ทุก ๆ วันหานเซ่าและอวี่ฉีมักขลุกอยู่ในบ้านพัก ไม่ได้ย่างกรายออกไปไหน ภาระเรื่องการซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดล้วนถูกมอบหมายให้เสี่ยวโจวเป็นคนจัดการ อย่างกับทั้งคู่กำลังใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ในหุบเขาลึกอย่างไรอย่างนั้น

หานเซ่ากล่อมเธอแทบทุกวันว่า “เด็กสาววัยรุ่นควรออกไปเปิดหูเปิดตาอาบแสงอาทิตย์ซะบ้าง ให้เสี่ยวโจวไปเป็นเพื่อนเธอดีไหม ไปซื้อเสื้อผ้าหรือเครื่องประดับเพิ่มบ้างก็ได้นะ”

เหมือนเขาจะรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาที่รั้งเธอไว้ข้างกาย ทุก ๆ วันจึงเอาแต่คอยโน้มน้าวให้เธอออกไปเดินเล่นข้างนอกสักรอบ อวี่ฉีรับมือจนคุ้นชินเสียแล้ว เธอกอดแขนเขาแน่น ใบหน้ายิ้มแย้มเผยลักยิ้มข้างแก้มอันงดงามราวกับดอกไม้ “คุณกำลังจะบอกว่าคุณไม่ชอบที่ฉันสวยไม่พอ เลยต้องแต่งตัวใส่เครื่องประดับให้ดูดีขึ้นงั้นเหรอคะ”

หานเซ่าถอนหายใจครั้งหนึ่ง ยื่นมือไปลูบผมหนาสีดำนุ่มลื่นราวกับเส้นไหมของเธอ “เธอสวยมากพอแล้ว ฉันต่างหากที่ต้องละอายใจเพราะไม่คู่ควรกับเธอ” เขาลูบไล้ไปบนผิวขาวราวกับหิมะของเธอซึ่งให้สัมผัสไม่ต่างไปจากเครื่องลายครามของอังกฤษ “ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธอไม่มีตำหนิเลยสักจุด แต่หางตาของฉันมีริ้วรอยเต็มไปหมดแล้ว” ไม่รอให้เธอพูดอะไร เขาก็ยิ้มพลางเย้ยหยันตัวเอง “เห็น ๆ อยู่ว่าฉันเป็นแค่ไม้แก่เหี่ยวแห้งผุพัง แต่ยังมีหน้ามากักขังเด็กผู้หญิงอายุน้อยไว้ข้างตัว หาเรื่องให้ตัวเองขายขี้หน้าแท้ ๆ”

อวี่ฉีทาบสองมือลงบนแก้มของหานเซ่า จ้องเข้าไปในดวงตาหงส์เรียวยาวอันลึกล้ำ เสียงของเธอแผ่วเบาและอ่อนโยน “ไม่หรอกค่ะ บนโลกนี้น่ะไม่มีอะไรที่มีเสน่ห์ไปกว่าผู้ชายอายุสามสิบเจ็ดอีกแล้วนะคะ”

เธอพูดอย่างสัตย์จริง ต่อให้ไม่มีเรื่องภารกิจ เธอก็ยังคิดแบบนี้อยู่ดี คนวัยนี้มักใจเย็น มีเหตุผล ทั้งยังมีความรับผิดชอบ สามารถรับมือกับอุปสรรคได้อย่างง่ายดาย กาลเวลาได้ขัดเกลาความเป็นชายให้เต็มเปี่ยมไปด้วยวุฒิภาวะและเสน่ห์ดึงดูดโดยไม่รู้ตัว

น่าเสียดายที่หานเซ่าไม่ได้คิดเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย เขาเพียงยิ้ม ๆ “ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจของเธอนะ”

“ไม่ใช่ค่ะ นี่เป็นคำพูดจากใจจริง” อวี่ฉีพูดอย่างเชื่องช้า “สิ่งที่ดึงดูดใจผู้คนจริง ๆ น่ะไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นบุคลิกท่าทางต่างหากค่ะ คุณเชื่อไหม ถ้าหาดาราชายเกาหลีอายุสิบแปดสักคนมายืนข้าง ๆ คุณแล้วละก็ เด็กผู้หญิงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จะต้องพุ่งไปซบอกคุณอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียวแน่ ๆ”

เธอกล่าวพลางยิ้มกว้าง “ที่สำคัญคุณไม่เห็นจะแก่เลยสักนิด ไม่สิ ต้องบอกว่าหล่อมาก ๆ ถึงจะถูก ถ้าคุณใส่เสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนแทน ก็คงจะทำตัวเนียนเป็นรุ่นพี่ของฉันได้สบาย ๆ เลยค่ะ”

หานเซ่าถูกเธอเย้าแหย่จนหลุดยิ้มออกมา แล้วพูดจากใจจริงว่า “อวี่ฉี บนปากของเธอต้องเคลือบน้ำผึ้งเอาไว้แน่ ๆ”

วันเวลาสงบสุขผ่านไปรวดเร็วราวกับสายน้ำไหล พริบตาเดียวก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่าจีนแล้ว

อวี่ฉีตื่นแต่เช้า ติดตัวอักษรฝูสีแดงที่หมายถึงความสุขจนทั่วห้อง ทั้งยังทำความสะอาดบ้านพักทุกชั้นกับเสี่ยวโจวไปหนึ่งรอบด้วย

ตอนที่หานเซ่าลงมาชั้นล่างจึงไม่เห็นตัวเธอเหมือนทุกครา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ตัวอักษรฝูสีแดงสดใส เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร วันเทศกาลเช่นนี้ กระทั่งห้องที่ปกติแล้วจะค่อนข้างเงียบเหงาเย็นชาก็พลอยชุ่มฉ่ำขึ้นด้วยบรรยากาศที่สนุกสนาน จนเขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะเดินตามหาตัวอวี่ฉีต่อ

หานเซ่าลองตามหาเธอที่ห้องรับแขกก็แล้ว ห้องอาหารก็แล้ว ขึ้นไปหาที่ชั้นสองก็แล้ว ทุกๆ ที่ล้วนว่างเปล่า ไม่เห็นแม้แต่เงาของอวี่ฉี เมื่อถามเสี่ยวโจวจึงเพิ่งรู้ว่าเธออยู่ในห้องครัว เขาจึงลงมาชั้นล่าง เห็นเธอห่อเกี๊ยวอยู่ในครัวตามที่คาดเอาไว้ สองมือของเด็กสาวเต็มไปด้วยผงแป้ง กระทั่งบนแก้มก็ยังเปรอะเปื้อนเล็กน้อย ดูไปแล้วคล้ายกับแมวลายพร้อยตัวหนึ่ง

เขายืนพิงประตูมองเธออยู่เนิ่นนาน หัวใจค่อยๆ สงบลง ดุจใบไม้ตกสู่ราก ดั่งเศษธุลีคืนสู่ดิน เงียบสงบและเป็นสุขไปทั้งก้นบึ้งของหัวใจ

ครั้งนี้อวี่ฉีไม่ได้ตั้งใจจะจัดฉากแต่อย่างใด เธอไม่ได้สังเกตเห็นหานเซ่าจริง ๆ เมื่อป่วยเป็นโรคนี้แล้ว เขาจะกินได้แต่อาหารที่ย่อยง่ายเท่านั้น เธอจึงตั้งใจห่อแป้งเกี๊ยวให้บางลงอีกหน่อย

ผ่านไปพักใหญ่ อวี่ฉีถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีคนยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว เธอเอียงศีรษะไปมอง เห็นหานเซ่าในชุดสเวตเตอร์แคชเมียร์ตัวบางยืนอยู่นอกประตู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเสื้อหลวมโคร่งอยู่แล้วหรือเขาผอมจนเกินไป รูปร่างของเขาถึงได้ดูผ่ายผอมมากกว่าปกติ

พื้นที่ชั้นหนึ่งนั้นโล่งกว้างกว่าชั้นสองและชั้นสามมาก จึงกักเก็บความอบอุ่นไว้ได้ไม่ดี ต่อให้จะปรับฮีตเตอร์ให้อุ่นกว่านี้ก็ยังเลี่ยงอากาศหนาวไม่ได้ หลายวันนี้อวี่ฉีมักคอยเป็นห่วงจนติดเป็นนิสัยแล้ว เมื่อเห็นหานเซ่าใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้ ก็รีบเช็ดสองมือให้สะอาดแล้วเดินไปหาทันที “ฉันจะไปหยิบเสื้อคลุมให้คุณสักตัวนะคะ”

“ไม่ต้อง”เขาปฏิเสธด้วยเสียงนุ่มนวล มองข้ามไปที่เคาน์เตอร์ด้านหลังของเธอ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “วันนี้กินเกี๊ยวหรือ?” น้ำเสียงไถ่ถามนั้นฟังดูเป็นธรรมชาติอย่างน่าประหลาด คล้ายคำถามของคู่สามีภรรยาที่อยู่กินกันมากว่าสิบปี ชั่ววินาทีหลังจากที่เขาหลุดปากไปแล้ว หานเซ่าถึงกับเป็นฝ่ายตกตะลึงจนพูดไม่ออกเสียเอง

อวี่ฉีระบายรอยยิ้ม “คืนส่งท้ายปีก็ต้องกินเกี๊ยวอยู่แล้วสิคะ อ้อ คุณพอจะช่วยฉันสักเรื่องได้ไหม”

ในความทรงจำของหานเซ่า อวี่ฉีไม่เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นที่เอาแต่อยากได้รถสปอร์ตหรือไม่ก็บ้าน แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเอ่ยปากต้องการอะไรสักครั้ง น้อยครั้งที่เธอจะบอกออกมาตรงๆ เช่นครั้งนี้ เขาจึงพยักหน้าตกลงโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “เรื่องอะไร”

“ที่ประตูทางเข้ายังขาดกลอนคู่ชุนเหลียนคู่หนึ่ง ฉันลายมือหวัด คงต้องพึ่งคุณแล้วละค่ะ” อวี่ฉีเงยหน้าขึ้นมองเขา “เสี่ยวโจวบอกว่าในห้องหนังสือของคุณมีอุปกรณ์การเขียนครบอยู่แล้ว”

ความจริงแล้วอวี่ฉีเองเคยฝึกพิเศษเรื่องการคัดลายมือมาก่อน ตัวอักษรจึงยังถือว่าพอเอาออกมาอวดชาวบ้านได้บ้าง แม้จะห่างชั้นกับผลงานศิลปินชั้นครูอย่างเทียบไม่ติด ก็ไม่นับว่าน่าเกลียด แต่เธอวานเขาเพราะอย่างน้อยอุณหภูมิในห้องหนังสือก็อุ่นกว่าตรงนี้

ทั้งสองเดินขึ้นไปตามบันไดแต่ละขั้น ขณะที่กำลังจะถึงชั้นสาม อวี่ฉีก็เอียงหน้ามามองหานเซ่า เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไรจึงเอ่ยปากออกมาเอง “ฉันขึ้นไปได้ไหมคะ”

“อะไรนะ?” หานเซ่าไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรไปชั่วขณะ แต่หลังจากระลึกได้ว่าเธอหมายถึงอะไร ก็รู้สึกอ่อนใจขึ้นมาเล็กน้อย “ต้องได้อยู่แล้ว ไม่ใช่เขตหวงห้ามสักหน่อย”

“แต่เสี่ยวโจวกำชับไม่ให้ฉันขึ้นไปเหยียบชั้นสาม”

หานเซ่าหลุดหัวเราะ “หมอนั่นทำตามใจชอบเอง ฉันแค่ชอบความเงียบสงบเท่านั้น” เขายกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำนุ่มลื่นของเธอไปมา น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนนุ่มนวล “ขอแค่เธอต้องการ ก็ขึ้นมาได้ตลอดเวลา”

ลายมือของหานเซ่าสวยงามประณีตเหนือความคาดหมายของเธอมากทีเดียว เพียงครู่สั้น ๆ ก็เขียนกลอนคู่ชุนเหลียนคู่หนึ่งเสร็จแล้ว “ดอกท้อเบ่งบานงามสะพรั่ง ดั่งภาพอบอุ่นยามวสันต์เวียนมาทุกปี”

อวี่ฉีอ่านออกเสียงช้าๆ ขณะที่อ่านประโยคหลัง ไม่รู้ว่าทำไมถึงเจ็บแปลบขึ้นมาในหัวใจ แต่กระนั้นบนใบหน้ายังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มไว้เช่นเคย และยกแค่ประโยคแรกขึ้นมาพูดถึง “ดอกท้อมาจากไหนคะ”

หานเซ่าวางพู่กันลง แล้วยื่นแขนออกไปดึงเธอมาไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นปัดแป้งที่เปื้อนอยู่บนแก้มของเธอออกเบา ๆ ปลายนิ้วค่อนข้างเย็นที่ไล้ผ่านแก้มไปนั้น ทำให้อวี่ฉีตกตะลึงไปชั่วอึดใจก่อนจะยิ้มออกมา ข้างแก้มทั้งสองฝั่งปรากฏลักยิ้มเล็กๆ ที่ดูอ่อนหวานและน่ามอง แต่งแต้มใบหน้าให้สดใสประหนึ่งต้นท้อ ดอกพลัม ทั้งยังงดงามดั่งรุ่งอรุณในฤดูใบไม้ผลิ

ดวงตาหงส์เรียวยาวอันงดงามของเขาจ้องเธอเงียบงัน แล้วจึงเอ่ยถามอย่างแผ่วเบาอบอุ่น คล้ายกับออกมาจากส่วนลึกข้างในจิตใจของเขา “ทำไมจะไม่มี?” เขาแย้มรอยยิ้มพลางแนบฝ่ามือลงไปบนแก้มของเธอ ไล้นิ้วโป้งกดเบา ๆ ลงบนลักยิ้มที่แก้มขวาของอวี่ฉี จากนั้นก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงไปจุมพิตบนหน้าผากของเธออย่างนุ่มนวล “อวี่ฉี สุขสันต์วันปีใหม่!”

อวี่ฉีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มออกมาบาง ๆ “ยังไม่ถึงเที่ยงคืนสักหน่อย ไม่นับว่าเป็นปีใหม่นะคะ”

หานเซ่าเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว พลางลูบเส้นผมสีดำของเธอต่อโดยไม่พูดไม่จา

อวี่ฉีนำชุนเหลียนไปติดที่ปากประตู หานเซ่าเดินตามหลังเธออย่างไม่รีบร้อน สองมือสอดอยู่ด้านในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทางสบายๆ พลางกำชับเสียงเรียบว่า “ใส่เสื้อผ้าให้หนาอีกหน่อยแล้วค่อยออกไปข้างนอก”

เธอขานรับคำหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปคว้าโอเวอร์โค้ตจากบนไม้แขวนเสื้อลงมาคลุมบนตัว เมื่อเหลือบมองไปแวบหนึ่งแล้วเห็นว่าหานเซ่ายังคงอยู่บริเวณโถงทางเข้า ก็เริ่มบ่นจู้จี้จุกจิกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “คุณใส่เสื้อบาง ถอยไปไกล ๆ เลยค่ะ เดี๋ยวลมหนาวพัดเข้ามาจะเป็นหวัดเอาง่าย ๆ”

หลังหลุดปากไปแล้ว เธอถึงเพิ่งสำนึกได้ว่าพูดผิดไป ไม่อยากเชื่อว่าเธอจะสะเพร่าได้ถึงขนาดนี้ รู้ ๆ กันอยู่ว่าหานเซ่าหงุดหงิดง่าย จะมาใช้น้ำเสียงออกคำสั่งตะโกนบอกเขาแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ความผิดพลาดในวินาทีนั้นทำให้เธอรู้สึกกระดากอายขึ้นบ้างแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ทำได้เพียงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และมองเขาด้วยแววตาน่าสงสารเป็นที่สุด

ฝ่ายหานเซ่ากลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย เขาถอยร่นไปด้านหลังหลายก้าวตามที่เธอบอก แล้วหยุดยืนที่ข้างโซฟา มองเธอจากไกล ๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีร่องรอยของความหงุดหงิดใด ๆ

อวี่ฉีนิ่งงัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ถือสาเลยสักนิดจริง ๆ จึงค่อยผลักประตูเดินออกไป ทั้งที่ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว

ระหว่างที่กำลังติดกลอนคู่ชุนเหลียน จู่ ๆ เธอก็นึกถึงคำวิจารณ์หานเซ่าของซูเวยเวย ที่บอกว่าเขาเป็นจอมเผด็จการ ชอบปลีกวิเวก เห็นแก่ตัว มีนิสัยแปลกประหลาด แถมยังไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าแทบจะรวบรวมข้อด้อยทั้งหลายแหล่ของผู้ชายแย่ ๆ บนโลกเอาไว้ที่ตัวเองด้วยซ้ำ แล้วดูตอนนี้สิ เขาเป็นจอมเผด็จการ ชอบปลีกวิเวก เห็นแก่ตัวหรือเปล่า? เขามีนิสัยแปลกประหลาดและไม่คำนึงถึงความคิดเห็นของคนอื่นสักนิดเดียวไหม? ไม่เลย ตัวเขาในตอนนี้ถึงขั้นเรียกได้ว่ามีนิสัยใจคอที่อ่อนโยน บุคลิกท่าทางก็ดีเลิศยิ่งกว่าใครทั้งนั้น

อวี่ฉีอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโศกเศร้า ใครกันที่บอกว่ามีแค่ผู้หญิงเท่านั้นที่จะเป็นคนดีขึ้นได้เมื่อได้รับความรัก ผู้ชายดี ๆ ก็เป็นแบบนี้ได้เหมือนกันนั่นละ ถ้าคุณเย็นชาเมินเฉยไม่สนใจเขา แล้วจะมาโทษว่าเขาไม่เคยคำนึงถึงความรู้สึกของคุณสักครั้งได้ยังไง บนโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอกนะ มีแต่ต้องใช้ความอ่อนโยนแลกความอ่อนโยนกลับมาเท่านั้น มันเป็นเช่นนี้เสมอนับตั้งแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน

———————————————