังห่างไกลจากคำๆนั้นมากนัก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างหมดอาลัยเล็กน้อย

น้ำเสียงของซูจิ้งนั้นสื่อออกมาจนทุกคนที่ได้ยินรู้สึกได้จริงๆว่าเขานั้นไม่ได้พูดถ่อตัวแต่อย่างใด แต่เขานั้นเคยได้เห็นภาพที่สุดยอดกว่านี้มาแล้ว

หากเขานำผลงานของตัวเองไปเทียบกับภาพในตำราแล้ว ก็สมควรอยู่ที่เขานั้นจะบอกแบบนี้ออกมา

แต่ถึงยังไงซะไม่ว่าซูจิ้งจะพูดอะไรก็ตาม สำหรับทุกคนที่อยู่รอบๆในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของซูจิ้งนั้นเป็นการสุดยอดแห่งการถ่อมตัว

ถ้าขนาดซูจิ้งยังบอกว่าตัวเองนั้นห่างไกลแล้วพวกเขาล่ะจะถือได้ว่าเป็นตัวอะไรกัน

หากทั้งหมดเชื่อในคำพูดของซูจิ้งล่ะก็ พวกเขาเองก็สามารถบอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเหล่าอัจฉริยะแล้ว

พวกเขาเองก็สมควรจะเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าคนธรรมดาซะอีก