ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 55 สะท้านสะเทือน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 55 สะท้านสะเทือน Ink Stone_Fantasy

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับจบแล้ว ก็พาบ่าวรับใช้มังกรมารเดินมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา

“ยังไม่รีบเปิดประตูอีก!” โหวชวีหมิงตะคอกเสียงดัง

โครมมมมม…ประตูบานใหญ่สูงตระหง่านทั้งสองฝั่งเปิดออกเสียงดังโครมคราม อันที่จริงยอดฝีมือภายใน ‘ตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา’ แห่งนครหลวงรัฐประกายเพลิงล้วนเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกกันเต็มตา เพียงแต่พวกเขาก็ถูกการที่ ‘อ๋องชางซู’ ยอดฝีมือระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้าคนนี้และผู้ใต้บังคับบัญชาทำเอาขวัญผวาไปหมด อ๋องชางซูนั้นเป็นผู้ฝึกร่างกระบี่สวรรค์ไร้ทลายจนครบสมบูรณ์ถึงชั้นที่สิบ แม้เทพจักรวาลจะสังหาร ก็เกรงว่าคงต้องทุ่มเทความคิดจิตใจเป็นอันมาก

กระบวนท่าเดียวหรือ

ในพริบตาเดียวก็กลายเป็นภาพวาดแผ่นหนึ่งไปแล้วหรือ

ประตูบานใหญ่เปิดออกเสียงดังโครมคราม ยอดฝีมือตำหนักทิพย์เมฆทักษิณากลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูอย่างพร้อมเพรียง นำโดยยอดฝีมือขั้นอลวนสองคน ผู้คนหลายร้อยคนทำความเคารพอยู่ตรงนั้นโดยพร้อมเพรียงกัน “ศิษย์พี่เสวี่ยอิง!”

ตามกฎของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์

เมื่อศิษย์นอกสำนักทั้งหมดพบหน้าศิษย์ภายใต้สำนัก ก็ต้องเรียกว่าศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิงทั้งสิ้น ส่วนศิษย์ภายใต้สำนัก เมื่อพบหน้าศิษย์ถ่ายทอดเอง…ก็ต่ำกว่าระดับหนึ่ง จึงต้องเรียกว่าศิษย์พี่หรือศิษย์พี่หญิงเช่นเดียวกัน

“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้ารับคำเสียงหนึ่ง จากนั้นก็พาบ่าวรับใช้เดินเข้าไป

“พี่ฉุนฉี ยังไม่รีบเตรียมที่พำนักให้พี่เสวี่ยอิงอีกหรือ” โหวชวีหมิงร้องบอก

“ขอรับๆ”

บุรุษขั้นอลวนผิวดำเมี่ยมท่าทางเยียบเย็นคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำกล่าวว่า “ศิษย์พี่เสวี่ยอิง เชิญตามข้ามา”

ศิษย์ทั้งหมดในที่นั้น หรือแม้กระทั่งผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งกำลังจับตามองที่นี่อยู่ไกลออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ล้อมวงดูธรรมดา หรือว่ายอดฝีมือตระกูลกษัตริย์รัฐประกายเพลิงซึ่งชมดูสองสำนักใหญ่ต่อสู้กันด้วยเจตนาอื่น หรือบรรดามารร้ายผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลสาบมารทมิฬ ขณะที่มองเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งถูกศิษย์สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ห้อมล้อมผู้นั้น ก็รู้สึกหนาวเหน็บจากก้นบึ้งของหัวใจ

“อิงซานเสวี่ยอิงตัวดีเอ๋ย ไม่เสียทีที่สำเร็จเป็นขั้นอลวนชั้นที่สิบในพันห้าร้อยล้านปี เป็นยอดฝีมือที่ใช้กำลังต่อสู้กับประมุขมารเมฆาขาว คารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณามานานปีถึงเพียงนี้ก็ยิ่งน่าหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก” มารเฒ่าขั้นอลวนคนหนึ่งกำลังร่ำสุราดื่มกินเพียงลำพังอยู่ในหอสุราซึ่งห่างจากที่นี่ไปหลายล้านลี้จับตามองอยู่โดยตลอด

เขารู้ว่าหากลัทธิกระบี่สวรรค์บีบบังคับ สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์จะต้องมีการตอบโต้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงมาดู เมื่อเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกาย เขาก็แค่ตกตะลึงเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นว่า ‘งามดั่งภาพวาด’ เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้อ๋องชางซูและยอดฝีมือคนอื่นๆ กลายเป็นภาพวาดหนึ่งไป ทั้งยังแขวนไว้บนผนังอีก เขาก็ขวัญผวาไปหมด

“งามดั่งภาพวาด เป็นหนึ่งในสองเคล็ดสืบทอดลับของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า ซึ่งเป็นกระบวนท่าขั้นอลวนชั้นที่สิบ แต่ว่ากดดันอ๋องชางซูเอาไว้มิได้เลย” มารเฒ่าขั้นอลวนผู้นี้หนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ “ไร้สุ้มไร้เสียง แม้แต่ข้าก็ยังมองไม่ออก อ๋องชางซูก็จบเห่แล้วหรือนี่ น่ากลัวๆ น่ากลัวยิ่งกว่าตอนบูชาโลหิตเสียอีก”

……

“อิงซานเสวี่ยอิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่” ยอดฝีมือตระกูลกษัตริย์รัฐประกายเพลิงเห็นแล้วก็รู้สึกหนาวเหน็บ แม้รัฐประกายเพลิงจะวุ่นวายที่สุดในสี่รัฐมารทมิฬ แต่เนื่องจากเข่นฆ่ากันวุ่นวายไปหมดนั่นเอง จึงทำให้ผู้แกร่งกล้าที่รุ่งโรจน์ขึ้นที่นี่บ้าคลั่งมากขึ้น คนใดบ้างที่มิได้รุ่งโรจน์ขึ้นท่ามกลางการเข่นฆ่ากันเล่า

หากลัทธิกระบี่สวรรค์และสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบสำนักใหญ่จะสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องชมดูความวุ่นวายอย่างสนุกสนาน

เพียงแต่อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้ก็โหดเหี้ยมเกินไปแล้วกระมัง

กระบวนท่าดูเหมือนจะแผ่วดุจลมโชยเบาดุจเมฆอันผ่อนคลาย…แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เหล่าผู้แกร่งกล้าที่ลอบชมดูอยู่เหล่านี้ขวัญหนีดีฝ่อไปหมด

……

“แขวนไว้ให้เห็นชัดๆ หน่อย ถูกต้องๆ ตรงนี้แหละ” เพื่อจะแขวนภาพนี้ โหวชวีหมิงก็ต้องดิ้นรนยกหนึ่ง เรื่องราวที่ง่ายดายเช่นนี้ แต่เขากลับจงใจดิ้นรน ถึงขั้นตั้งใจประดับประดาให้บนกรอบรูปมีค่ายกลอันเรียบง่ายหมุนเวียนอยู่ ทำให้ภาพนี้เปล่งแสงออกมาตลอดเวลา โดดเด่นสะดุดตาเป็นอันมาก

“พวกเจ้าสองคนรักษาการอยู่ที่นี่ คอยเฝ้าให้ดีล่ะ” โหวชวีหมิงจัดผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนคอยดูแล

อันที่จริงเหนือผิวผนังด้านนอกของตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาก็มีค่ายกลปกคลุมอยู่แล้ว จึงสามารถปกป้องภาพนี้ไว้ได้โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเลย โหวชวีหมิงทำเช่นนี้ เท่ากับตบหน้า ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ เลยทีเดียว

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายโหดร้ายยิ่งนัก

ในที่แจ้งพวกเขากล้าขวางประตู และทำให้ศิษย์นอกสำนักของอีกฝ่ายถึงแก่ชีวิต ในที่ลับก็ยิ่งอำมหิตขึ้นไปอีก! เพราะถึงอย่างไรสำหรับ ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ และ ‘ประมุขรัฐกระบี่สวรรค์’ ผู้สูงส่งเหนือใครแล้ว สำนักใหญ่ทั้งสองนั้นสามารถหาแก้วผลึกจักรวาลจำนวนมหาศาลให้แก่พวกเขาได้ แก้วผลึกจักรวาลก็หมายถึงทรัพยากร จึงย่อมมิอาจถอยได้

“โอ้”

“กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งไปแล้ว”

“จริงหรือ นั่นมันยอดฝีมือขั้นอลวนเชียวนะ”

หลังจากโหวชวีหมิงแขวนภาพเอาไว้และกลับมายังตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแล้ว ผู้ที่ชมดูอยู่โดยรอบจำนวนมากก็พากันเร่งตรงเข้ามา ผู้แกร่งกล้าหลายคนถึงกับเคลื่อนที่ในพริบตามาเพื่อชมภาพนั้นด้วยความตกตะลึง

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย

เมื่อข่าวแพร่ออกไป บรรดาลูกหลานของอ๋องและโหวต่างๆ ของรัฐประกายเพลิงต่างพากันโดยสารเกี้ยวมาจากทั่วสารทิศ พวกเขาต่างมองดูอยู่ห่างๆ พลางชมเชยไม่ขาดปาก เพราะ ‘อ๋องชางซู’ ก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่มากในลัทธิกระบี่สวรรค์ เพื่อเผยแพร่ลัทธิกระบี่สวรรค์ เขาก็ได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกาย บุคคลที่เก่งกาจพรรค์นี้กลับกลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ตรงนั้นเสียแล้วหรือ

“เป็นอิงซานเสวี่ยอิงผู้นั้นน่ะรึ”

“เคล็ดสืบทอดลับ‘งามดั่งภาพวาด’ ของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามิได้ร้ายกาจถึงเพียงนี้กระมัง สามารถกำจัดอ๋องชางซูได้อย่างง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ”

ทุกแห่งหนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา

แม้แต่ในสถานเริงรมย์ บรรดาลูกหลานของอ๋องโหวเหล่านั้นก็ยังวิจารณ์กัน พวกเขาล้วนมีภูมิหลังใหญ่โต โดยทั่วไปก็ล้วนรู้จักตำนานเคล็ดสืบทอดลับสองกระบวนท่า ‘ทลายเวหา’ และ ‘งามดั่งภาพวาด’ กันทั้งนั้น แต่ละคนพากันคุยโว อันที่จริงพลังของพวกเขาหลายคนก็เป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น บางคนเป็นเพียงเทพอากาศเสียด้วยซ้ำไป

ยิ่งเป็นผู้ที่มีพลังต่ำต้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งชมชอบการคุยโวโอ้อวดและสนทนาถึงสิ่งมีชีวิตในตำนานมากขึ้นเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่า สำหรับพวกเขาแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงคือยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานในตำนาน

******

ห่างจากตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาออกไปกว่าร้อยล้านลี้

เงาร่างสองสายยืนอยู่กลางอากาศ พลางทอดสายตามองไปทางตำหนักทิพย์เมฆทักษิณา บนใบหน้าของบุรุษอาภรณ์สีม่วงท่าทางเย็นชาคนหนึ่งรางกับมีน้ำแข็งชั้นหนึ่งฉาบไว้ สตรีผมแดงรูปร่างเย้ายวนคนหนึ่งข้างกายเขาพูดเสียงต่ำว่า “นายท่าน”

“เจ้าอิงซานเสวี่ยอิงตัวดี” นัยน์ตาของบุรุษอาภรณ์สีม่วงฉายแววหนาวเหน็บ “บรรพชนฝานในตำนานก็ยังต้องรับเขาเป็นศิษย์ กลเม็ดใช้ได้ทีเดียว”

เขา ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉา คือผู้ดำเนินการโจมตีเข้าสู่สี่รัฐมารทมิฬของลัทธิกระบี่สวรรค์

เขาเป็นเพียงศิษย์ภายใต้สำนักคนหนึ่งของลัทธิกระบี่สวรรค์เท่านั้น แต่สถานะกลับสูงส่งกว่าศิษย์ถ่ายทอดเองเสียอีก เพราะเขาคือหนึ่งในสอง ‘ผู้พิทักษ์วิถี’ ของลัทธิกระบี่สวรรค์ ท่านอาจารย์ของเขาก็ยิ่งลึกลับเข้าไปใหญ่ แม้จะมิได้เปิดเผย แต่สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ก็พอจะคาดการณ์และล่วงรู้ได้ว่าอาจารย์ของ ‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉาแห่งรัฐกระบี่สวรรค์ผู้นี้น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นคนหนึ่งของรัฐโบราณสหโลกา

“นายท่าน พวกเราทำเช่นใดกันดีเจ้าคะ” สตรีรูปร่างเย้ายวนด้านข้างพูดเสียงต่ำ “ต้องเชิญทูตพิเศษทั้งสองมาช่วยเหลือหรือไม่”

การยกทัพบุกสี่รัฐมารทมิฬในครั้งนี้ มีความสำคัญต่อลัทธิกระบี่สวรรค์เป็นอย่างมาก

ดังนั้นรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุต่างก็ส่งยอดฝีมือขั้นสุดยอดคนหนึ่งมาลอบช่วยเหลือ เพราะถึงอย่างไรรัฐโบราณทั้งสองนี้ก็ได้รับผลประโยชน์จาก ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ เป็นจำนวนมหาศาลมาอย่างยาวนาน ในคราวคับขันก็ต้องออกแรงบ้าง

“พวกเขาสองคนหรือ อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้แค่พลิกมือคราเดียวก็สังหารอ๋องชางซูได้แล้ว ข้ามองไม่ออกเลยว่าเขาใช้ลูกไม้อันใดกันแน่” บุรุษอาภรณ์สีม่วงยิ้มเย็น “ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอิงซานเสวี่ยอิง รัฐโบราณทั้งสองไม่มีทางทุ่มเทแรงเป็นแน่”

แม้จะพึ่งพิงรัฐโบราณทั้งสอง

แต่ยอดฝีมือลัทธิกระบี่สวรรค์ก็ยังมองรัฐโบราณทั้งสองในแง่ร้ายอยู่บ้าง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เผยแพร่ลัทธิอย่างเอาเป็นเอาตาย แก้วผลึกจักรวาลจำนวนมากที่หามาได้กลับถูกรัฐโบราณทั้งสองเอาไป แม้จะมาอวดดีต่อหน้าตน ก็ยังต้องอดทนเอาไว้! แล้วจะไม่อดสู ไม่มองในแง่ร้ายได้หรือ แต่ช่วยไม่ได้…พวกเขาไหนเลยจะไปยั่วยุรัฐโบราณทั้งสองได้กันเล่า

“ประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากลงมือขึ้นมาก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ต่อไปต้องทุ่มเทกำลังให้มากหน่อยแล้ว” บุรุษอาภรณ์สีม่วงโม่เฉาขมวดคิ้ว

เขากลับไม่รู้

ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่รู้ว่าศิษย์ของเขาจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ เมื่อข่าวเรื่องสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐประกายเพลิงแพร่สะพัดกลับไป ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ถึงขั้นตกตะลึงไปเสียด้วยซ้ำ

……

ณ สถานที่สงบจิตบำเพ็ญในนครหลวงรัฐเมฆทักษิณา

“เจ้าหนุ่มเสวี่ยอิงคนนี้ มีพลังร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตะลึงพรึงเพริด ข้างกายเขายังมีคนชุดดำยืนอยู่สามคน หนึ่งในคนชุดดำพูดเสียงต่ำว่า “ท่านประมุขรัฐ พวกเราสามคนยังต้องออกเดินทางหรือไม่ขอรับ”

“ครั้งนี้ลัทธิกระบี่สวรรค์มาด้วยท่าทียิ่งใหญ่ รับมือไม่ได้ง่ายๆ เดิมทีข้าแค่คิดจะอาศัยโอกาสนี้เคี่ยวกรำเสวี่ยอิงสักหน่อยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าข้าประเมินศิษย์คนนี้ต่ำเกินไปแล้ว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาพูดยิ้มๆ “ตอนนี้เขาทำได้ดีมากในรัฐประกายเพลิง เช่นนั้นก็ให้เขาทำต่อไปก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าสามคน…ไปพักผ่อนก่อนเถิด รอให้เรื่องวุ่นวายเสียก่อน พวกเจาสามคนค่อยออกเดินทาง ถอยออกไปเถิด”

“ขอรับ” คนชุดดำทั้งสามคนขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นเมื่อไอหมอกสลายหายไป พวกเขาสามคนก็อันตรธานไปแล้ว

นัยน์ตาลึกล้ำของประมุขรัฐเมฆทักษิณาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เขามั่งคั่งถึงเพียงนี้ พละกำลังที่มีอยู่ในมือก็มิได้มีเพียงแค่เท่าที่สำแดงออกมาภายนอกเท่านั้น รัฐโบราณทั้งหกคิดจะ แย่งชิงผลประโยชน์จากเขา หลายปีมานี้เขาก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ก็ย่อมมีหลักประกันที่ทำให้เขามั่นอกมั่นใจ

 ………………………………….