ตอนที่ 57 โรงสุราและแมลงพิษ Ink Stone_Fantasy
“ยังดีที่ข้าต้องการเพียงสำเร็จเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องสำเร็จมาก และยิ่งไม่ต้องครบสมบูรณ์ด้วย!” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ ศาสตร์ลับวิชานี้แบ่งเป็นสามระดับชั้น สำเร็จเล็กน้อย สำเร็จมาก และครบสมบูรณ์!
ตงป๋อเสวี่ยอิงทุ่มเทความคิดจิตใจไปไม่น้อยกับเคล็ดผนึกห้าภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากคิดค้นเขตลวงอากาศระดับชั้นที่เก้าขึ้นมาแล้ว ความคิดจิตใจกว่าครึ่งก็อยู่กับด้านอากาศแล้ว
เขาสั่งสมทรัพยากรมาอย่างหนาแน่น
‘ภาพฟ้า’ นั้นเป็นเส้นทางที่บรรพชนห้วงอากาศเลือกเดินในชาติก่อน ทางสาย ‘ผู้ท่องอากาศ’ นั้นเป็นลูกรักของอากาศอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่ว่าแม้ท่านอาจารย์กู่ฉีจะมิได้รู้แจ้ง ‘ศาสตร์การส่งถ่ายทลายโลกา’ แต่กลับสามารถทำการเคลื่อนย้ายขนานใหญ่เป็นระยะทางอันไกลโพ้นได้! แม้จะห่างออกไปไกลลิบหาใดเปรียบ ก็สามารถควบคุมอากาศผืนใหญ่ได้อย่างพอถูไถ การควบคุมอากาศนั้นบรรลุถึงขั้นที่เกินจริงไปมาก ภาพฟ้าก็คือการควบคุมอากาศเป็นวงกว้างเช่นนี้นั่นเอง
‘ภาพดิน’ นั้นเป็นเส้นทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันคือการกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง ทว่าตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงท่องไปใน ‘ทางเดินโลกาพิศวง’ เป็นล้านล้านปี และได้ชมดูโครงสร้างภายในทางเดินโลกาพิศวงอยู่ตลอด อากาศกลายเป็นต้นไม้โบราณแห่งห้วงอากาศต้นแล้วต้นเล่าที่จับต้องได้จริง ถึงขั้นฟักเป็นไข่ออกมา ฝูงมารผลาญทำลายตนแล้วตนเล่าถือกำเนิดขึ้นมา เขารับรู้เป็นล้านล้านปีจึงสั่งสมด้านนี้อย่างลึกซึ้งนัก จึงฝึกภาพดินสำเร็จได้ค่อนข้างรวดเร็ว
‘ภาพปะทุ’ กลับมีหลายจุดที่เหมือนกับยุทธวิธีเมฆาแดง เพราะเป็นเส้นทางเดียวกัน บัดนี้ยุทธวิธีเมฆาแดงของตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงขีดสุดขั้นอลวนแล้ว จนก้าวหน้าต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! ภาพนี้จึงย่อมสำเร็จได้เพียงรอเงื่อนไขบางอย่าง
‘ภาพหมอก’ นั้นออกจะยุ่งยากกว่าอยู่บ้าง บางส่วนนั้นคล้ายคลึงกับ ‘งามดั่งภาพวาด’ ของวิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า จึงได้ฝึกฝนมาจนทุกวันนี้
มีเพียง ‘ภาพแก่น’…เท่านั้นที่ยังฝึกไม่สำเร็จ!
อันที่จริงเมื่อบำเพ็ญมาจนถึงระดับอย่างตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ห่างจากเทพจักรวาลเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น ต่อให้ขณะนี้วิถีอากาศแบ่งออกเป็นหลายเส้นทาง จำนวนก็ไม่เกินกว่าสองมือจะนับได้
ดังนั้นห้าภาพก็ได้รวมถึงเส้นทางส่วนใหญ่ของทางสายอากาศเอาไว้แล้ว!
******
ณ จวนแห่งหนึ่งภายในตำหนักลัทธิกระบี่สวรรค์แห่งรัฐประกายเพลิงซึ่งกินพื้นที่กว้างขวางมาก
“ทั้งสองท่าน ลัทธิกระบี่สวรรค์เราเสียหายไปไม่น้อย อ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งท่านหนึ่งต้องสิ้นใจอยู่ที่นั่น!” อ๋องอสนีบาต ‘โม่เฉา’ ในอาภรณ์สีม่วงทั้งร่างนั่งขัดสมาธิอยู่ สายตากวาดมองอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง สองคนนั้น คนหนึ่งมีผิวกายสีแดงเข้ม บนศีรษะมีเขาโค้ง เขากำลังกินโลหะและก้อนหินวิเศษชนิดต่างๆ คำโตลงไป สำหรับเขาแล้ว โลหะและก้อนหินก็คืออาหาร ส่วนอีกคนหนึ่งยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่ ทั้งร่างปกคลุมด้วยอาภรณ์สีดำ ภายในอาภรณ์สีดำล้วนเป็นหมอกสีดำทั้งสิ้น ภายในหมอกดำนั้นมีแมลงจำนวนหนึ่งบินว่อนอยู่ นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเกิดจากแมลงสีแดงจำนวนหนึ่งรวมตัวกันขึ้นมา
ทั้งสองคนนี้ก็คือทูตพิเศษสองคน
คนที่กินโลหะและก้อนหินอันแปลกประหลาดลงไปในนั้น ก็คือคนสกุลฝานที่มาจากรัฐโบราณคิมหันตวายุ! ในบรรดาสามตระกูลอันน่าหวาดหวั่นของรัฐโบราณคิมหันตวายุ ก็มีเพียงสกุลฝานเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับโลกภายนอก ส่วนอีกสองตระกูลใหญ่ต่างก็คร้านที่จะสนใจโลกภายนอก
ส่วนผู้แกร่งกล้าที่มีอาภรณ์สีดำปกคลุมผู้นั้น มาจากรัฐโบราณสหโลกา
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปดูภาพนั้นมาแล้ว” ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำเปล่งเสียงต่ำแหบแห้ง “อ๋องชางซูแห่งรัฐกระบี่สวรรค์ของพวกท่านได้กลายเป็นภาพแผ่นหนึ่งไปแล้วจริงๆ งามดั่งภาพวาด งามดั่งภาพวาดเชียวนะ”
‘อ๋องอสนีบาต’ โม่เฉาซึ่งเป็นอ๋องที่ได้รับการแต่งตั้งแห่งรัฐกระบี่สวรรค์อดแค้นเคืองไม่ได้
“งามดั่งภาพวาดทำไม่ได้ถึงขั้นนี้หรอก อาจจะเป็นวิธีการทางด้านวิญญาณหรือสมบัติลับพิเศษบางอย่างมากกว่า” ยอดฝีมือผิวหนังสีแดงเข้มพูดอย่างสบายๆ พลางเคี้ยวโลหะและก้อนหินเสียงดังกร้วมกร้าม “ถ้าจะให้ข้าพูดล่ะก็ หากก่อนหน้านี้รัฐกระบี่สวรรค์ของพวกท่านส่งยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งไปสู้สักยก ข้าไม่เชื่อหรอกว่ายอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบคนหนึ่งจะคลำตื้นลึกหนาบางของเขามิได้”
โม่เฉามิได้ตอบโต้อะไร
ส่งไปหรือ
เสียยอดฝีมือชั้นที่เก้าก็เสียไป ลัทธิกระบี่สวรรค์ยังพอรับได้ หากเสียยอดฝีมือขั้นอลวนชั้นที่สิบไปสักคน มูลค่าก็มากเกินไปแล้ว
“ลัทธิกระบี่สวรรค์เราเสียหายมากมายถึงเพียงนี้ พวกท่านสองคนควรจะลงมือได้แล้วกระมัง” โม่เฉาเร่งเร้า
“ข้าจะส่งลูกๆ ออกไปก่อน เพื่อคลำดูตื้นลึกหนาบางของพวกเขา” ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำพูดเสียงเรียบ
“ใช่ๆๆ จะต้องรู้ตื้นลึกหนาบางเสียก่อนจึงจะสามารถวางแผนได้ และเอาชนะได้ในรวดเดียว” ยอดฝีมือผิวหนังสีแดงเข้มกินเสียงดังกร้วมกร้าม “ไม่ต้องรีบร้อนๆ ตามความเคยชินของตาเฒ่าประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้นั้น ซ่อนตัวก่อน ค่อยๆ ถ่วงเวลาออกไป แล้วค่อยส่งมือสังหารจำนวนหนึ่งออกไป เป็นการเก็บเล็กผสมน้อยจนชนะอย่างยิ่งใหญ่ อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้อ่อนเยาว์เกินไป เขาถูกส่งมาเป็นคนแรก คาดว่าคงจะเป็นแค่ทัพหน้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“อื้ม”
โม่เฉาและผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำต่างก็เห็นด้วย
คิดจะแทรกซึมเข้าไปในสี่รัฐมารทมิฬ เดิมทีก็ยากมากอยู่แล้ว ครั้งนี้พวกเขาเตรียมการไว้พร้อมสรรพ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า ‘ทัพหน้า’ ที่ประมุขรัฐเมฆทักษิณาส่งมาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้!
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงจะบำเพ็ญเขตลวงโลกเทียมก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ชั่วคราว ทั้งยังไม่มีสมบัติลับ เคล็ดผนึกห้าภาพของวิถีอากาศขาดไปเพียงภาพเดียวเท่านั้น ส่วน ‘การกลายเป็นอากาศธาตุขั้นสุด’ ก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
การบำเพ็ญเข้าสู่ช่วงคอขวดเสียแล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกจากตำหนักทิพย์เมฆทักษิณาแล้วเดินเล่นในนครหลวงรัฐประกายเพลิง
“ในนครหลวงรัฐประกายเพลิง หากพูดถึงอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดแล้ว มีสถานที่ใดที่มีชื่อเสียงบ้าง” ก่อนตงป๋อเสวี่ยอิงจะออกมาก็ได้สอบถามโหวชวีหมิง ซึ่งโหวชวีหมิงก็เข้าใจเรื่องนี้อย่างดียิ่ง เขาได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดแก่ตงป๋อเสวี่ยอิง
“หากมีเรื่องอันใดก็ส่งสารให้ข้าแล้วกัน”
เขาพาบ่าวรับใช้มังกรมารออกไปเดินเล่นข้างนอกเช่นนี้เอง
เขาไปยังสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีอาหารรสเลิศ
โรงสุราขนาดย่อมข้างทาง หรือหอสุราอันกว้างใหญ่สูงตระหง่าน ไปจนถึงสถานเริงรมย์อันคึกคักรุ่งเรืองต่างๆ ขอเพียงมีอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอด ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ล้วนต้องไปลิ้มรส
“แห่งที่ห้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งลิ้มรสอาหารรสเลิศและสุราชั้นยอดนานาชนิดจนอารมณ์ดียิ่งมาถึงหน้าโรงสุราแห่งหนึ่ง ความว้าวุ่นใจที่ต้องติดอยู่ที่คอขวดก่อนหน้านี้ได้จางหายไปแล้ว ยามนี้เขาผ่อนคลายและสุขสราญนัก
“รสเยี่ยม”
“ไม่แล้ว จุ๊ๆ สุรานี้ต้องซื้อติดไปด้วยมากหน่อย” ตงป๋อเสวี่ยอิงลิ้มรสอย่างดื่มด่ำ
บ่าวรับใช้มังกรมารก็ถูกตงป๋อเสวี่ยอิงขอร้องแกมบังคับให้นั่งอยู่ข้างๆ และกินไปด้วยกัน
โรงสุรานับว่ามิได้มีพื้นที่มากนัก และมีเพียงชั้นเดียวเท่านั้น แต่การค้ากลับดีมาก มีแขกเหรื่อมากมาย หลังจากร่างเมฆทักษิณาทิพย์ของตงป๋อเสวี่ยอิงครบสมบูรณ์แล้ว ก็เก็บงำกลิ่นอายจนเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา แม้บ่าวรับใช้มังกรมารจะเก็บงำกลิ่นอายเช่นเดียวกัน แต่วิธีการเก็บงำของเขาก็อ่อนกว่าอยู่บ้าง ผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นหนึ่งก็สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมังกรมารได้แล้ว ผู้ดูแลโรงสุราแห่งนี้จึงคร้ามเกรงเป็นอันมาก เขาจัดที่นั่งด้านในซึ่งดีที่สุดเอาไว้ให้
เมื่อกินไปได้ครึ่งหนึ่ง
“ไสหัวไป”
“รีบไสหัวไป ไสหัวไปไกลๆ เสีย”
“เจ้านายของเราเหมาโรงสุรานี้เอาไว้แล้ว คนอื่นรีบไสหัวไปให้หมด”
จู่ๆ ยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในโรงสุราแห่งนี้พลางตะคอกด้วยความโมโห แขกเหรื่อด้านในเห็นเข้า ก็พากันกลัวจนรีบหนีจากไปทันที
“ขั้นรวมเป็นหนึ่งกลุ่มหนึ่งเชียวหรือนี่ ดูท่าแล้วเหมือนจะเป็นพวกทหารองครักษ์”
“เกรงว่าเจ้านายของพวกเขาคงจะมีที่มาใหญ่โตมากทีเดียว”
บรรดาแขกเหรื่อส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญทั่วไป ขั้นรวมเป็นหนึ่งนั้นมีน้อยมาก จึงย่อมรีบหนีไปเป็นธรรมดา หากคิดจะอยู่รอดในนครหลวงรัฐประกายเพลิงให้นานๆ ตาก็ต้องมีแวว เวลาที่ควรจะหลบก็ต้องหลบ!
“พวกเจ้าสองคนรีบไปเสีย” ขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นชี้ไม้ชี้มือมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงและบ่าวรับใช้มังกรมารที่ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
บ่าวรับใช้มังกรมารยืนขึ้นทันที กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันปะทุออกมา กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมพวยพุ่งและโหมซัดออกไป มังกรมารซึ่งปะทุออกมานั้นบรรลุถึงระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้า กลิ่นอายที่โหมซัดออกไปนั้นทำเอาขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นกลัวจนหน้าซีดขาว มังกรมารซึ่งมีท่าทีแข็งแกร่งยังตะคอกออกไปว่า “ไสหัวไป!”
“ฟิ้ว…”
เวลานี้เอง กลางอากาศก็มีเรือบินอันหรูหราลำหนึ่งร่อนลงมาอย่างช้าๆ
“เจ้านายมาแล้ว”
“ยุ่งยากแล้ว”
ขั้นรวมเป็นหนึ่งเหล่านั้นมีสีหน้าไม่น่ามอง ทว่าแต่ละคนก็ยังรีบออกไปต้อนรับที่ด้านหน้าโรงสุราด้วยความเคารพทันที ก็เห็นบุรุษสองคนนั่งอยู่บนเกี้ยวอันหรูหราโดยมีองครักษ์กลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันและมีสาวงามกลุ่มหนึ่งคอยปรนนิบัติ บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจแผ่กลิ่นอายขั้นอลวนออกมา ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหรากลับเป็นเพียงขั้นรวมเป็นหนึ่งเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้น” บุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหราพูดเสียงเรียบ
“ฝ่าบาท แขกด้านในไม่ยอมหลีกไป หนึ่งในนั้นเป็นยอดฝีมือขั้นอลวนพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ด้านล่างตอบ
“ขั้นอลวนรึ ในนครหลวงรัฐประกายเพลิง ขั้นอลวนคนหนึ่งก็กล้าบังอาจอย่างนั้นหรือ” บุรุษอาภรณ์เขียวอันงดงามหรูหรายิ้มหยัน แน่นอนว่าเขารังเกียจ เขาเป็นถึงองค์ชายเจ็ดแห่งรัฐประกายเพลิงและผู้ที่เขาเชื้อเชิญมาในครั้งนี้ก็เป็นถึงศิษย์ถ่ายทอดเองคนหนึ่งของ ‘เจ้าลัทธิมารโลหิต’ แห่งทะเลสาบมารทมิฬ บัดนี้มีพลังระดับขั้นอลวนชั้นที่เก้าแล้ว
ส่วนบุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจข้างกายเขากลับหรี่ตาลง พลางมองดูบุรุษร่างกำยำซึ่งยืนอยู่ในโรงสุราและชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งนั่งอยู่ แล้วกลับรู้สึกประหวั่นใจขึ้นมา!
“เป็นเขาหรือ” บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจรู้สึกประหวั่นใจ!
แม้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาและเจ้าลัทธิทั้งสามแห่งทะเลสาบมารทมิฬจะปรองดองกัน
แต่การต่อสู้และเข่นฆ่าระหว่างทั้งสองฝ่ายกลับไม่เคยหยุดยั้งมาตลอด ทะเลสาบมารทมิฬมักจะลงมือเป็นประจำ ไปจนถึงการกวาดล้างเพื่อบูชาโลหิต! และเมื่อรัฐโบราณคิมหันตวายุเป็นผู้นำ รัฐเมฆทักษิณา รัฐเพรียกหิมะและรัฐวอเฟิงก็มักจะตอบโต้กลับเป็นประจำ
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่เสวี่ยอิง รบกวนแล้ว” บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจพูดเสียงดังกังวาน ขณะเดียวกันก็ถ่ายเสียงให้องค์ชายเจ็ดด้านข้าง “รีบไปเร็วๆ นั่นคืออิงซานเสวี่ยอิง”
“อะไรนะ”
องค์ชายเจ็ดผู้นี้กลัวเสียจนหน้าซีดขาว
เมื่อพวกเขากำลังเตรียมตัวจะจากไปอย่างเงียบเชียบนั้น มีแมลงซึ่งมีสีสันแตกต่างกันสามตัวมาจากกลางอากาศ แล้วแทรกเข้าไปในร่างขององครักษ์สามคนซึ่งยืนอยู่ตรงริมขอบโรงสุรา ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นสะท้านน้อยๆ จากนั้นก็หันหน้ามองไปทางชายหนุ่มอาภรณ์ขาวซึ่งกำลังนั่งดื่มสุราอย่างสงบด้านในโรงสุราผู้นั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่มีท่าทีสบายๆ มิได้สนใจโลกภายนอกมาตลอดก่อนหน้านี้ ยามนี้กลับขมวดคิ้วขึ้นมาพลางมองไปทางองครักษ์สามคนนั้น
ด้วยการสัมผัสรับรู้อากาศของเขา จึงย่อมรู้ว่าเมื่อแมลงประหลาดสามตัวนั้นเข้าไปในร่างขององครักษ์ทั้งสาม ยามนี้องครักษ์ทั้งสามก็ได้สิ้นใจไปแล้ว น่าเสียดาย แมลงพิษเข้ามาอย่างกะทันหันและรวดเร็วเกินไป เขาคิดจะช่วยเหลือองครักษ์ที่น่าหวาดหวั่นทั้งสามก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
“เจ้านายบอกให้เจ้าไป เจ้ายังไม่ไปอีกรึ”
“รีบไสหัวไป”
องครักษ์ทั้งสามแค่นเสียงด้วยความโมโห แล้วเดินตรงเข้าไปในโรงสุรา
องค์ชายเจ็ดและบุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจที่อยู่บนเกี้ยวเตรียมตัวจะจากไปผู้นั้นเห็นเข้าก็ตะลึงงันไป
“เจ้าทึ่มทั้งสาม ยังไม่รีบไปอีกรึ ไปเร็ว!” องค์ชายเจ็ดถ่ายเสียงตะคอก บุรุษผู้งามสง่าแฝงแววร้ายกาจด้านข้างกลับสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล “ไม่ดีแล้ว”
“ไม่เห็นแก่หน้าเจ้านายข้าเลย เจ้าอยากรนหาที่ตายรึ” ปากขององครักษ์ทั้งสามยังคงตะคอกอยู่ แม้จะกำลังก้าวเดิน แต่เนื่องจากรวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่ก้าวก็ตรงมาถึงบริเวณที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่แล้ว
ตงป๋อเสวี่ยอิงเงยหน้าขึ้นแล้ววางจอกสุราลง สายตาจับจ้องไปที่ร่างขององครักษ์ทั้งสาม
“วิ้ง”
ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างพลันกวาดออกไป
ปัง! ปัง! ปัง!
ร่างขององครักษ์ทั้งสามพลันแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิงแล้วสลายหายไปในฟ้าดิน เผยให้เห็นแมลงสามตัวที่มีสีสันแตกต่างกันออกไป แมลงสามตัวนี้กลับไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย สามารถต้านทานการเข่นฆ่าของบริเวณเมฆาแดงของตงป๋อเสวี่ยอิงได้อย่างสิ้นเชิง
…………………………….