บทที่ 3 พัฒนา
7 วันต่อมาอาคารซับซ้อนรอบวังไร้ขอบเขตก็สร้างเสร็จ ที่เหลือคือตกแต่งภายในเท่านั้น
ซึ่งนับว่าเป็นงานละเอียด ใช้วิชาเร่งให้เร็วไม่ได้ ดังนั้นจึงใช้เวลานานพอสมควร
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญ เพราะอย่างไรการก่อสร้างก็เสร็จสิ้นแล้ว จึงไร้ปัญหาในการใช้ชีวิตอีก
หลังการก่อสร้างขั้นต้นเสร็จก็ยังมีเรื่องที่นิกายไร้ขอบเขตต้องทำอีกมาก
ประการแรกคือการพัฒนาลำดับชั้น
โครงสร้างเดิมของกองทัพกำลังสวรรค์ย่อมเก็บไว้ไม่ได้ คุยกันแล้ว นิกายไร้ขอบเขตจึงแบ่งออกเป็น 3 ส่วน หน่วยสายเพลิง หน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟู หน่วยคันฉ่องพิสุทธ์
ทั้ง 3 หน่วยรับหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการต่อสู้ ทรัพยากร และความสัมพันธ์มนุษย์ตามลำดับ
หน่วยสายเพลิงถูกแบ่งออกเป็น 6 หอ รับหน้าที่เกี่ยวกับการต่อสู้ รวบรวมข่าว ป้องกันนิกาย และเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
หน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟูรับผิดชอบดูแลทรัพยากร แยกออกเป็น 6 หอเช่นกัน ดูแลหลัก ๆ เรื่องการเกษตร การก่อสร้าง การเพาะพันธุ์สัตว์ และเรื่องในบ้านเรือน ตลาด ร้านค้า และเรื่องที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
หน่วยคันฉ่องพิสุทธ์รับผิดชอบเรื่องความสัมพันธ์มนุษย์ ถูกแบ่งเป็น 6 หอ หน้าที่หลักคือการรักษากฎหมาย ฝึกฝน สอดส่องดูแล แจกจ่ายภารกิจ และเรื่องที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
กองทัพกำลังสวรรค์ล้วนเป็นทหารทั้งหมด เชี่ยวชาญการต่อสู้ ดังนั้นหน่วยสายเพลิงจึงไม่ขาดคน แต่หน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟูและหน่วยคันฉ่องพิสุทธ์ดูแลเรื่องทรัพยากรและความสัมพันธ์มนุษย์ เทียบกันแล้วจึงขาดกำลังคนมากกว่า
โชคดีที่มีการเพิ่งจะตั้งขึ้น สมาชิกภายในจึงเป็นเพื่อนร่วมสนามรบ มีความสามัคคีสูง จึงไร้ปัญหาในการใช้ชีวิตร่วมกัน ผลที่ออกมาคือแม้อีก 2 หน่วยจะขาดกำลังคน แต่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะคนอื่นก็คอยช่วยและสนับสนุนในขณะที่นิกายก็เติบโตไปเรื่อย
หลี่ฉงซานรับผิดชอบหน่วยสายเพลิง มีหลินเฉ่าเซวียนเป็นผู้ช่วย ฉู่อิงหว่านรับผิดชอบหน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟู มีฉือไคฮวงเป็นผู้ช่วย แม้ก่อนหน้าฉือไคฮวงจะมีตำแหน่งค่อนข้างสูง แต่ก็มุ่งเพียงเรื่องวิจัย มีอำนาจดูแลน้อยกว่าฉู่อิงหว่าน เมื่อถูกลดฐานะจึงไม่คิดมาก แท้จริงแล้วยังดีใจที่ได้ทำวิจัยต่อ กัวเหวินฉางรับผิดชอบหน่วยคันฉ่องพิสุทธ์ เขาอ่อนแอที่สุดในหมู่แม่ทัพทั้ง 7 แห่งกองทัพกำลังสวรรค์ แต่สติปัญญาล้ำเลิศนัก ในฐานะกุนซือประจำทัพ ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งจัดการเรื่องความสัมพันธ์ของนิกายไปมากกว่าเขาแล้ว เดิมทีถังเจี๋ยจะให้เขาดูแลหน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟูเพราะเขาชำนาญด้านการจัดการเงิน แต่ในเมื่อเรื่องการเมืองย่อมซับซ้อนกว่า กัวเหวินฉางจึงถูกวางให้รับผิดชอบหน่วยคันฉ่องพิสุทธ์โดยมีจวินโม่เสียเป็นผู้ช่วย
เฉิงเถียนไห่ที่หายไปมีนิสัยดุดันโผงผาง ไม่คิดอะไรมาก นับว่าไม่เหมาะจะรับผิดชอบหน่วยใหญ่ ดังนั้นจึงถูกตั้งให้เป็นหัวหน้าหอต่อสู้ ยังดีที่เขาไม่คิดอะไรจึงไม่ใส่ใจสักนิด
ทหารทั้ง 73 นายที่ติดตามซูเฉินถูกจัดเป็นหน่วยนักดาบ มีเล่อเฟิงเป็นคนดูภายใต้คำสั่งซูเฉินอีกที
หลังจากวางระบบแล้ว ก็ค่อย ๆ ออกแบบกฎของแต่ละหน่วยออกมา นิกายไร้ขอบเขตเป็นของอาณาจักรหลงซางเพียงในนาม แต่เพราะเป็นเขตแดนส่วนตัวของซูเฉิน เขาจึงมีอำนาจสูงสุด ดังนั้นจึงตั้งกฎขึ้นเองได้ รวมถึงอัตราภาษี ตราบเท่าที่ไม่คิดต่อต้านหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลหลินก็จะไม่มีใครใส่ใจ
ทว่าเขตเขาหมื่นดาบไม่มีใครอาศัยอยู่ เมืองผาเรียบ พูดกันโดยแท้ ไม่ได้อยู่ในเขตเขาหมื่นดาบ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่อาจเก็บภาษีพวกเขาได้
หากต้องการทำ ก็คงเริ่มเก็บได้จากศิษย์ในนิกายทั้ง 8,000 ก่อน
เคราะห์ดีที่ซูเฉินไม่ใส่ใจเรื่องนี้มาก แต่แน่นอนว่าเรื่องรายได้ของนิกายยังต้องนำขบคิด เพียงแต่เขาไม่ได้รีบร้อนเท่านั้น
ต่อมาก็เป็นการขยายนิกายอย่างเป็นทางการ
การรับคนเข้าใหม่หรือขยายทางเข้าไม่ใช่การขยับขยาย จำต้องพัฒนาสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศของนิกายให้เพียบพร้อมเสียก่อน
ดังนั้นหลังจากการก่อสร้างเสร็จไม่นาน หน่วยรุ่งเรืองเฟื่องฟูเพิ่งเริ่มลงมือทำงานทันที โดยเริ่มจากการพัฒนาการเกษตรก่อน
หากหอการเกษตรไม่มีคนก็ยังไม่เป็นไร สามารถดึงเอาคนจากหน่วยสายเพลิงได้ !
ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องจัดการ แต่คนในนิกายล้วนสามัคคีกัน นิกายไร้ขอบเขตในตอนนี้กำลังแข็งแกร่งที่สุด ศิษย์ทั้งหลายมองตนเองเป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ
ทหารกองทัพกำลังสวรรค์มีฝีมือไม่ธรรมดา วันนี้อาจเป็นคนงานก่อสร้าง พรุ่งนี้อาจไปเป็นเกษตรกรได้
เริ่มต้นด้วยการใช้ดาบกรุยพื้นที่แล้วสร้างร่องขึ้นมา สุดท้ายก็ใช้วิชาเรียกฝนช่วยให้ดินชุ่มฉ่ำ เหมาะแก่การปลูกพืชมีพลังต้นกำเนิด จากนั้นก็หว่านเมล็ด
ซูเฉินได้พืชพันธุ์ต่าง ๆ นานามาจากแดนสัตว์อสูรและคนเถื่อนมากมาย ยังมีต้นที่สามารถนำมาปลูกต่อได้และไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็นำมันมาปลูกทั้งหมด
นั่นก็เพราะเขามีหญ้าต้นน้ำ
หญ้าต้นน้ำสามารถเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับพื้นที่โดยรอบได้สูง หล่อเลี้ยงผืนดินด้วยพลังวิญญาณและสารอาหารอันอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาลได้ ทำให้เหมาะกับการปลูกพืชแต่ละชนิดได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม พืชส่วนมากที่ซูเฉินนำมาปลูกในที่นี้สามารถเจริญเติบโตต่อได้ก็เป็นผลมาจากพลังของหญ้าต้นน้ำ
แม้หญ้านี้จะไม่สามารถทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นได้เพราะเป็นทรัพยากรเชิงกลยุทธ์ แต่มันก็เป็นรากฐานให้นิกายไร้ขอบเขต สร้างทรัพยากรอันสมบูรณ์ให้อีกมาก
หญ้าต้นน้ำเป็นสมบัติของหอการเกษตร ส่วนสมบัติล้ำค่าอีกชิ้น ศิลาดนตรีแห่งสัจธรรม มอบให้หออบรมของหน่วยคันฉ่องพิสุทธ์ หรือพูดให้ชัดก็คือสถาบันไร้ขอบเขต
ซูเฉินไม่เห็นแก่ตัวเก็บสมบัติไว้คนเดียว แต่นำมาให้คนอื่นได้ใช้ด้วย
สถาบันไร้ขอบเขตเป็นสถานที่ศึกษาของเหล่าศิษย์ ทุกคนรวมถึงทหารเก่าของกองทัพกำลังสวรรค์ต้องมาฝึกฝนอยู่ที่นี่
ผู้ฝึกคือเจียงหลิ่ว
แม้เขาจะอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ เจียงหลิ่วก็เป็นคนที่เข้าใจวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ได้ดีที่สุด ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถฝึกมันได้อย่างรวดเร็วที่สุด ใช้เวลาเพียง 50 วันก็ทะลวงด่านได้แล้ว ทั้งยังคงไม่เป็นคนแรกที่สามารถควบคุมอาวุธวิญญาณได้อีกด้วย
สถาบันไร้ขอบเขตสอนเพียงวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ ซึ่งเป็นวิชาที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นมาเพียงคนเดียว
เจียงหลิ่วควบคุมวิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์ได้ดีที่สุดจึงได้เป็นอาจารย์ ทั้งยังเป็นรองอาจารย์ใหญ่สถาบันไร้ขอบเขตคนแรก ส่วนอาจารย์ใหญ่ย่อมเป็นของซูเฉิน
โชคไม่ดีที่ทหารกองทัพกำลังสวรรค์ล้วนมีภาระในมือ ดังนั้นจึงเป็นศิษย์เพียงในนาม ศิษย์เต็มเวลาเพียงคนเดียวในตอนนี้มีเพียงเถียนนิว
ชื่อจริงของเถียนนิวคือหลีเถียน คนอื่น ๆ เรียกนางว่าเถียนนิวจนชินชามานาน
แต่หลังจากมาถึงนิกายไร้ขอบเขต เถียนนิวรู้สึกว่าชื่อนี้ไม่เหมาะกับการเป็นผู้เชี่ยวชาญพลัง จึงเปลี่ยนชื่อกับเป็นชื่อเดิม ซึ่งก็คือหลีเถียน
โดยทฤษฎีแล้ว เด็กสาวนับว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว พลาดโอกาสช่วงบ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดไปแล้ว ทั้งสติปัญญายังไม่ได้ล้ำเลิศ หมายความว่าเป็นศิษย์ที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าไหร่นะ
แต่ซูเฉินเชื่อในการศึกษาโดยไม่เกี่ยงความสามารถ เขาไม่สนด้วยซ้ำว่าศิษย์นิกายจะเป็นมนุษย์หรือไม่ แล้วจะสนความฉลาดด้วยหรือ ?
ในสายตาเขา ไม่ว่าใครก็สามารถบ่มเพราะพลังได้
ความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังไม่ได้หมายความว่าเดินไปสู่จุดมุ่งหมายได้หรือไม่ หากเริ่มออกเดินในหนทางนี้แล้ว ไม่ว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหนก็ไร้คำว่าล้มเหลว
หากมีความสามารถ เราก็สามารถเดินไปตามเส้นทางนี้ได้ตลอดทางใช้ชีวิตอย่างไม่ใส่ใจอะไรได้ อาจมีมันสมองไม่ฉลาดล้ำเลิศมากมาย คงทะลวงไม่ผ่านเกินไปกว่าด่านกลั่นโลหิตด้วยซ้ำ แต่แค่นั้นก็ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจนถึงที่สุด มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้เล่า ?
หากมีแต่มังกรในหมู่คนที่จะสามารถร่ำเรียนฝึกวิชาได้ จะมีคนสักกี่คนที่จะสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังได้กัน ?
ซึ่งไม่ใช่ความคิดของซูเฉิน
ซูเฉินอยากให้มนุษย์ทุกคนสามารถบ่มเพาะพลังได้ มีแต่ทางนี้มนุษย์ทั้งเผ่าจึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้
ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่าหลีเถียนจะเดินไปได้ไกลเพียงไหน แต่หากนางยังเดินตามเส้นทางต่อไปจนสุด สรรสร้างเรื่องราวอันงดงามด้วยตัวของนางเองไปเรื่อย ๆ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ไม่แน่ว่านางอาจไม่ผ่านด่านทะลวงลมปราณด้วยซ้ำ แต่มันสำคัญด้วยหรือ ?
หากได้ยินดีจะเดินทางต่อไปเท่านั้นก็พอแล้ว เจ้าจะเรียนรู้ได้เท่าไหร่ไม่มีขีดจำกัด เพราะหากอยากทำต่อ แม้จะล้มกลางทางแต่ก็ไม่มีความเสียใจทิ้งไว้เบื้องหลัง
ซูเฉินคิดเช่นนี้ ทั้งยังสลักมันไว้บนกำแพงเพื่อให้ศิษย์ทุกคนในตอนนี้และในอนาคตได้เห็นอีกด้วย
แม่นางหลีไม่รู้ถึงความทะเยอทะยานของซูเฉิน นางรู้เพียงว่าเขาให้โอกาสนางเท่านั้น
เท่านั้นก็พอ
นางเติบโตมาในชนบท ไม่เคยมีโอกาสบ่มเพาะพลัง ที่กลับมาที่นี่ไม่ใช่เพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบเท่านั้น
ตัวนางยังไม่คิดว่าจจะทำสำเร็จเลย
แต่ความสำเร็จมากะทันหันนัก ทว่าก็เรียบง่ายเช่นกัน
ที่สำเร็จ ก็เพราะนางได้ลองลงมือทำดู
ในใจลึก ๆ นางรู้สึกซาบซึ้งต่อซูเฉินมาก ความซึ้งใจกลายเป็นแรงทำให้นางตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
แน่นอนว่าซูเฉินไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วย
เขามีเรื่องให้จัดการมาก ไม่มีเวลามาใส่ใจความคิดของแม่นางน้อยผู้หนึ่งได้
เขาต้องขยายนิกาย ดูแลจัดการนิกาย และยังต้องทำการทดลองต่อ
ใช่ การทดลอง !
หลังได้เข้าแดนคนเถื่อน ส่วนมากก็เอาแต่สู้กับเดินทางตลอด ไม่มีเวลามาทดลองเลย
ตอนนี้มีที่ของตนแล้ว ซูเฉินจึงกลับมาทำการทดลองได้อีก
สิ่งแรกที่ซูเฉินทำคือการวิเคราะห์ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ที่เขาเสียเวลาคิดหาแผนให้คนเถื่อนกับสัตว์อสูรห้ำหั่นกันเองก็เพื่อไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนี่
ตามที่เขาคิด ความสามารถในการทำนายอนาคตของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะเป็นหัวข้อในการค้นคว้าใหญ่อีกหนึ่งเรื่องหลังจากเรื่องเนตรจุลภาคและเรื่องผลึกวิญญาณ
มีพวกมันช่วยแล้ว เขาคงทำการทดลองได้รวดเร็วขึ้น
แต่การคาดเดาก็เท่านั้น ผลลัพธ์ยังต้องรอดู
ตั้งแต่ได้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมา ซูเฉินก็มัวแต่จัดการเรื่องต่าง ๆ ไร้โอกาสใช้ ตอนนี้เรื่องสงบลงบ้างแล้วจึงมีโอกาสได้ลองหาวิธีใช้ดูสักที
ซูเฉินรู้จากคนเถื่อนมาแล้วว่าหากจะใช้ไม้เท้าทำนายก็ต้องสังเวยบางอย่างก่อนทุกครั้ง
เครื่องสังเวยต่าง ผลลัพธ์ก็ต่าง
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบเครื่องสังเวยที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ หากมีส่วนผสมของเวลาอยู่ด้วยก็ยิ่งยังผลดี
ยิ่งอนาคตทำนายโดยไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดมีความรุนแรงมาก ผลลัพธ์ก็ยิ่งออกมารุนแรง ผลกระทบยิ่งแรงตาม และทำให้ทำนายอนาคตได้ยากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งก็หมายความว่าของสังเวยสังเวยจะต้องมีมูลค่าสูงขึ้น
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจึงไม่อาจทำนายผลของศึกสามเขาได้ ด้วยมีคนเกี่ยวข้องจำนวนมาก มีผลกระทบมากไป ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะทำนายได้ดีหากมีเงื่อนไขที่มั่นคง สงบนิ่ง และไม่มีปัจจัยภายนอกมาเกี่ยวข้องมากเกินไป
ทั้งมันยังทำนายอนาคตห่างไกลไม่ได้ เช่น ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำนายอนาคตได้เพียง 10 ปีเท่านั้น ซูเฉินใช้เวลานับ 100 ปีเพื่อทำการวิจัยให้สำเร็จ เขาจึงไม่อาจรู้คำตอบจากมันได้ แต่หากอยากรู้เรื่องในปีหนึ่งก็ง่ายหน่อย ส่วนสามารถทำนายอนาคตได้ไกลเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 2 อย่าง เป้าหมายแห่งการทำนายและของสังเวย
สุดท้ายคือของสังเวยก็จะถูกสังเวยไม่ว่าจะทำนายสำเร็จหรือไม่
เช่น จะถามไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดแล้วก็ให้เครื่องสังเวยไป หากเครื่องสังเวยไม่พอต่อการทำนาย ก็จะไร้คำตอบ ทั้งยังไม่ได้ของคืนด้วย
และถ้าเครื่องสังเวยมากกว่าที่ควรจะเป็น ‘ของเหลือ’ ก็จะไม่ได้คืนเช่นกัน
นี่อาจเป็นจุดอันตรายที่สุดยามหาเครื่องสังเวยให้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ไม่อาจรู้ได้เลยว่าแพ้หรือชนะจนกว่าผลจะออกมา