พริบตาเดียวก็ตกเย็นแล้ว อวี่ฉียกเกี๊ยวร้อน ๆ ควันฉุยออกมาจากในห้องครัว เธอทุ่มเทเวลากับการทำเกี๊ยวแป้งบางไส้ทะลักไปไม่น้อย เกี๊ยวแต่ละชิ้นบางใสวาววับจนแทบจะโปร่งแสง ดูแล้วทำให้คนเจริญอาหารขึ้นหลายเท่าตัว ขนาดหานเซ่าเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะกินไปหลายชิ้น

กินไปได้ครึ่งหนึ่ง หานเซ่าก็วางตะเกียบลง เขากวาดสายตาผ่านตู้เก็บเหล้าที่ทำจากไม้มะฮอกกานีอีกฝั่งก่อนพูดเสียงเรียบว่า “วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราดื่มกันสักหน่อยไหม”

แม้ว่าอวี่ฉีจะแปลกใจที่เขามาขอความเห็นจากเธออย่างนี้ แต่เธอก็ไม่มีทางเห็นด้วยอยู่ดี สำหรับโรคร้ายประเภทนี้ ทั้งบุหรี่และสุราล้วนเป็นสิ่งต้องห้าม แต่จะปฏิเสธเขาอย่างไรดี นั่นละคือปัญหา เธอเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางลำบากใจนิด ๆ

หานเซ่ามองสีหน้าของเธอ แล้วยกมือขึ้นคลึงบริเวณหว่างคิ้วด้วยความจนใจอย่างห้ามไม่อยู่ “ก็ได้ ไม่ดื่มแล้วกัน”

อวี่ฉีผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็ยิ้มออกมา “จริง ๆ แล้ว คืนส่งท้ายปีมีเรื่องให้ทำเยอะแยะจะตายไปนะคะ”

“ดูรายการพิเศษงานฉลองตรุษจีนน่ะเหรอ” หานเซ่าเลิกคิ้วแล้ววิจารณ์อย่างไม่ไว้หน้า “สู้ไปนอนยังจะดีกว่า”

รายการพิเศษงานฉลองตรุษจีนเป็นรายการเดิม ๆ ที่ฉายวนซ้ำซากแทบทุกปี อวี่ฉีเองก็ฝืนใจชมไม่ลงเหมือนกัน เธอจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปจุดดอกไม้ไฟกันไหมคะ”

เสี่ยวโจวเพิ่งขอลาหยุดเมื่อช่วงเที่ยงของวันนี้ เพื่อกลับไปอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว เหลือคนในบ้านกันแค่สองคน จะเล่นไพ่นกกระจอกก็รวมได้ไม่ครบขา ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดก็ต้องใช้สามคนเล่น รายการพิเศษตรุษจีน หานเซ่าก็ไม่ชอบอีก ดังนั้นดูไปดูมาคงเหลือแต่ตัวเลือกเล่นประทัดกับดอกไม้ไฟเท่านั้นที่พอจะทำหน้าที่เป็นรายการบันเทิงระหว่างค่ำคืนนี้ได้

หานเซ่าชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง “เธออยากไป?” แล้วนึกขึ้นได้ว่าเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะชอบเรื่องพวกนี้กันทั้งนั้น เขาจึงพยักหน้าตกลงโดยไม่รอให้เธอตอบ

สุดท้าย พวกเขาทั้งคู่ก็ช่วยกันขนดอกไม้ไฟลังใหญ่ลังหนึ่งออกมาวางไว้ตรงบริเวณโล่งกว้างซึ่งมีพื้นค่อนข้างราบเรียบ

หานเซ่าถูกอวี่ฉีห่อคลุมตัวไว้จนมิดชิดแน่นหนา ทั้งเสื้อกันหนาว ทั้งเสื้อคลุม ทั้งผ้าพันคอ และยังมีถุงมืออีก ราวกับว่าเขาจะออกไปสำรวจขั้วโลกเหนือไม่มีผิด หานเซ่าก้มศีรษะลงมองถุงมือหนังของตัวเอง แล้วเอียงหน้าไปมองเธอ “แบบนี้ฉันจะจุดไฟได้ยังไง”

อวี่ฉียิ้มตาหยีแล้วดันให้เขาไปยืนที่ฝั่งหนึ่งดี ๆ “ฉันจุดเองค่ะ คุณดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว”

ท่าทางของอวี่ฉีคล่องแคล่วว่องไว แถมยังใจกล้าไม่น้อย เธอจุดดอกไม้ไฟรวดเดียวเจ็ดแปดดอกแล้วถึงค่อยหมุนตัววิ่งหนี ถอยออกมาได้ไม่กี่ก้าว ดอกไม้ไฟตระการตาก็ผลิบานออกพร้อมส่งเสียงดังกึกก้องเหนือนภาในค่ำคืนอันมืดมิด ปรากฏเป็นภาพอลังการและงดงาม

อวี่ฉีวิ่งกลับมาอยู่ข้างกายหานเซ่า แย้มรอยยิ้มพร้อมเงยหน้าถามเขาว่า “สวยไหมคะ“

หานเซ่ารวบเธอเข้ามากอดด้วยความอ่อนใจ “ปากบอกว่าอยากจะออกมาจุดดอกไม้ไฟข้างนอก แต่พอจุดจริง ๆ เธอกลับไม่มองมัน เอาแต่จ้องฉันทำไม“

อวี่ฉีเพียงแต่มองเขายิ้ม ๆ อยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ดอกไม้ไฟเบื้องหลังผลิบานดอกแล้วดอกเล่า และร่วงโรยไปบนผืนม่านแห่งราตรี

หานเซ่าลูบเส้นผมสีดำนุ่มลื่นของเธอ แล้วค่อย ๆ โน้มตัวลงอย่างเชื่องช้า ภายในดวงตาอันมืดมิดและลุ่มลึกนั้นสะท้อนแสงของดอกไม้ไฟละลานตาที่บานสะพรั่งไปทั่วฟ้า ไม่มีแววเย็นชาห่างเหินเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป ตรงกันข้ามกลับเปี่ยมด้วยความอบอุ่นอันเบาบาง

ช่วงเวลาดี ๆ และบรรยากาศเป็นใจแบบนี้ เหมาะกับการมอบจุมพิตให้กันเป็นที่สุด

—————————

เมื่อดอกไม้ไฟโรยราจนหมดฟ้า ทั้งสองก็กลับเข้าไปในบ้านพัก

หานเซ่าถอดเสื้อคลุมออก ส่วนอวี่ฉีก็รับเสื้อมาด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ เธอหมุนตัวจะแขวนมันบนที่แขวนเสื้อ แต่กลับถูกหยุดเอาไว้เสียก่อน

เขาสั่งให้เธอหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมออกมา อวี่ฉีควานหามันตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย แล้วหยิบเอาอั่งเปาซองเล็ก ๆ ซองหนึ่งออกมา

เธอชะงักค้าง ตกตะลึงไปไม่น้อย “นี่คือเงินแต๊ะเอียเหรอคะ”

หานเซ่าตอบอืมครั้งหนึ่งด้วยท่าทางสบาย ๆ “มีอะไรแปลกงั้นเหรอ”

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เงินแต๊ะเอียเป็นสัญลักษณ์แทนคำอวยพรดี ๆ จากผู้ใหญ่ถึงผู้น้อย เป็นการอวยพรลูกหลานให้มีสุขภาพแข็งแรงและโชคดีในอีกหนึ่งปีที่จะมาถึง เธอคิดไม่ถึงว่าหานเซ่าจะให้เงินแต๊ะเอียกับเธอ

ในขณะที่เธอกำลังเหม่อลอยอยู่นั่นเอง เขาก็โน้มตัวลงมากอดเธอเอาไว้ “อวี่ฉี สุขสันต์วันปีใหม่!” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอีกประโยคด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้เป็นปีใหม่แล้วนะ”

อวี่ฉีหลุดจากภวังค์ เธอยิ้มออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่เช่นกัน จากนั้นก็ยื่นมือไปกอดเอวของเขาไว้แน่น “สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ!”

ไม่รู้เป็นเพราะใส่เกลือในเกี๊ยวมากเกินไปหรือเปล่า อวี่ฉีจึงตื่นขึ้นมาตอนตีสามช่วงเช้ามืด เธอผลักประตูเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาน้ำดื่ม

ขณะที่กำลังจะเข้าไปในห้องครัว เธอก็เหลือบเห็นเงาแผ่นหลังของร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่าง จึงรีบหันตัวกลับไปมอง

เป็นหานเซ่านั่นเอง เขายืนหันหลังให้เธอเพียงลำพังอยู่ตรงนั้น สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอันมืดมิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ ถึงได้ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้นในคืนฤดูหนาวเย็นเยียบนี้  ภาพแผ่นหลังของเขาโดดเดี่ยวอ้างว้างไม่ต่างกับครั้งแรกที่พบกันในคืนนั้น

อวี่ฉีรีบเดินไปหา แล้วเอ่ยเสียงเบา “นอนไม่หลับเหรอคะ”

พอได้ยินเสียงของเธอ หานเซ่าก็หันหน้ากลับมา ดวงตาหงส์เรียวยาวอันงดงามจดจ้องใบหน้าเธออยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ก้มตัวลงโอบกอดเธอไว้ทั้งตัว เสียงนุ่มนวลดังแผ่วเบาเหนือศีรษะ เขาเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “อวี่ฉี”

อวี่ฉีกอดเขากลับ แนบแก้มลงกับแผ่นอกของเขา “มีอะไรคะ”

“เมื่อเช้าฉันอ่านหนังสือพิมพ์ เห็นข่าวคนเสียชีวิตข่าวหนึ่ง” หานเซ่าถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เขาเป็นเพื่อนทางธุรกิจคนหนึ่ง ไม่ได้สนิทอะไรกัน” เขาเงียบลงสักพัก ก่อนจะพูดต่อไป “ทีแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อกี้ถึงฝันถึงเขา ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่รู้สึกว่าชีวิตคนเราช่างเปราะบางเหลือเกิน”

มือของเขาประคองอยู่ที่หลังศีรษะของเธออย่างนุ่มนวล “เหมือนฉันจะเพิ่งเข้าใจว่าอะไรคือความตาย”

ในเวลานี้การปลอบโยนด้วยคำพูดย่อมไม่มีประโยชน์ใด ๆ อวี่ฉีจึงทำได้เพียงกอดเขาเอาไว้แน่น ๆ

“ฉันนึกมาตลอดว่าตัวเองไม่ได้หวาดกลัวการมาถึงของวันนั้นแม้แต่นิดเดียว แต่จู่ ๆ ก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าเกิดพรุ่งนี้ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้อีกแล้ว ความรู้สึกนั้นจะน่ากลัวแค่ไหนกัน”

อวี่ฉีกอดเอวของเขานิ่งงันอยู่อย่างนั้น แล้วเอ่ยเสียงเบาหวิว แต่ถ้อยคำกลับหนักแน่นเป็นที่สุด “คุณจะอายุยืนถึงร้อยปีแน่นอนค่ะ”

หานเซ่าค่อย ๆ วางคางลงไปบนศีรษะของเธอ หลับตาลงทั้งสองข้าง ฝังริมฝีปากกับจมูกลงไปบนเรือนผมสีดำหอมนุ่มของเธอ ราวกับคนจมน้ำที่กำลังกอดเกี่ยวขอนไม้เอาไว้

อวี่ฉีลูบแผ่นหลังของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อได้จังหวะเหมาะสมก็เสนอแนะออกมาว่า “คุณอยากออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในโลกไหมคะ ไปผ่อนคลายอารมณ์บ้างดีไหม” เธอเคยหาข้อมูลเจอว่า ส่วนใหญ่เมื่อผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน ก็จะเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก การออกไปเปิดหูเปิดตาจะทำให้จิตใจเบิกบาน หลังจากกลับมา พวกเขาก็พบว่าตัวเองหายขาดจากโรคแล้ว

เวลาผ่านไปด้วยความเงียบงัน ในที่สุดหานเซ่าก็เปรยออกมาเบาๆ ว่า “เธอยินดีจะไปกับฉันไหม“

อะไรจะสุภาพขนาดนั้น เธอพึ่งพาเขาจนแทบจะยืมจมูกเขาหายใจ เขากลับยังพูดว่า เธอยินดีจะไปกับฉันไหม ไม่ใช่ เธอต้องไปกับฉัน นี่สิถึงจะเรียกว่าสุภาพบุรุษที่แท้จริง

อวี่ฉีจะปฏิเสธได้อย่างไร เธอจึงกระซิบตอบว่า “ขอแค่คุณต้องการ ฉันก็จะอยู่เคียงข้างคุณค่ะ”

ผู้ช่วยทั้งหลายของหานเซ่านั้นมีประสิทธิภาพจนน่าทึ่ง ไม่นานก็ทำเรื่องพักการเรียนพร้อมกับเตรียมหนังสือเดินทางให้อวี่ฉีเสร็จสรรพ ดำเนินเรื่องกำหนดแผนการเดินทางและเส้นทางท่องเที่ยว ขนาดตั๋วเครื่องบินและโรงแรมก็จองให้เรียบร้อยทุกอย่าง มีผู้เชี่ยวชาญวางแผนให้อย่างเหมาะสมทุกรายละเอียด เหลือแค่หิ้วกระเป๋าก็ออกเดินทางได้แล้ว

เงินนับเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดในโลกจริง ๆ เมื่อมีเงินก็แทบจะทำได้ทุกอย่าง

คนทั้งสองต่างเพลิดเพลินไปกับการอาบแดดบนชายหาดที่คอสตาริกา ล่องเรือในคลองเวนิส ดูน้ำทะเลสีฟ้าราวกับอัญมณีที่เกาะบาหลี ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสุดลูกหูลูกตาที่พรอว็องส์ ให้อาหารนกพิราบขาวราวกับหิมะรอบจัตุรัสในกรุงปราก และใช้เวลาหนึ่งคืนอย่างบ้าคลั่งในกาสิโนลาสเวกัส…

เมื่อลืมตาขึ้นมาก็จะพบโลกใหม่ที่ต่างกันไปทุกวัน เบื้องหน้ามีทิวทัศน์งดงามและน่าตื่นตารออยู่เสมอ ชีวิตคล้ายกับมีความหวังอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลเข้ามาในทันที ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสวยงามไปหมด

ช่วงแรก ๆ จะมีผู้ช่วยสองคนคอยติดตามอยู่ข้างกายพวกเขาเพื่อคอยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่นานวันเข้า อวี่ฉีก็เริ่มเรียนรู้วิธีการจากพวกเขาจนเข้าใจ และเริ่มจองโรงแรมกับจองตั๋วเครื่องบินด้วยตัวเอง รวมถึงติดต่อรถรับส่งเองด้วย ทุกวันจะพกโน้ตบุ๊กเพื่อวางแผนการเดินทางถัดไป

ผู้ช่วยทั้งสองแยกตัวออกไปอย่างรู้งาน โลกของสองเราที่แท้จริงจึงได้เริ่มต้นขึ้น

อวี่ฉีคำนึงถึงอาการป่วยของหานเซ่า จึงชะลอการเดินทางให้ช้าลงเท่าที่จะทำได้ จากเดิมที่จะหยุดพักเพียงสามสี่วันเมื่อมาถึงในแต่ละที่ เธอก็ยืดเวลาทั้งหมดออกไปเป็นหลายเท่าตัว สุดท้ายก็กลายเป็นหยุดพักนานถึงครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนเต็ม แถมยังเจาะจงเลือกไปสถานที่ที่มีภูมิอากาศและบรรยากาศดีอีกด้วย

ทุก ๆ วันต้องเค้นสมองจัดตารางเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของแต่ละที่ ทั้งยังทุ่มเทกายใจเสาะหาอาหารท้องถิ่นเมนูเด็ดซึ่งใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่ย่อยได้ง่ายหลากหลายประเภท ขัดเกลาฝีมือจนแทบจะเทียบเคียงกับไกด์มืออาชีพได้เลยทีเดียว

หลายเดือนผ่านไป สภาพร่างกายของหานเซ่าดีขึ้นตามลำดับ แต่อวี่ฉีกลับผ่ายผอมลงเนื่องจากทำงานยุ่งทุกวัน

ริมระเบียงของโรงแรม ชายชราชาวจีนข้างห้องเห็นเด็กสาวที่ยุ่งจนไม่ได้พัก ในใจก็อดรู้สึกอิจฉาไม่ได้ “พ่อหนุ่ม เธอมีผู้ช่วยที่ดีนะ”

หานเซ่าคิดไม่ถึงว่าอายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีคนมาเรียกเขาว่าพ่อหนุ่มอีก จึงเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างสุภาพตอบกลับไปเท่านั้น “เธอไม่ใช่ผู้ช่วยครับ” ยังไม่ทันขาดคำ อวี่ฉีก็ยกน้ำกีวีแก้วหนึ่งออกมาวางไว้บนโต๊ะขาวขนาดเล็กที่อยู่ข้างมือของเขา

หานเซ่ากุมมือเธอที่วางอยู่บนบ่าของเขา แล้วแนะนำเธอกับชายชราท่านนั้นอย่างจริงจัง “เธอคือคนรักของผม”

เขาไม่ได้ใช้คำว่าแฟน ที่รัก หรือหานิยามอย่างอื่นเพื่อเรียกเธอ แต่กลับใช้คำว่าคนรัก คำที่จริงจังที่สุดคำนี้แทน

อวี่ฉีตะลึงจนพูดไม่ออก แต่ก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าเผยรอยยิ้มสว่างสดใส ผงกศีรษะให้ผู้อาวุโส “สวัสดีค่ะ!”

ชายชราดึงสติกลับมา ทั้งที่อายุของคนทั้งสองห่างกันไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไปเลย กลับกัน แววตาของเขาดูเมตตาเอื้ออารี ภายในรอยยิ้มใจดีแฝงคำอวยพรเอาไว้

สักพักต่อมา อวี่ฉีก็ย่อตัวลงเล็กน้อยอยู่ข้างตัวหานเซ่า แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “ตอนกลางคืนมีงานเลี้ยงรอบกองไฟ จะไปกันไหมคะ“

หานเซ่ายกมือขึ้นสัมผัสแก้มของเธอ ลูบมันอย่างแผ่วเบาครู่หนึ่งก็ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เธอผอมลงอีกแล้ว” เขารู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ในใจ “ฉันติดค้างเธอมากเหลือเกิน”

อวี่ฉีกุมมือขวาของเขาที่แนบอยู่บนแก้มตัวเอง แล้วดึงมันมาที่ข้างริมฝีปาก ก่อนจะจุมพิตอย่างนุ่มนวลครั้งหนึ่ง เสียงที่เอ่ยเบาหวิว ทว่ากลับอ่อนโยนยิ่งกว่าอะไร “ไม่เลยค่ะ การได้อยู่ข้าง ๆ คุณถือเป็นเกียรติของฉัน”

หานเซ่าลูบผมดำนุ่มลื่นของเธออย่างนุ่มนวล ภายในดวงตาหงส์เรียวยาวเปี่ยมด้วยประกายอ่อนโยน สุ้มเสียงของเขาอบอุ่น ละมุนละไม และเชื่องช้า “อวี่ฉี การได้พบเธอต่างหากเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตนี้ของผู้ชายชื่อหานเซ่า”

สุดท้าย คืนนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปงานเลี้ยงรอบกองไฟ แต่เลือกที่จะเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องบินไปยังที่หมายถัดไปแล้ว

ตอนเที่ยงคืน หานเซ่าลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ เมื่อกลับมาที่เตียงเขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างแปลกไปอย่างบอกไม่ถูก หลังล้มตัวนอนอีกครั้งก็ได้แต่พลิกตัวไปมา แต่ไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างโดยบังเอิญ เขากลับเห็นกลุ่มควันไฟหนาพวยพุ่งขึ้นมาจากบริเวณที่ห่างไปไม่ไกล

พอคิดขึ้นได้ว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงรอบกองไฟ หัวใจของเขาก็พลันหล่นวูบ บางทีงานเลี้ยงอาจเกิดความผิดพลาดจนทำให้ไฟติดลุกลามก็เป็นได้ เขารีบร้อนสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นทันที ทั้งสมองจดจ่ออยู่กับความคิดเพียงหนึ่งเดียวคืออวี่ฉีอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า

เขาพุ่งออกจากห้องรีบเร่งมาถึงห้องข้าง ๆ ทว่าเมื่อเคาะประตูกลับไม่มีคนตอบรับ

หากว่าเธออยู่ในบริเวณที่จัดงานเลี้ยงรอบกองไฟนั้นด้วย บางทีอาจจะได้รับบาดเจ็บไปแล้วก็เป็นได้

ภายใต้ความตึงเครียดอันร้อนรน เขารู้สึกได้แค่ว่าบริเวณท้องเกิดอาการปวดแปลบขึ้นมาเป็นระลอก หานเซ่าค้อมตัวไปด้านหน้า ทั้งร่างแทบจะขดจนเป็นก้อนกลม ๆ เขาพิงตัวกับประตูห้องด้านหลังอย่างไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดลงมา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว เขาสัมผัสได้ราง ๆ ว่ามีคนพยุงตัวเขาขึ้นมาจากพื้น หานเซ่าพยายามลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ทว่ากลับถูกเหงื่อเย็นเฉียบบดบังสายตาไว้จนพร่ามัว แต่แล้วก็รู้สึกคุ้นตาโครงหน้าของคนข้างตัวเป็นอย่างยิ่ง

เขายื่นมือไปคว้าแขนของเธอเอาไว้แน่น หอบหายใจอยู่พักหนึ่งถึงฝืนสงบสติอารมณ์ลงได้ “เธอไปไหนมา”

อวี่ฉีใช้แขนเสื้อช่วยเช็ดเหงื่อเย็นเฉียบบนหน้าผากให้เขา “ฉันได้ยินเสียงเอะอะค่ะ เลยไปดูว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เหมือนจะมีพนักงานทำเรื่องผิดพลาด แต่แป๊บเดียวก็แก้ปัญหาได้แล้วค่ะ” เธออธิบายรวดเดียวจนจบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ประคองเขาอย่างเป็นกังวล “แล้วคุณล่ะ? เป็นอะไรหรือเปล่า พวกเราไปหาหมอกันตอนนี้เลยดีไหมคะ”

หานเซ่ารวบตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอด เหงื่อเย็นเฉียบข้างขมับยังไม่แห้ง บริเวณท้องก็ยังคงปวดตุบๆ ทว่าเพราะรับรู้ถึงการมีอยู่ของคนในอ้อมกอด จิตใจจึงผ่อนคลายลงในที่สุด

ณ ที่นี่ ในตอนนี้เอง เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของเด็กสาวคนนี้ที่มีต่อเขา

อวี่ฉีโอบกอดเขากลับ ยังคงเป็นห่วงอีกฝ่ายอยู่ “คุณรู้สึกยังไงบ้างคะ ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”

หลังผ่านความเงียบงันครู่หนึ่งไปแล้ว เสียงติดแหบพร่าของหานเซ่าก็ดังแว่วมาจากเหนือศีรษะของเธออย่างกะทันหัน แม้จะฟังดูเหนื่อยอ่อนเนื่องจากความเจ็บปวดเพิ่งจะผ่านพ้นไป แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างถึงที่สุด “อวี่ฉี ได้โปรดใช้ชีวิตที่เหลือเคียงข้างฉัน”

ชั่วเวลาหนึ่งเธอยังไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร จึงถามออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “อะไรนะคะ”

แม้จะไม่อาจปกปิดความอิดโรยเอาไว้ได้ก็ตาม แต่ถ้อยคำและเสียงของเขากลับอ่อนโยนหาใดเปรียบ “ฉันไม่อาจห่างจากเธอได้อีกแล้ว อวี่ฉี” เขาเว้นระยะครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ได้โปรดแต่งงานกับฉันเถอะนะ”

ต่อให้จะเป็นบาปอันหนักหนา ต่อให้เวลาจะมีจำกัด เขาก็ยังต้องการแต่งเธอเป็นภรรยาอยู่ดี

ลมยามค่ำคืนพัดผ่านแก้มไป นกนิรนามส่งเสียงร้องมาจากที่ห่างไกล เด็กสาวผมดำตอบ อืม คำหนึ่งเสียงเบาหวิว สองแขนที่กอดอยู่บนเอวของชายคนนั้นค่อย ๆ กระชับจนแน่น

———————————————