หนึ่งในภารกิจที่เป็นงานของอวี่ฉีคือการการันตีว่าคู่พระ-นางในนิยายแต่ละเรื่องจะได้ครองคู่อยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาไปจนจบ หลังภารกิจเสร็จสิ้น หากเธอจากไปทันทีก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวร้ายชายจะกลับไปทำตัวชั่วช้าเลวทราม และไปหาเรื่องวุ่นวายกับพระเอกนางเอกอีกครั้ง

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ในตอนที่อวี่ฉีออกมาจากนิยาย สำนักงานใหญ่จะสร้างร่างโคลนจากความทรงจำกับบุคลิกภาพของเธอไว้ และจะเหลือร่างโคลนนี้เป็นตัวแทนทิ้งไว้ในนิยาย รอจนทุกอย่างจบลง ความทรงจำที่ร่างใหม่ได้รับจะโอนกลับเข้าสู่ร่างของอวี่ฉีเอง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เธอสามารถดึงมาใช้เพื่อเอาตัวรอดในยามทำภารกิจในภายภาคหน้า

หรือถ้าจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ ร่างหลักของอวี่ฉีจะออกจากนิยายเพื่อไปทำภารกิจถัดไป แต่ร่างแยกของเธอจะยังคงอยู่เพื่อจัดการเรื่องทุกอย่างแทน

ชั่ววินาทีที่อวี่ฉีจากไป ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้แตกกระจายเป็นส่วน ๆ แล้วประกอบขึ้นใหม่ พริบตาเดียวก็โคลนความทรงจำและบุคลิกภาพเสร็จสิ้น

หลังรูม่านตาของอวี่ฉีขยายกว้างแล้วหรี่เล็กลงอีกครั้ง เธอก็ผละออกจากอ้อมกอดผ่ายผอมของหานเซ่าอย่างนุ่มนวล และพยุงแขนของเขาเอาไว้ “ทางเดินลมมันแรง ให้ฉันประคองคุณกลับห้องนะคะ”

วันถัดมาตอนที่หานเซ่าลืมตาตื่น ก็มองเห็นอวี่ฉีนอนฟุบหน้าหลับสนิทอยู่ข้างเตียง เขาอยากจะยกมือขึ้นลูบเส้นผมสีดำของเธอ แต่กลับพบว่ามือขวาของตัวเองนั้นถูกเธอกุมเอาไว้แน่น

เขาชะงักไปสักพัก ก่อนบีบมือเธอกลับ จากนั้นก็ปลุกให้เธอตื่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขึ้นมานอนบนเตียงเถอะ นั่งบนพื้นมันเย็น”

อวี่ฉีลืมตาทั้งสองข้างอย่างเชื่องช้า หลังสบตากับหานเซ่าก็คลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วยันตัวขึ้นจุมพิตแผ่ว ๆ ที่ข้างแก้มของเขา เสียงของเธออ่อนหวานเป็นที่สุด “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

หานเซ่าเผยรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์”

เดิมทีพวกเขาต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวบ่ายสามโมง แต่เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อวี่ฉีจึงเลื่อนเที่ยวบินออกไปอีกครึ่งเดือนให้หลังแทน เพื่อให้หานเซ่าได้มีเวลาฟื้นฟูร่างกายให้ดีเสียก่อน

ที่นี่มีป่าฝนอุดมสมบูรณ์ หาดทรายแสนงดงาม ไหล่เขาปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าอ่อนนุ่มเขียวขจีและทะเลสาบใสกระจ่าง ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอยู่นานแล้วจะรู้สึกเบื่อหน่ายแต่อย่างใด

ทุก ๆ วัน ทั้งคู่จะคล้องแขนเดินเล่นริมชายหาดเป็นประจำ ฝ่าเท้าย่ำลงบนทรายละเอียดอันอ่อนนุ่ม ปล่อยให้น้ำทะเลอุ่น ๆ ซัดผ่านหลังเท้าไป มองนกนางนวลสีขาวปลอดราวหิมะโฉบลงมาจากฟ้าสูงแล้วเหินกลับขึ้นไปใหม่ บางคราพวกเขาก็ใช้เวลาเดินทอดน่องที่ชายป่าฝน หากโชคดีก็จะได้เห็นเงาร่างของนกน้อยหลากสีสันจำนวนหนึ่งบินโฉบผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วย

โรงแรมที่พวกเขาพักตั้งอยู่บนไหล่เขาเล็ก ๆ ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยสนามหญ้าเขียวชอุ่ม เมื่อย่ำเท้าลงไปก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มราวกับพรมขนหนา

เธอและหานเซ่ายังคงใช้เวลาส่วนมากอยู่แต่ในโรงแรม อวี่ฉีสรรหาภาพยนตร์ตลกทุกประเภทที่มีมาให้ เมื่อปิดม่านหน้าต่างผืนหนาของห้องชุดจนสนิท ทั้งคู่ก็สามารถนอนเอกเขนกอยู่บนเตียงดูหนังกันตลอดบ่ายได้แล้ว

ตกค่ำ อวี่ฉีจะเปิดโคมไฟตรงหัวเตียงและเปิดเพลงทำนองช้า ๆ ชวนผ่อนคลาย แล้วเลือกหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ไม่ก็นิยายหลากหลายรูปแบบมาอ่านให้เขาฟัง

ทุกครั้งหานเซ่าจะยิ้มพลางลูบผมยาวนุ่มลื่นของเธออย่างแผ่วเบา “ฉันแค่กระเพาะอาหารไม่ดีเท่านั้น ส่วนสายตายังดีอยู่นะ”

ครึ่งเดือนถัดมา พวกเขาก็ขึ้นเครื่องบิน และบินไปยังเมืองริมทะเลอันสวยงามแห่งหนึ่ง

พวกเขาซื้อบ้านพักตากอากาศแบบดูเพล็กซ์สามชั้นหลังหนึ่ง แล้วพักอาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อไปอีกระยะยาว

สภาพอากาศของที่นี่เหมาะสมกำลังดี ต้นปาล์มที่อาบไล้แสงอาทิตย์สีทองเรียงรายริมชายหาดสวยงามเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีเหล่าเพื่อนบ้านที่ใช้ชีวิตสำราญใจอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายว่าเวลาดำเนินไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่เคยเมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นใครก็ตามได้มาเยือนเมืองแห่งนี้ต้องล้วนประทับใจ เพราะทุก ๆ วันจะดำเนินไปด้วยความสบายใจราวกับวันหยุดพักผ่อน

เดิมทีอวี่ฉีตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่หานเซ่ากลับห้ามเธอเอาไว้ แล้วจ้างแม่บ้านมาสองคน เขาโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอด “อวี่ฉี เธอคือสุดที่รักของฉันนะ ไม่ใช่คนรับใช้ แค่รั้งเธอไว้ข้างตัว ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวจะแย่แล้ว ยังจะปล่อยให้เธอเหนื่อยแบบนี้อีกได้ยังไง”

ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าการเก็บเธอไว้ข้างกายคือการขังเธอไว้ในนรกด้วยน้ำมือของตนเอง ภายในใจลึก ๆ จึงรู้สึกผิดเสมอมา และได้แต่โทษตัวเองไม่จบไม่สิ้น

ความรู้สึกเชิงลบไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นฟูสภาพร่างกาย อวี่ฉีดึงฝ่ามือติดจะเย็นของเขามาแนบลงบนแก้มอุ่น ๆ ของตัวเอง เสียงของเธออ่อนโยนยิ่งกว่าใคร “ฉันยินดีที่จะทำเอง แล้วจะรู้สึกเหนื่อยได้ยังไงกันล่ะคะ” เธอเงียบลง แล้วคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “บนโลกใบนี้จะมีเด็กสาวสักกี่คนที่ได้รับคำขอแต่งงานจากคนที่เธอรัก? ฉันโชคดีที่สุดแล้วค่ะ”

“แต่สุดท้ายฉันก็ไม่สามารถอยู่เคียงข้างเธอไปตลอดทั้งชีวิตได้” เขารู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด ลูบไล้แก้มของเธอแผ่วเบา ท่าทางรักใคร่โหยหาเกินพรรณนา “รับปากกับฉัน อวี่ฉี หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว เธอจะต้องหาผู้ชายที่รักเธอสักคน แล้วให้โอกาสเขาได้ดูแลเธอไปทั้งชีวิต”

เธอลุกขึ้น กอดเอวของเขาเอาไว้หลวม ๆ แล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองดวงตาหงส์เรียวยาวอันงดงามของเขา เสียงที่เธอเอ่ยทั้งอ่อนโยนทั้งสงบนิ่ง “ชีวิตนี้ของอวี่ฉีจะไม่มีคนรักคนที่สองอีกแล้วค่ะ”

หานเซ่ามองเธออย่างนิ่งงันไปสักพัก สุดท้ายก็ถอนหายใจราวกับยอมจำนนให้ เขาโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แนบหน้าผากลงบนหน้าผากของเธอ ยกมือขึ้นกุมมือของเธอเอาไว้แผ่วเบา สอดประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกัน “อวี่ฉี ฉันจะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อให้จะสามารถอยู่เคียงข้างเธอเพิ่มขึ้นได้แค่วันเดียวก็ตาม”

เธอรู้สึกแสบจมูกนิด ๆ คล้ายจะร้องไห้ แต่ก็ยังคลี่ยิ้มออกมา กล่าวคำอย่างหนักแน่นและมั่นคง “ฉันบอกหลายครั้งแล้วไงคะ ว่าคุณจะอายุยืนถึงร้อยปีแน่นอน”

หลายวันต่อมา หานเซ่าสั่งให้แม่บ้านซื้อเต่าเหลืองมาหนึ่งตัว แล้วตั้งมันไว้ที่ด้านหนึ่งของห้องรับแขก

อวี่ฉีจับต้นชนปลายไม่ถูก ยืนงุนงงสับสนอยู่ที่หน้าโหลแก้ว “ทำไมคุณถึงคิดอยากเลี้ยงเต่าขึ้นมาล่ะคะ”

หานเซ่าโอบไหล่ของเธอเอาไว้หลวม ๆ “ให้เธอไว้เป็นสัตว์เลี้ยงไง ชอบไหม”

สมกับที่เป็นหานเซ่า ขนาดจะเลี้ยงสัตว์สักตัวตามใจชอบ ยังแปลกไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเลย

อวี่ฉีกุมมือขวาของหานเซ่าที่พาดอยู่บนไหล่ของเธอ เอียงศีรษะหันไปมองเขาพลางยิ้มออกมา “มันเป็นของที่คุณให้ แล้วจะไม่ชอบได้ยังไงล่ะคะ แต่ทำไมถึงต้องเป็นเต่าด้วยล่ะ”

หานเซ่าพลิกมือมากุมมือของเธอเอาไว้ ดวงตาหงส์เรียวยาวคู่นั้นลุ่มลึก เปี่ยมล้นไปด้วยความอ่อนโยน “เต่ามีชีวิตยืนยาว ฉันหวังว่ามันจะอยู่เคียงข้างเธอไปจนถึงบั้นปลายแทนฉันได้”

ชั่วขณะหนึ่ง อวี่ฉีพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ยิ่งเขาอ่อนโยนมากเท่าไร ในหัวใจของเธอก็ยิ่งปวดร้าวมากเท่านั้น

เขาโอบเธอเข้ามาในอ้อมกอดหลวม ๆ เหมือนปฏิบัติต่อเด็กที่กำลังรู้สึกน้อยใจอยู่ มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา “อวี่ฉี อวี่ฉี ร่าเริงหน่อยเถอะนะ ฉันซื้อมันมาเพราะอยากให้เธอมีความสุข ไม่ใช่เพราะอยากให้เธอเสียใจหรือเจ็บปวด” เขาเว้นช่วง แล้วพูดยิ้ม ๆ เหมือนกำลังปลอบเด็กน้อย “ตั้งชื่อให้มันสักชื่อสิ”

อวี่ฉีซบอยู่กับอกของเขา ตอบเสียงอู้อี้ดังแว่วออกมาว่า “เรียกมันว่าอาเซ่าดีไหมคะ”

หานเซ่าชะงักค้าง เขาพลันนึกถึงวันที่เมามายวันนั้น เธอเรียกเขาว่าอาเซ่าด้วยเสียงแผ่วเบานุ่มนวล ภาพความทรงจำชัดเจนมาก ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

เมื่อหลุดจากภวังค์ เขาก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “ได้ เรียกมันว่าอาเซ่าแล้วกัน”

 ————————–

สี่ปีต่อมา อวี่ฉีก็อายุยี่สิบปีบริบูรณ์

ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งวันหนึ่ง ท้องฟ้ามีเพียงหมู่เมฆลอยพลิ้ว และสายลมคอยพัดโชยเอื่อย พวกเขาจัดงานแต่งงานขึ้นในโบสถ์เก่าแก่หลังหนึ่ง

หลังคาโดมสูงให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม แท่นพิธีใหญ่โตอร่ามเรืองรอง ทำให้คนมองรู้สึกถึงพลังศรัทธาอันน่าเคารพยำเกรง

บาทหลวงสบตาหานเซ่า “คุณยินดีจะรับหญิงสาวท่านนี้เป็นภรรยาของคุณไหม ไม่ว่าในยามไข้หรือสบายดี ยากไร้หรือมั่งมี ยามเด็กหรือแก่เฒ่า ยามสุขหรือยามทุกข์ คุณก็ยินดีที่จะรักเธอ ปลอบโยนเธอ ให้เกียรติเธอ ปกป้องเธอ และจะซื่อสัตย์ต่อเธอไม่เปลี่ยนแปลงตราบจนชีวิตจะหาไม่ ใช่หรือไม่?”

เสียงกล่าวเป็นภาษาต่างประเทศทุ้มต่ำสะท้อนก้องอยู่ภายในโบสถ์ ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติยิ่งไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว

หานเซ่าผ่ายผอมลงกว่าหลายปีที่แล้ว แต่เสียงของเขากลับอ่อนโยนละมุนละไมเหมือนเมื่อก่อนไม่มีเปลี่ยน “ผมยินดีครับ”

บาทหลวงหันมาหาอวี่ฉี “คุณยินดีจะรับชายท่านนี้เป็นสามีของคุณหรือไม่ ไม่ว่าในยามไข้หรือสบายดี ยากไร้หรือมั่งมี ยามเด็กหรือแก่เฒ่า ยามสุขหรือยามทุกข์ คุณก็ยินดีที่จะรักเขา ปลอบโยนเขา ให้เกียรติเขา ปกป้องเขา และซื่อสัตย์ต่อเขาไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตหรือไม่?”

โครงหน้าของอวี่ฉีเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ใบหน้านั้นงดงามละเอียดอ่อนราวกับผลงานชิ้นเอกจากพระเจ้า เธอแย้มยิ้มน้อย ๆ เสียงที่กล่าวนุ่มนวลทว่าหนักแน่น “ดิฉันยินดีค่ะ”

บาทหลวงประกาศให้คนทั้งสองแลกแหวนกันได้แล้ว หานเซ่าเอียงตัวมองไปยังเธอ ภายในดวงตาหงส์ลุ่มลึกฉาบด้วยความอบอุ่นอ่อนโยนอยู่ราง ๆ ส่วนเธอก็เอาแต่จ้องมองเขายิ้ม ๆ อยู่อย่างนั้น ลักยิ้มน้อย ๆ ข้างแก้มดูอ่อนหวานหาใดเปรียบ

หานเซ่ายิ้มออกมาเช่นกัน ก่อนกล่าวตามบาทหลวงเสียงนุ่มว่า “แหวนวงนี้คือเครื่องหมายแต่งงานที่ผมจะมอบให้คุณ ผมขอรับคุณเป็นภรรยา ขอรักคุณ ปกป้องคุณ ไม่ว่ายากไร้หรือมั่งมี ไม่ว่าในยามไข้หรือสุขสบาย ผมจะเป็นสามีที่ซื่อสัตย์ของคุณตลอดไป” เขาบรรจงสวมแหวนลงที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอ อ่อนโยนเหมือนกำลังปฏิบัติต่อเครื่องเคลือบที่แสนเปราะบางอยู่

อวี่ฉียิ้มให้เขา ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วค่อย ๆ สวมแหวนลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของเขา พร้อมกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนและจริงใจ “แหวนวงนี้คือเครื่องหมายแต่งงานที่ดิฉันมอบให้คุณ ดิฉันขอรับคุณเป็นสามี ขอรักคุณ ปกป้องคุณ ไม่ว่ายากไร้หรือมั่งมี ไม่ว่าในยามไข้หรือสบายดี ดิฉันจะเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ของคุณตลอดไป”

บาทหลวงยิ้มบาง ๆ “ขอให้ท่านทั้งสองกล่าวตามพ่อพร้อมกัน”

พวกเขาสบตากันแล้วยิ้ม เอ่ยปากพูดประสานเสียงอย่างรู้ใจกันเป็นอย่างดี “คุณไปทางไหน ฉันก็จะไปทางนั้น คุณอยู่ที่ไหน ฉันก็จะอยู่ที่นั่น ประเทศของคุณคือประเทศของฉัน พระเจ้าของคุณก็คือพระเจ้าของฉันเช่นกัน” เสียงของพวกเขาสอดประสานกันเป็นหนึ่งเดียวอย่างสมบูรณ์แบบ

เสียงของบาทหลวงสะท้อนก้องภายในโบสถ์ “ด้วยอำนาจที่พระคัมภีร์ไบเบิลมอบไว้ให้กับพวกเรา บัดนี้ขอประกาศว่า ท่านทั้งสองเป็นสามีภรรยากันแล้ว สิ่งที่พระเจ้าได้รวมให้เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น มนุษย์ไม่อาจแยกจากกันได้”

บนพรมแดงที่เต็มไปด้วยกลีบกุหลาบโปรยปราย เขาเปิดผ้าคลุมหน้าสีขาวบนใบหน้าของเธอออกอย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ก้มศีรษะลงจุมพิตเธอ

มือของเขาวางลงบนเส้นผมสีดำของเธอเบา ๆ คล้ายยามถูกญาติผู้ใหญ่เอื้อเอ็นดู ทั้งยังอ่อนโยนและรักใคร่ราวกับสามีคนหนึ่งด้วย เขาผ่อนลมหายใจเอื่อย ๆ อยู่ข้างใบหูของเธอ “อวี่ฉี เธอคือเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบเจอมาในชีวิตนี้”

เธอโอบรอบเอวของเขาไว้ แล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ในสายตาของเจ้าบ่าวทุกคน บนโลกใบนี้ไม่มีเด็กสาวคนไหนจะสวยมากไปกว่าเจ้าสาวของพวกเขาอีกแล้ว

———————————————