บทที่ 6 บทที่ 129 ยามที่เสียงนกหวีดดัง พ่อจะมาอยู่ข้างลูก

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

หลังเจ้าของสมาคมอุ้มจุยเฟิงจากไป ชีสก็หันมองกุยเชียนอีอย่างหมดหนทาง

 

เขายังไม่รู้สถานะที่แท้จริงของหลงเอ๋อร์ ตอนนี้ผู้ที่สามารถขอความช่วยเหลือได้ก็มีเพียงแต่ผู้อาวุโสผู้นี้เท่านั้น

 

 “ในเมื่อเขาพูดว่าจุยเฟิงจะไม่ตาย อย่างนั้นเขาก็จะไม่ตาย วางใจเถอะ” หลงซีรั่ว…หลงเอ๋อร์ส่ายหน้า “อย่างน้อยจุดนี้ก็สามารถรับรองได้”

 

ไม่อย่างนั้นเจ้าของสมาคมก็คงจะไม่โผล่ออกมา…ถ้าหากไม่สามารถทำให้จุยเฟิงมีชีวิตอยู่รอดได้ก็คงเป็นการทำลายป้านร้านตนเองน่ะสิ

 

 “เธอคือ…” ชีสมองไปยังหลงเอ๋อร์…ดูเหมือนใต้เท้ากุยจะดูเคารพนบนอบต่อเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นพิเศษ

 

 “ฉันเป็นลูกศิษย์ของกุยเชียนอี” หลงเอ๋อร์พูด

 

กุยเชียนอีชะงัก…แต่การพูดแบบนี้ก็ดูเหมือนจะไม่เลวนะ ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความคิดของหลงซีรั่ว หากเธอเป็นแบบนี้ไปตลอดก็จะไม่สะดวก ทั้งไม่สามารถเผยตัวต่อหน้าคน ไม่สู้สร้างสถานะใหม่ขึ้นมาเสีย

 

ชีสพยักหน้า…แต่ก็ไม่เคยเห็นอาจารย์กลัวลูกศิษย์มาก่อนเลย

 

หลงเอ๋อร์เดินไปถึงหน้ามั่วเสี่ยวเฟย ย่อกายลงไป ยื่นนิ้วเข้าไปบริเวณหน้ากากป้องกันพิษ คลำไปที่ตำแหน่งชีพจรของเขา เธอขมวดคิ้วขึ้น “เจ้านี่…ทำไมถึงบาดเจ็บถึงขนาดนี้ได้”

 

กุยเชียนอีพูดว่า “ดูเหมือนข้าจะได้ยินเขาพูดถึงพลังพิเศษ ใช่…พลังพิเศษของมนุษย์มีนับตั้งแต่โบราณมา แต่จะมีเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์เหนือผู้อื่นเท่านั้น เป็นคนที่สวรรค์โปรดปรานเป็นพิเศษถึงจะมี สมัยก่อนสงครามความคิดตะวันตกเริ่มแผ่เข้ามา วิทยาศาสตร์แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดิน ผู้คนเริ่มสนใจพลังนี้…ได้ยินว่าในช่วงสงครามประเทศเคยรวบรวมกลุ่มคนมีพลังพิเศษเป็นกองกำลัง ตอนนั้นข้ารู้สึกว่าน่าสนใจเลยแอบศึกษามาบ้าง”

 

 “กุยเชียนอี เจ้าไม่อวดความรู้แล้วจะตายไหม” หลงเอ๋อร์กลอกตามองบน

 

กุยเชียนอีรีบพูดว่า “โดยทั่วไปแล้วพลังพิเศษเกิดจากวิวัฒนาการของสมอง แต่ร่างกายมนุษย์อ่อนแอเกินไป ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงจุดที่สามารถทนต่อพลังพิเศษได้ น้องชายผู้นี้คงใช้พลังพิเศษเกินขอบเขตที่ตนเองรับไหว จนสมองได้รับบาดเจ็บหนัก…”

 

กุยเชียนอีรีบจับชีพจรของมั่วเสี่ยวเฟยและพูดว่า “ช่วยนั้นช่วยได้…แต่ดูเหมือนร่างกายจะบอบช้ำมากเกินไป เกรงว่าคงไม่อาจใช้พลังพิเศษได้อีกแล้ว”

 

กุยเชียนอีถอนหายใจ “น้องชายมนุษย์คนนี้ถือเป็นผู้กล้าคนหนึ่ง ชั่วชีวิตนี้ข้านับถือมนุษย์น้อยมาก น้องชายผู้นี้เป็นคนหนึ่งในนั้น เสียสละตนเองเพื่อคนที่ไม่รู้จักถึงขนาดนี้ หาได้ยาก หาได้ยากจริงๆ”

 

 “พาเขาไปก่อนเถอะ” หลงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เธอได้ยินเสียงรถดับเพลิงและรถตำรวจแล้ว

 

อีกอย่างสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ ทุกคนกำลังพากันขับไล่แมลง แล้วก็บั้งไฟน้อยเหล่านั้น ทำให้ไม่มีใครสังเกตทางนี้…แต่หากรออีกเดี๋ยวนั้นไม่แน่

 

 “ก็ถูก ยังมีนกหวีดอีกที่ข้าต้องไปจัดการ” กุยเชียนอีพยักหน้าแต่กลับพูดกับชีสว่า “เด็กน้อย นายก็มาด้วยเถอะ มีเรื่องบางเรื่องที่นายต้องเผชิญหน้า ฉันรู้ว่าเรื่องในคืนนี้โหดร้ายเกินไปสำหรับนาย…แต่จำไว้ว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกใจ นายต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างนี้ หากอดทนข้ามผ่านไปได้จะส่งผลดีต่อนาย”  

 

ชีสไม่สนใจผลดี เพียงแค่พยักหน้าเงียบๆ จุยเฟิง…จุยเฟิงเผชิญกับความเจ็บปวดเพียงลำพังได้โดยไม่ทำร้ายใครจริงๆ แล้วเขาจะอ่อนแอได้อย่างไร

 

หากไม่สามารถเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ได้ หากต่อไปจุยเฟิงกลับมาแล้วจริงๆ เขา…เขายังจะมีหน้าไปเจออีกฝ่ายได้อย่างไร

 

 “ใต้เท้ากุย…ผมขอคุยกับนกหวีดสักคำสองคำเป็นครั้งสุดท้ายจะได้ไหม”

 

กุยเชียนอีมองไปที่หลงเอ๋อร์ยังลำบากใจแวบหนึ่ง…หลงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย

 

 

ภายในก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ ตอนนี้มีเหมือนถ้ำอยู่ด้านใน ถ้ำนี้ทำให้ก้อนเนื้อด้านในสามารถเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง กลายเป็นร่างเต็มสมบูรณ์…และยังคงมีรูปร่างของซูโย่ว

 

 “นกหวีด นายคือนกหวีดใช่ไหม” ชีสสัมผัสกับก้อนน้ำแข็ง

 

นกหวีดที่อยู่ด้านในก็ยื่นมือออกมา ทาบกับมือของชีส มองเขานิ่งๆ ไม่พูดจา

 

 “พวกเขาพูดว่า…พูดว่านายทำร้ายปีศาจมากมาย และกินมนุษย์ไปไม่น้อย เป็นความจริงงั้นเหรอ”

 

นกหวีดพยักหน้า

 

 “นายต้องการฆ่าเสี่ยวเจียง ก็เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ เพื่ออะไร”

 

 “เพราะว่าฉันหิว”

 

มือของชีสสั่นสะท้าน จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดว่า “นาย…นายคิดจะกินฉันด้วยใช่ไหม”

 

นกหวีดยังพยักหน้า “นับตั้งแต่ครั้งแรกฉันก็คิดจะกินนายแล้ว”

 

สีหน้าของชีสดูแย่ขึ้นไปอีก

 

เขาคิดไปถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง วันที่นกหวีดปรากฏตัว ในตอนนั้นมันมาตามเสียงนกหวีด เขาพูดอย่างปวดใจว่า “นายก็กิน…พ่อของฉันด้วยใช่ไหม”

 

นกหวีดพูดว่า “ใช่แล้ว ฉันถูกสร้างขึ้นมา ผู้สร้างเอาอะไรให้ฉันกิน ฉันก็กิน เพราะฉันต้องการอาหารเพื่อที่จะเจริญเติบโต”

 

ชีสก้มหัวลง มือที่กดบนก้อนน้ำแข็งค่อยๆ ไถลลง…เขาค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าก้อนน้ำแข็ง ดวงตาแดงฉาน

 

ก้อนน้ำแข็งไม่ได้หนามาก แต่สิ่งที่มันกั้นกลับไกลออกไป…ไกลจนสัมผัสไม่ได้

 

 “ทำไม…ทำไมต้องกินคนและปีศาจไปมากมายขนาดนั้นด้วย”

 

ชีสไม่ได้เงยหน้า “ทั้งๆ ที่ขอแค่นายพูดกับฉันว่าหิว ฉันก็จะหาอาหารมาให้นายมากมายแล้วแท้ๆ ก่อนหน้านี้…ก่อนหน้านี้ก็เป็นแบบนั้นมาตลอดไม่ใช่หรอ เพราะอะไร…เพราะอะไรต้องทำร้ายคนมากมายขนาดนี้”

 

นกหวีดไม่ขยับ น้ำเสียงเรียบเฉย “สัตว์ธรรมดาไม่เพียงพอ ฉันต้องการมากกว่านั้น”

 

 “ใต้เท้ากุยจะฆ่านายนะ!” ชีสเงยหน้าขึ้นมา “พวกเขาจะฆ่านาย! หรือนายไม่รู้…หรือว่าไม่สามารถ…หยุดทำเรื่องพวกนี้ได้”

 

นกหวีดมองชีส และถามขึ้นในทันใดว่า “พูดตามเหตุผลแล้ว นายควรโกรธฉันเพราะพ่อของนายก็ถูกฉันกิน และเมื่อครู่ฉันคิดจะกินนาย…แต่ทำไม ตามเหตุผลแล้ว ถ้าฉันทำเรื่องแบบนี้กับนายก็เพียงพอให้นายโกรธ แค้นเคืองรวมไปถึงหวาดกลัวแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

ชีสหัวเราะอย่างขมขื่น พึมพำพูดว่า “จุยเฟิงพูดว่าฉันเป็นคนจอมปลอม…ดูแล้วคงไม่ผิด ด้านหนึ่งฉันโกรธแค้นนายจริงๆ…ส่วนอีกด้านหนึ่งก็ยังอาลัย…ทั้งยังคิดว่านายเป็นพ่อของฉันจริงๆ คิดว่านายคือนกหวีด…คิดว่าพวกนายเป็นคนคนเดียวกัน ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็…ถ้าเป็นแบบนั้น…”

 

นกหวีดส่ายหน้า “โลกใบนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบในทุกด้าน”

 

 “ใช่แล้ว บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่สมบูรณ์แบบ” ชีสยิ้มเยาะ มองนกหวีดผ่านน้ำแข็งกั้น…มองรูปร่างของ ‘ซูโย่ว’ พูดอย่างเซื่องซึมว่า “พ่อครับ พ่อรู้ไหม ว่านับตั้งแต่ที่พ่อไม่อยู่ ผมก็คอยบอกกับตัวเองว่าต้องอดทน อย่าร้องไห้ เพราะว่าผมต้องเติบโตต้องดูแลครอบครัว ต้องมีความรับผิดชอบ แต่ว่า…ที่แท้แล้วการเติบโตนั้นเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจริงๆ”

 

ทันใดนั้นนกหวีดก็มองชีส ภายในดวงตามีความอ่อนโยน น้ำเสียงของเขาก็นุ่มนวลมาก…นุ่มนวลจนเหมือนเสียงยามซูโย่วเล่านิทานให้ฟัง “ใช่แล้ว การเติบโตนั้นเจ็บปวดมาก เจ็บปวดจริงๆ…ความเจ็บปวดบางครั้งอาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกาย…ฉันคิดว่า ฉันเริ่มเข้าใจว่าความเจ็บปวดคืออะไรแล้ว”

 

ชีสเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เผยสีหน้าหวาดกลัว

 

กลับเห็นเพียง ‘ซูโย่ว’ …ทันใดนั้นร่างของนกหวีดก็เริ่มฉีกออก ภายใต้ฉากนองเลือด กลับเป็นเซลล์ดั้งเดิมของมัน แหล่งกำเนิดพลังของมัน

 

 “แก่นกลางของฉันอยู่ที่นี่ อยากจะฆ่าฉันก็ฉวยโอกาสตอนนี้เถอะ”

 

นกหวีดพูดคำพูดที่ทำให้ทุกคนมึงงง…กุยเชียนอีขมวดคิ้ว พูดอย่างสงสัยว่า “เอ๋ เจ้าเชื่อฟังเช่นนี้ คงไม่ได้วางแผนอะไรใช่ไหม ข้าเคยพลาดมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะไม่ติดกับง่ายๆ อีกครั้งหรอกนะ”

 

คิดไม่ถึงว่านกหวีดจะพูดว่า “ฉันไม่มีวิธีจะทำลายก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ ครั้งนี้ไม่มีวิธีแล้วจริงๆ นายระมัดระวังมาก ไม่ปล่อยช่องว่างให้ฉันหนีไปได้เลย ก็เหมือนกับที่นายพูดว่านายพลาดแล้วครั้งหนึ่ง คงเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีก เช่นนั้นจุดจบของฉันคงสามารถคาดเดาได้ ดังนั้นเลือกตายไปเลย น่าจะสบายกว่า”

 

กุยเชียนอีพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งดีนะ ความจริงแล้วมีมนุษย์และปีศาจมากมายที่ปลงไม่ตกอย่างเจ้า พวกเขาจะพยายามดิ้นรนจนถึงวินาทีสุดท้าย”

 

นกหวีดพูดว่า “มันไม่เหมือนกัน เพราะตอนนี้ฉันเจ็บปวดมาก ฉันอยากจะรีบจบความเจ็บปวดนี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงฉันยอมแพ้เพราะไม่มีปัญญาต่อต้านพวกนาย”

 

ดวงตาของกุยเชียนอีและหลงเอ๋อร์หดตัวลง

 

นกหวีดพูดอย่างเย็นชาว่า “นายเคยพูดว่าฆ่าฉันเพราะความเห็นแก่ตัว แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจ ฉันถูกสร้างขึ้นมา ตัวฉันเองไม่ได้เป็นคนตัดสินใจ ฉันต้องการอาหารเพื่อให้ร่างกายของตนเองเติบโตนั้นก็เป็นสัญชาตญาณของฉัน ฉันไม่สามารถห้ามสัญชาตญาณของตนเองได้ ฉันคิดเพียงจะอยู่รอดเท่านั้น ส่วนพวกนายจะฆ่าฉันเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัวจนมาเอาชีวิตของฉันไป ในสายตาของฉัน สิ่งที่ฉันกินก็คืออาหาร ในสายตาของพวกนาย ของที่กินเข้าไปเหล่านั่นก็คืออาหารเช่นกัน ฉันกับพวกนายต่างกันที่ตรงไหนกัน”

 

กุยเชียนอีถอนหายใจ “ในเมื่อไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจต่อไปเถอะ…เมื่อเข้าใจแล้วอาจจะสร้างความเจ็บปวดให้เจ้า ขอโทษด้วยที่ต้องฆ่าเจ้า…เพราะว่า พวกเราเห็นแก่ตัวจริงๆ ดังนั้นนอกจากคำขอโทษแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรสามารถให้เจ้าได้อีก”

 

ดวงตาของกุยเชียนอีหดตัวลงชั่วขณะ ภายในน้ำแข็งมีแท่งน้ำแข็งแหลมคมยื่นออกมาพุ่งไปที่แก่นเซลล์ที่นกหวีดเผยออกมา

 

 “รอเดี๋ยว!” ทันใดนั้นชีสก็ร้องหยุดกุยเชียนอี

 

 “เด็กน้อย ถึงตอนนี้แล้วยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกเหรอ” กุยเชียนอีเกิดโมโหขึ้นมา

 

ชีสใช้ดวงตาที่แน่วแน่จ้องมองกุยเชียนอี…สายตานี้ทำให้ผู้อาวุโสเหล่าปีศาจผู้นี้ตะลึง เด็กคนนี้มีสายตาที่แหลมคมเช่นนี้ได้อย่างไร

 

นี่ไม่ใช่ความกดดันจากพลังปีศาจ แต่เป็นพลังกดดันระดับจิตวิญญาณ

 

จื่อสู่[1]…?!

 

ทันใดนั้นกุยเชียนอีก็คิดถึงชื่อๆ หนึ่ง!

 

ตอนนี้ชีสกลับพูดอย่างเศร้าว่า “ใต้เท้ากุย ผมไม่ได้ขัดขวางไม่ให้ท่านฆ่านกหวีด…ผมรู้ว่านกหวีดทำผิดจนไม่อาจให้อภัย แต่…แต่ผมหวังว่าผมจะได้ลงมือเอ!”

 

 “เจ้า…” กุยเชียนอีมองชีส นี่เป็นแววตาที่เศร้าและมุ่งมั่นขนาดไหนกัน

 

 “เช่นนั้นก็เอาเถอะ” กุยเชียนอีพยักหน้า ทันใดนั้นก็ตวัดกระบี่ไม้เท้ากลับมาและแทงเข้าไปในน้ำแข็ง

 

ในขณะที่ปลายกระบี่แหลมห่างจากแก่นเซลล์เพียงนิ้วเดียวนั้นก็หยุดลง…แม้ตัวกระบี่จะแทงเข้าไปในน้ำแข็งแต่ก็ไม่เหลือช่องว่างเอาไว้แม้แต่นิดเดียว

 

นี่ทำให้นกหวีดไม่มีช่องว่างหลบหนี

 

ตอนนี้นกหวีดกลับพูดอย่างเย็นชาขึ้นมาว่า “ฉันพูดแล้วว่าให้นายฆ่าฉัน แต่นายก็ไม่เชื่อ กลับมาทำแบบนี้อีก”

 

กุยเชียนอีพูดว่า “ข้ามีชีวิตอยู่มายาวนานขนาดนี้ ก็มีบางช่วงที่ต้องต่ำช้าอยู่บ้าง คำพูดขอโทษข้าก็พูดแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้สึกติดค้างอะไรต่อเจ้าอีก”

 

นกหวีดไม่พูดอะไรอีก

 

ชีสสูดหายใจเข้าลึกๆ สองมือกำบนด้ามกระบี่แน่น “นกหวีด ขอบคุณที่นายได้ยินเสียงนกหวีดแล้วก็มาหาฉัน ขอบคุณที่นายอยู่เป็นเพื่อนฉันในยามที่ฉันโดดเดี่ยว”

 

เขาหลั่งน้ำตา “หากเป็นไปได้แล้วล่ะก็ ฉันอยากจะให้ทุกอย่างเปลี่ยนเป็นสิ่งสวยงามทั้งหมด แต่…แต่ในเมื่อมันเลวร้ายแบบนี้แล้ว…ฉัน…ฉันก็จะแก้ไขมัน…แก้ไขมันด้วยมือตัวเอง…”

 

 “ขอบคุณนาย ที่มอบฝันดีให้แก่ฉัน…แม้จะเป็นเรื่องปลอม…แต่ก็ขอบคุณนาย ที่ทำให้ฉันได้…กอดพ่อของฉันอีกครั้ง…ขอบคุณนายนะ”

 

เขาเบิกตากว้าง ไม่ยอมให้ตนเองกะพริบตา…เบิกตากว้าง มองดูภาพทุกอย่างตรงหน้า

 

 “ขอบคุณนายที่เคยเข้ามาในชีวิตฉัน”

 

 “ขอบคุณนาย”

 

ชีสทั้งยิ้มและร้องไห้ไปด้วย แทงกระบี่แหลมคมเข้าไป…กระบี่แหลมคมตัดแก่นเซลล์นั้นขาดออกเป็นสองส่วน

 

 “นายเติบโตแล้วจริงๆ”

 

ดูเหมือนเสียงนี้จะดังขึ้นมา…และเหมือนจะไม่ได้ดังขึ้นมา เพราะว่ามันเบามาก เบาเกินไป

 

เห็นเพียงร่างกายของนกหวีดกลายเป็นกองของเหลวเต็มไปทั่วทั้งด้านในน้ำแข็ง

 

 

 “ในที่สุดก็จบแล้ว” หลงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ…ค่ำคืนนี้จิตใจของเธอไม่สงบ ไม่สงบเลย เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้โจมตีเธอรุนแรงเกินไป

 

บางทีเธออาจเคยเผชิญกับเรื่องราวคล้ายกันนี้มานานแล้ว ซึ่งก็นานมากแล้วที่เธอไม่เคยพบเจออะไรแบบนี้

 

แต่…ครั้งนี้ คืนนี้ ไม่เหมือนกันเลย

 

ชีสยังคงอยู่ในท่าถือกระบี่ ไม่ขยับเขยื้อน…กุยเชียนอีคิดจะปลอบใจสักประโยคสองประโยค แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเงียบ

 

บางที่ความเงียบสงบอาจเป็นการปลอบใจที่ดีที่สุดของเขา

 

ทันใดนั้นชีสก็เงยหน้าขึ้น…ตอนเขาเจอกับนกหวีดครั้งแรกก็เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้ใช่ไหม เขาล้วงนกหวีดที่แสนมีค่าออกมาจากคอและจรดไว้ที่ริมฝีปาก

 

ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด!

 

‘ลูกถือของสิ่งนี้ไว้นะ เพียงแค่ลูกเป่ามัน ไม่ว่าพ่ออยู่ที่ไหน พ่อก็จะกลับมาหาลูกได้ทันที’

 

ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด! ปี๊ด!

 

เขาเป่าซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

 

นี่ก็คือการเติบโต

 

การเติบโตที่แท้จริงของ…เขา

 

 

[1] จื้อสู่ หนึ่งในสิบสองจักรราศี