ภาคที่ 33 กลับชาติมาเกิด ตอนที่ 56 เคล็ดผนึกห้าภาพ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 56 เคล็ดผนึกห้าภาพ Ink Stone_Fantasy

ประมุขรัฐเมฆทักษิณานั่งอยู่ตรงนั้น แต่สายตากลับมองทะลุผ่านอุปสรรคในอากาศอันไร้ที่สิ้นสุด แล้วหยุดลงที่นอกตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแห่งรัฐประกายเพลิง

ทันใดนั้นนับน์ตาทั้งคู่ของเขาก็มีภาพแล้วภาพเล่าวาบผ่านไป ในจำนวนนั้นก็มีภาพที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือจัดการอ๋องชางซูอยู่ด้วย อันที่จริงเดิมทีพลังของตงป๋อเสวี่ยอิงก็ส่งผลกระทบต่อกาลมิติอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากวิญญาณของเขาดูดซับกลิ่นอายโลกาอันเร้นลับระดับที่สูงขึ้นนอกดินแดนจิตโลกา วิญญาณเกิดการวิวัฒน์ไป แม้จะมีศาสตร์การสะกดรอยมากมาย ก็มิอาจตามรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้

ดังเช่นตอนนั้นร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยซ่อนตัวอยู่ จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็หาไม่พบ วิธีการ ‘เจ้าศิลา’ นั้นออกจะพิเศษอยู่บ้าง จึงสามารถหาร่างแยกของจ้าวภูเขาฉื้อเหมยพบได้

ด้วยพลังของประมุขรัฐเมฆทักษิณา ก็มิอาจตามรอย ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ ได้

ทว่าศึกครั้งนั้น เขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าอยู่ที่ใด! จึงได้จับตามองตรงนั้นอยู่ก่อน และตรวจสอบดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าทั้งหมดก็ใช้ได้แล้ว

“น่าแปลกนัก”

“ที่แท้แล้วใช้วิธีการอันใด จึงสามารถจัดการอ๋องชางซูได้อย่างไร้ร่องรอยโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาลอบพึมพำ หากเป็นวิธีการต่อสู้อื่นๆ ก็มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตมาก แต่เขตลวงพุ่งเป้าไปที่วิญญาณ โดยไม่มีความเคลื่อนไหวใดแม้แต่น้อย

“เป็นวิธีการจำพวกวิญญาณรึ หรือว่ามีสมบัติลับวิเศษอันใดกันแน่” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาคาดเดา จากนั้นก็ยิ้มออกมา

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

ยิ่งศิษย์ร้ายกาจเพียงใด ก็ยิ่งเป็นเรื่องดีมากขึ้นเท่านั้น ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่ง ก็มักมีความลับของตนเองอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ไม่อยากจะตามขุดค้นต่อไป

“ลัทธิกระบี่สวรรค์มีทรัพยากรน้อยกว่าสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ของเราอยู่บ้าง แต่เมื่อมีสองรัฐโบราณลอบช่วยเหลือ ในการประมือหลายครั้ง สำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์เราจึงค่อนข้างเสียเปรียบ ศิษย์ของข้าคนนี้ร้ายกาจกว่าที่ข้าคาดไว้มากทีเดียว” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตั้งตารอคอย การที่สองรัฐโบราณลอบส่งยอดฝีมือไปช่วยเหลือลัทธิกระบี่สวรรค์นั้น เป็นเรื่องที่ ‘มิอาจทำในที่แจ้ง’ ได้ ต่อให้ยอดฝีมือเร้นลับของรัฐโบราณสหโลกาปรากฏกายอย่างเปิดเผยและโจมตีตงป๋อเสวี่ยอิงจนพ่ายแพ้ จะอธิบายว่าอย่างไรได้เล่า

ยอดฝีมือเร้นลับมิใช่คนของลัทธิกระบี่สวรรค์

ชนะแล้วก็มิได้หมายความว่า ศาสตร์ลับของ ‘ลัทธิกระบี่สวรรค์’ ร้ายกาจกว่า!

ดังนั้นเมื่อคนของสองลัทธิต่อกรกัน จึงจะสามารถพิสูจน์ความแข็งแกร่งและอ่อนแอของทั้งสองลัทธิได้มากกว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นศิษย์ถ่ายทอดเองของประมุขรัฐเมฆทักษิณา! การคว้าชัยของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเอาชนะได้ด้วยวิธีการทางด้านอากาศ ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ทำให้ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนเชื่อว่า “อิงซานเสวี่ยอิงคารวะเข้าอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ ก็มีกลเม็ดร้ายกาจเช่นนี้ ข้าจะคารวะเข้าอยู่ในสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ต้องไม่พลาดแน่ ได้ศึกษาสักเศษเสี้ยวหนึ่งก็เพียงพอแล้ว”

ยิ่งในสำนักหนึ่งมีผู้มีพรสวรรค์และผู้แกร่งกล้ามากเท่าไหร่ ก็ย่อมมีแรงดึงดูดมากขึ้นเท่านั้น

******

ภายในตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแห่งรัฐประกายเพลิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงสลัดผู้ติดตามออกไปหมดแล้ว และบำเพ็ญอยู่เพียงลำพัง

“ฟิ้วๆๆ”

กลางโถงตำหนักที่ปิดผนึกอย่างสิ้นเชิงกลับมีลมพัดหวีดหวิว ชายหนุ่มอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่ง เหนือร่างของเขามีลำแสงสามสายพาดข้ามท้องฟ้ามา ลำแสงสายหนึ่งเป็นความสับสนอลหม่านดำมืดอันหนักแน่นหาใดเปรียบ กลางอากาศราวกับแข็งค้างอยู่ ส่วนลำแสงอีกสายหนึ่งกลับบางเบา คล้ายจะมีแต่ก็คล้ายไม่มี ลำแสงสายสุดท้ายคือกระแสคลื่นอากาศที่โหมซัดอย่างรุนแรง

บัดนี้เสียงลมพัดรอบด้านกลับมีลำแสงสี่สายรวมตัวกัน

ดุจเส้นไหมดุจสายหมอก…

รวมตัวกันก็เป็นเส้นไหม แยกจากกันกลับกลายเป็นหมอก

สิ่งที่รวมกันและสลายไปนี้ก็คืออากาศ อากาศถูกกดันโดยตรงจนกลายเป็นเส้นสาย หรือเมื่อแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิงราวกับแตกสลายก็มิได้สลายไปจริงๆ

“กระบวนท่านี้มักจะบกพร่องเล็กน้อยอยู่เรื่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่ตรงนั้นพลางหน้านิ่วคิ้วขมวด ลำแสงสี่สายที่พยายามรวมตัวกันอยู่กลางอากาศสลายหายไปทันที

“สวบ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่เคลื่อนไหวแล้ว

จู่ๆ เขาก็เคลื่อนที่มาอยู่กลางอากาศ เพียงแต่ร่างกายของเขากลับแบนราบไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่ง ทั้งร่างของเขานั่งขัดสมาธิอยู่ในภาพแผ่นนี้ จากนั้นภาพนี้ก็สลายหายไปราวกับไอหมอก ร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่พลันกะพริบวาบคราหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นร่างหลายร้อยร่างนั่งขัดสมาธิอยู่แน่นขนัดไปหมด

“ห้าภาพ ห้าภาพ ‘ภาพหมอก’ นี้มักจะบกพร่องเล็กน้อยอยู่เสมอ…” ตงป๋อเสวี่ยอิงหลายร้อยคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ต่างก็พึมพำเสียงเบา

“ใช่แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหลายร้อยร่างนัยน์ตาเป็นประกายพร้อมกัน ความรู้สึกในครั้งนี้สมบูรณ์แบบเป็นอันมาก เขามั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อเขากำหนดจิตคราหนึ่ง ด้านบนก็มีลำแสงสี่สายปรากฏขึ้นอีกครั้ง ลำแสงสี่สายนี้ช่างดุจเส้นไหมดุจสายหมอกโดยแท้ ทั้งสองสับเปลี่ยนกันอย่างเป็นธรรมชาติ สถานะอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างเป็นธรรมชาติราวกับสายน้ำก็มิปาน หากใช้มันพันธนาการผู้คน ขณะที่เหมือนเส้นไหมนั้นก็เกรงว่าคงจะสามารถตัดเฉือนศัตรูได้ในพริบตา ขณะที่เหมือนหมอกก็สามารถปกคลุมและรัดรึงศัตรูเอาไว้ได้เช่นเดียวกัน

“ฮ่าฮ่าฮ่า วันแรกที่มายังรัฐประกายเพลิง ภาพหมอกก็สำเร็จแล้ว รัฐประกายเพลิงนี่เป็นสถานที่มงคลของข้าจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดหัวเราะเสียงดังมิได้

ทางสายอากาศ

ก่อนหน้าจะคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์ เขาก็ก็ค้นคว้าทั้งสองทิศทางคือวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าและหอกเทพเมฆาแดงอยู่แล้ว ซึ่งทั้งสองทิศทางนี้แทบจะบรรลุถึงขีดสุดขั้นอลวนอยู่แล้ว จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาล เขาก็ย่อมต้องค้นคว้าทิศทางที่แตกต่างกันของอากาศต่อไป เมื่อค้นคว้ามากเข้าแล้วผสานเข้าด้วยกัน ความหวังที่จะสำเร็จเป็นเทพจักรวาลก็จะเพิ่มขึ้นมาก

ดังนั้นหลังจากคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์ได้ไม่นานเท่าใดนัก เขาก็ฝึกฝนศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกาจนสำเร็จทั้งหมด แล้วเลือกศาสตร์ลับจำพวกอากาศอีกวิชาหนึ่งจากสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ในทันที…เคล็ดผนึกห้าภาพนั่นเอง

เคล็ดผนึกห้าภาพ

คือศาสตร์ลับอากาศที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ครอบครองเอาไว้!

ใช่แล้ว

แข็งแกร่งที่สุด!

แม้ตามการแลกเปลี่ยนด้วยคุณูปการจะยังมีวิถีตรีภพ ศาสตร์ร่างแยกและศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาที่เหนือกว่ามันก็ตามที

ทว่าวิถีตรีภพนั้นเป็นศาสตร์ลับจำพวกกาลมิติ ศาสตร์ร่างแยกก็เป็นเพียงวิธีการรักษาชีวิต เนื่องจากหาได้ยากและการรักษาชีวิตนั้นสำคัญมากจึงสูงค่า ส่วนศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกานั้นเป็นวิธีการท่องอากาศอันล้ำเลิศชนิดหนึ่ง อาศัยวิชานี้สามารถออกจากโลกกำเนิดแห่งหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปยังโลกกำเนิดอันไกลโพ้นอีกแห่งหนึ่งได้! แต่มันบำเพ็ญได้ยากมาก จะต้องสำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางสายอากาศ ทั้งยังต้องบรรลุถึงเทพจักรวาลระดับที่สองเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์บำเพ็ญได้ นอกจากนี้ ความเป็นไปได้ที่จะบำเพ็ญได้สำเร็จก็มีไม่มากนัก ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะได้บำเพ็ญเสียด้วยซ้ำ

ไม่เหมือนกับการรักษาชีวิตและการท่องอากาศ

เคล็ดผนึกห้าภาพนั้นเป็นศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ซึ่งหน้า! ทั้งยังเป็นศาสตร์ลับการต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งอีกด้วย

เคล็ดผนึกห้าภาพ!

ภายในมีเส้นทางของอากาศที่แตกต่างกันถึงห้าสาย และถูกเรียกว่าเป็น‘ห้าภาพ’

ได้แก่ ‘ภาพฟ้า’ ‘ภาพดิน’ ‘ภาพปะทุ’ ‘ภาพหมอก’‘ภาพแก่น’ เป็นสถานะที่แตกต่างกันของอากาศ เป็นเส้นทางที่แตกต่างกัน หากฝึกเข้าที่แล้วก็จะกลายเป็นขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า

ห้าภาพนั้น หากมีภาพใดภาพหนึ่งสำเร็จสักเล็กน้อย ก็จะเป็นขั้นอลวนชั้นที่เก้าแล้ว

หากฝึกสำเร็จทั้งห้าภาพ!

สามารถส่งเสริมกันและกันได้…‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ คนผู้หนึ่งสำแดงกระบวนท่าชั้นที่เก้าออกมาห้าวิชาพร้อมกัน กระบวนท่าทั้งห้ารวมกันเป็นหนึ่ง พลังรบก็จะปะทุออกมาอย่างดุเดือด น่ากลัวกว่าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่ามากนัก แม้แต่เคล็ดสืบทอดลับบางอย่างของประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็ยังเทียบไม่ได้เลย จึงเป็นศาสตร์ลับที่แข็งแกร่งที่สุด และฝึกฝนได้ยากที่สุดของสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์อย่างไร้ข้อกังขา!

แต่นี่ยังมิใช่ศาสตร์ที่โหดเหี้ยมที่สุด

คนผู้หนึ่งจะฝึกกระบวนท่าระดับชั้นที่เก้าสักวิชาหนึ่งให้สำเร็จก็ยากมากแล้ว เส้นทางของอากาศที่แตกต่างกันห้าสาย แต่ละสายล้วนต้องฝึกให้สำเร็จระดับชั้นที่เก้า เกรงว่าความยากก็คงจะน่ากลัวมาก! ทันทีที่ฝึกสำเร็จ ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็จะมอบสมบัติลับล้ำค่าอย่าง ‘ไข่มุกห้าภาพ’ ให้ทันที! เมื่ออาศัยไข่มุกห้าภาพ ‘ระดับชั้นที่เก้า’ ทั้งห้าก็ล้วนสามารถสำแดงอานุภาพระดับชั้นที่สิบออกมาได้

กระบวนท่าระดับชั้นที่สิบ กระบวนท่าทั้งห้าชนิดยังสามารถผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อออกกระบวนท่าไป จึงจะเรียกได้ว่าน่าหวาดหวั่น ถึงตอนนั้น ‘เคล็ดผนึกห้าภาพ’ ก็สามารถปิดผนึกได้แม้แต่ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา! ผู้ที่พลังอ่อนแอก็ถูกจองจำไปจนถึงบี้ให้ตายได้อย่างง่ายดาย!

ศาสตร์ลับที่เหิมเกริมเป็นอันมาก!

และฝึกได้ยากยิ่งนัก

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นห้าเส้นทางที่มีทิศทางแตกต่างกัน อันที่จริงยิ่งเป็นศาสตร์ลับที่ไร้เทียมทานมากเท่าใด ก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น อย่างความยากในการฝึกวิถีตรีภพนั้น ก็ยังมากกว่าเคล็ดผนึกห้าภาพเสียอีก ผู้ที่ฝึกฝนศาสตร์ลับนั้นแล้วเสียสติหรือปลิดชีพตนเองก็มีให้เห็น

“นับตั้งแต่คารวะอาจารย์มาจนถึงปัจจุบัน บัดนี้เคล็ดผนึกห้าภาพของข้าก็ฝึกสำเร็จไปถึงสี่ภาพแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ เคราะห์ดีที่เขาสั่งสมทรัพยากรมาอย่างหนาแน่น ชาติก่อนก็ได้ค้นคว้าทิศทางที่แตกต่างกันของอากาศ ชาตินี้ก็ยังค้นคว้าวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่าและทางสายเมฆาแดงด้วย

“ขาดแต่ภาพสุดท้าย…ภาพแก่นเท่านั้น!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด สายตาก็มองดูอากาศตรงหน้า ในสายตาของเขา อากาศขยายตัวขึ้นอย่างไม่ขาดสาย จนท้ายที่สุดก็ถึงแก่นของอากาศ…ผนังเยื่อที่ก่อให้เกิดลูกกลมหมอกดำจำนวนนับไม่ถ้วนชั้นแล้วชั้นเล่า

“ภาพแก่น…ชาติก่อนข้าก็มองเห็นภาพแก่นของมันแล้ว ชาตินี้ยังใช้ทลายเวหาทำลายกรงของสกุลฝาน ฝึกฝนศาสตร์ร่างแยก แต่ความเข้าใจของข้าที่มีต่อมันก็ช่างตื้นเขินเกินไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

 ………………………………….