ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 39 ปิ่นไม้ดำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว นำพาไปสู้ขอบแท่นกานลู่

ไข่มุกราตรีและโลกมนุษย์อยู่แทบเท้า ท้องฟ้าและดวงชะตาอยู่เหนือศีรษะ

นางแบมือออกช้าๆ แขนเสื้อกว้างห้อยย้อยปลิวพลิ้วหวิวไหวไปตามสายลม

นางเสมือนคนที่ยืนอยู่เหนือเหวลึก ระมัดระวังและเล็กจ้อย

นางเสมือนคนที่อยู่ต่อหน้ามหาสมุทร มองภาพอันยิ่งใหญ่

ไอพลังปราณละเอียดอ่อนแต่ทรงพลังแผ่ออกมาจากแท่นกานลู่

เพียงแขนเสื้อของนางเคลื่อนไหว สายลมยามราตรีก็พลันเปลี่ยนทิศ เริ่มย้อนกลับพุ่งเข้าไปหากระบี่เผานภา

เส้นเกศาดำสนิทละไล้ผ่านแก้มนางและลอยไปด้านหน้า ดูยุ่งเหยิงอยู่บ้างแต่ก็ทำให้นางดูงดงามยิ่งขึ้น

เมื่อสะบัดเส้นผม ปิ่นไม้ดำที่ปักอยู่ก็ร่วงลงมา ทว่าไม่ตกสู่พื้น กลับบินเข้าสู่ท้องฟ้ายามราตรี

เป็นที่รู้กันดีว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีปิ่นไม้ดำอันหนึ่ง ไม่ว่าสภานการณ์ใดก็ตาม มันจะปักอยู่บนผมของนาง

มิใช่เป็นเพราะปิ่นนี้งดงามยิ่ง หรือเพราะมีรูปหงส์สลักเอาไว้อย่างงดงามราวกับมีชีวิต ทว่าเป็นเพราะนี่ไม่ใช่ปิ่นธรรมดาทั่วไป

นี่คืออันดับสามในอันดับร้อยศาสตรา กระบี่ไม้หงส์น้อย!

……

……

เสียงหงส์ร้องไพเราะชัดเจน ฟังดูเคร่งขรึมจริงจังอย่างยิ่ง ดังก้องไปทั่วนครจิงตู

ปิ่นไม้ดำพุ่งตรงไปจากแท่นกานลู่เข้าสู่ท้องฟ้ายามราตรี เปลี่ยนสภาพท่ามกลางแสงดาวไปเป็นหงส์ดำที่สง่างามแต่ก็ดุร้ายยิ่ง!

หงส์ดำนี้มีขนาดใหญ่โตจนดูเหมือนจะบดบังดวงดาว ยืดกรงเล็บตรงไปคว้ากระบี่เผานภาที่เจิดจ้าเอาไว้!

เสียงน่ากลัวดังสะท้อนไปทั่วแผ่นดิน

กรงเล็บขวาของหงส์ดำคว้าจับมังกรไฟซึ่งเกิดจากกระบี่เผานภาไว้มั่น!

แสงดาวที่ล้อมรอบกระบี่เผานภาเอาไว้ดุจเกล็ดมังกรหม่นแสงลงในทันใด จากนั้นก็เกิดเสียงแตกร้าวนับไม่ถ้วน แตกกระจายไปทีละดวงๆ!

แต่กระบี่เผานภาดูเหมือนจะคาดเดาเอาไว้แล้วและพุ่งทะลวงผ่านเกล็ดแสงดาวนั้นออกมา!

กระบี่ของซูหลี…ได้ออกจากฝักอย่างแท้จริง!

เจตจำนงกระบี่ที่แหลมคมจนน่าเหลือเชื่อปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี แสงดาวที่แตกกระจายถูกตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขจรขจายไปราวกับเกล็ดหิมะ!

ขนสีดำหลายเส้นหลุดลอยไป!

เสียงร้องของหงส์ดังขึ้นอีกครั้ง กดขี่รุนแรงกว่าครั้งก่อน!

หงส์ดำกางปีกยาวหลายลี้!

กระบี่เผานภาแทงเข้าใส่ขนสีดำ จะงอยปากแหลมคมก็ปะทะเข้ากับปลายกระบี่เผานภา!

สายธารแห่งแสงปรากฏขึ้น สายธารแห่งแสงจำนวนนับไม่ถ้วน! เต็มไปด้วยแสงที่ไหลไปและเปี่ยมไปด้วยสีสัน งดงามจนเกินกว่าจะบรรยายได้!

ท้องฟ้ายามราตรีสว่างขึ้นและแผ่นดินก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเวลากลางวันอีกครั้งหนึ่ง จากวังหลวงถึงสำนักเทียนเต้า จากวังหลวงถึงพระราชวังหลี ค่ายกลป้องกันจากอาคารจำนวนนับไม่ถ้วนถูกเปิดใช้เนื่องจากไอปราณที่ทะลักทะล้นออกมาจากท้องฟ้า ม่านแสงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนท้องถนนแทบจะในเวลาเดียวกัน

ภาพนี้งดงามจนเกินไปอย่างแท้จริง งดงามจนน่ากลัวไม่อาจที่จะจ้องมองโดยตรงได้ อันที่จริงแล้วน้อยคนนักที่จะมองเห็นภาพนี้ได้

เสาหินรอบพระราชวังหลี่แผ่ไอพลังปราณที่เก่าแก่โบราณออกมา ในโถงตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวังหลี ใต้เท้าสังฆราชจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามราตรีผ่านช่องหลังคาที่เปิดไว้ ครั้นมองเห็นกระบี่เพลิงที่ร้อนแรงกับหงส์ดำที่ไม่ได้เห็นมานานหลายปี เขาก็หายใจออกยาวๆ เป็นการถอนหายใจที่ยากจะเข้าใจความหมายได้

ต้นไม้ในสุสานเทียนซูแผ่ไอพลังปราณของมันออกมา เก่าแก่โบราณยิ่งกว่าที่แผ่ออกมาจากเสาหิน ขุนพลเทพชราใต้ศาลาที่ปลายถนนเสินเงยหน้าขึ้นช้าๆ ฝุ่นผงแห่งประวัติศาสตร์บนเสื้อเกราะแตกกระจายช้าๆ แม้แต่หัวใจที่สงบนิ่งและเส้นทางอันเปลี่ยวเหงาของเขาก็ยังถูกการต่อสู้ในคืนนี้สั่นสะท้านไปทั้งหัวใจและวิญญาณ

หลังจากผ่านไประยะเวลาหนึ่ง สายธารแห่งแสงบนท้องฟ้ายามราตรีก็ค่อยๆ จางหายไป

การปะทะอย่างรุนแรงของไอพลังปราณบนท้องฟ้าค่อยๆ หายไป เมฆหิมะก็รวมตัวกันทีละน้อย บดบังแสงดาวบนท้องฟ้าอีกครั้ง

นครจิงตูกลับสู่ราตรีอันมืดมิดอีกครั้งหนึ่งและแผ่นดินก็กลับคืนสู่ความสงบ

คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างในบ้านของตน คนที่ยืนอยู่ในซากปรักหักพัง คนที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำลั่ว กำลังขยี้ตามองดูท้องฟ้ายามราตรีอีกครั้งหนึ่ง

ไม่มีอะไรบนท้องฟ้ายามราตรี ไม่มีกระบี่เพลิงใหญ่ยักษ์ ไม่มีหงส์ดำ ปรากฏการณ์ทั้งหมดหายไปแล้ว ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ภาพอันงดงามอันดูราวกับเป็นเพียงแค่ฝันไป

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งหนึ่ง ลอยละล่องไปตามสายลม

เฉินฉางเซิงแบมือ นำเอาเกล็ดหิมะออกมา และได้รับรู้ว่ามันไม่ได้มีสีขาวบริสุทธิ์ หากแต่เป็นสีเทา

ผู้คนในนครจิงตูต่างก็ได้รับรู้ว่าหิมะที่ตกลงมานั้นอันที่จริงแล้วล้วนแต่มีสีเทา

เพราะกระบี่ที่ตกลงมาจากท้องฟ้ายามราตรีเหนือนครจิงตูนั้นมีต้นกำเนิดมาจากขี้เถ้าของจดหมายที่ถูกเผา

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองปิ่นหงส์ไม้ดำในมือขวาอย่างเงียบงัน ไม่อาจทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

สายลมพัดผ่านแท่นกานลู่นำหิมะขี้เถ้าที่ติดอยู่บนปิ่นไปด้วย เผยให้เป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของปิ่นอีกครั้ง

หัวหงส์สีแดงเข้มบนปิ่นไม้ยังคงงดงามสูงส่งเหมือนเช่นเคย แต่หากสังเกตดูให้ดีจะพบเห็นรอยกระบี่จางๆ รอยหนึ่ง

ปิ่นหงส์ไม้ดำนี้เคยมีรอยดาบจางๆ อยู่ ในตอนนี้ก็มีรอยกระบี่เพิ่มมาอีกรอยหนึ่ง แต่ก็ยากจะสังเกตเห็นได้

มีแต่นางที่รู้ว่านี่แสดงว่าซูหลีได้เข้าใกล้ระดับเดียวกับคนที่ทิ้งรอยดาบเอาไว้บนปิ่นไม้ของนางเมื่อหลายปีก่อน

การต่อสู้คืนนี้นั้นเสมอกัน

เจตจำนงกระบี่ที่ซูหลีทิ้งไว้นั้นสามารถที่จะทนรับปิ่นหงส์ไม้ดำของนางได้ นี่ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้าง

ไม่นานหลังจากนั้น ริมฝีปากนางก็โค้งเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

“เจ้าไม่ต้องการจะไป แต่ถูกบังคับให้ไป พวกที่ถูกความรักเหนี่ยวรั้งต่างก็เป็นคนอ่อนแอ เจ้ามีวิธีแห่งกระบี่สูงส่งก็ช่างปะไร”

นางพลันสัมผัสได้ถึงบางอย่างและหันไปทางใต้ยังส่วนหนึ่งของตัวเมือง นางเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างเย็นชา “ยังกล้าอยู่ต่อ ช่างไม่กลัวตายเสียจริง!”

……

……

มีคนมากมายไม่ต้องการจะจากไป อย่างเช่นนักพรตหญิงชรา

นางมายังสำนักฝึกหลวงเพื่อแสดงพลังของนางและสังหารผู้คน แต่กลับจบลงด้วยการถูกเจตจำนงกระบี่ของซูหลีขับไล่ อาศัยความมืดมิดหนีไปอย่างเหนื่อยล้าและเจ็บปวด

ด้วยฐานะหนึ่งในแปดมรสุม นางจะยอมถอยง่ายๆ ได้อย่างไรกัน

ดังนั้นนางจึงไม่ได้จากไปจริงๆ แต่อาศัยค่ายกลป้องกันของตระกูลชั้นสูงทางตอนใต้ของเมืองช่วยปกปิดไอพลังปราณของนางไว้

จากนั้น นางก็เห็นการต่อสู้บนท้องฟ้ายามราตรี ขณะนางยืนอยู่ในสวนอันเงียบงัน มองดูสายธารแห่งแสงค่อยๆ จางหายไป พลางคิดถึงกระบี่เพลิงใหญ่ยักษ์และหงส์ดำ นักพรตหญิงชราก็มีสีหน้าน่าเกลียดผิดปกติ เทียนไห่มีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกนักปราชญ์ต่างก็ปกปิดพลังที่แท้จริงของตนและอันที่จริงแล้วแข็งแกร่งกว่าพวกนางไปอีกระดับหนึ่ง แล้วซูหลีมาถึงระดับนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน

หลังจากมองดูการต่อสู้นี้แล้ว นางก็ต้องยอมรับว่ามีช่องว่างใหญ่มหึมาระหว่างนางกับคนอย่างเทียนไห่หรือซูหลี และมีความเป็นไปได้สูงมากว่านางไม่อาจจะไปถึงระดับนั้นได้ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นนางก็รู้สึกโกรธยิ่งกว่าเดิม โกรธจนอยากจะฆ่าใครสักคน

นางไม่ได้ไปจากนครจิงตูก็เพราะว่านางอยากจะฆ่าใครสักคน เจตจำนงกระบี่ของซูหลีได้ถูกปิ่นหงส์ไม้ดำทำลายไปแล้ว และนางเชื่อว่าไม่มีใครคาดคิดว่า ด้วยฐานะและการบำเพ็ญเพียรของนาง นางจะหน้าด้านกลับไปสำนักฝึกหลวงเพื่อฆ่าคนอีก แล้วจะมีใครมาขวางทางนาง

จิตสังหารที่เต็มไปด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้นฉายขึ้นในดวงตานาง คลื่นสีเขียวครามจำนวนนับไม่ถ้วนพลุ่งพล่านอยู่ภายใน

นางคว้าแส้ปัดที่แทบจะขาดหมดแล้ว เริ่มเดินไปยังสำนักฝึกหลวงด้วยใบหน้าเปี่ยมจิตสังหาร

แต่เมื่อนางยกเท้าขึ้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูของนาง “ข้าเชื่อมาเสมอว่าโชคชะตานั้นค่อนข้างไร้เหตุผล และข้าก็ได้เห็นหลักฐานที่ชัดเจนจากตัวเจ้า คนที่ชั่วช้าสามานย์เช่นเจ้าได้รับความเมตตาจากท้องฟ้าพร่างดาวให้เข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน”

เสียงนี้ช่างยิ่งใหญ่และเย็นเยียบ

ในเวลาเดียวกันสายตาที่ยิ่งใหญ่และเย็นเยียบก็มองลงมาจากที่ซึ่งอยู่สูงขึ้นไป จับจ้องร่างนักพรตหญิงชรา

……