บทที่ 4 สังเวย (1)
ภายในหอกระดูกต้นกำเนิด
มันเป็นสถานที่ที่ซูเฉินสั่งให้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่เก็บรักษาไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
โดยใช้กระดูกจากอสูรกายหลายชนิดสร้างขึ้นมา ทำให้มีกลิ่นอายดูดั้งเดิม ดูไม่เข้ากับความภูมิฐานของนิกายไร้ขอบเขตสักเท่าไหร่
แต่กระนั้นมันก็เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบ มีแต่ให้กลิ่นอายเช่นนี้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจึงจะสามารถให้ผลออกมาดีที่สุดได้ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้มาจากคนเถื่อน
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดถูกวางไว้บนแท่นบูชา นอกจากตัวไม้เท้าแล้วยังมีของอย่างอื่นอยู่อีก แต่กลิ่นอายโบราณดุดันที่ออกมาจากกระดูกต้นกำเนิดเป็นกลิ่นอายที่แสดงถึงพลังอันน่าเกรงขามของมังกรสุริยะซึ่งเป็นเทพอสูรบรรพกาลนั่นเอง
ซูเฉินหยิบหินพลังต้นกำเนิดวางบนแท่นบูชาก่อนถามคำถามแรก
“ข้าอยากรู้ว่ากลางวันพรุ่งนี้เราจะกินอะไร”
ในฐานะตัวกลางกักเก็บพลังต้นกำเนิดขั้นพื้นฐานที่สุด หินพลังต้นกำเนิดจึงเหมาะจะเป็นเครื่องสังเวย
หินพลังต้นกำเนิดบ่นแท่นบูชาหายไป ซูเฉินกลับไม่ได้รับคำตอบ
ซูเฉินรู้ว่าการสังเวยล้มเหลว
ถามว่าพรุ่งนี้กินอะไรเป็นอาหารกลางวันถือเป็นคำถามพื้นฐาน แต่ก็ยังล้มเหลวได้
เหมือนจะชี้ให้เห็นว่าแม้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะชอบกลืนกลิ่นของที่มีพลังต้นกำเนิด แต่จะมีเพียงพลังต้นกำเนิดไม่ได้ มันเองก็เลือกกินเช่นกัน
ดังนั้นซูเฉินดึงไม่ได้ใส่ใจว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรเป็นอาหารกลางวัน แต่ใส่ใจถึงอาหารที่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอยากจะกินมากกว่า
ดูจากที่ไม่ได้รับคำตอบแล้ว หินพลังต้นกำเนิดคงจะเรียบง่ายเกินไป
ต่อมาเขาก็วางหญ้าใจกระจ่างเส้นหนึ่งบนแท่นบูชา หญ้านี้เป็นทรัพยากรในการบ่มเพาะพลัง ทำให้มีค่ากว่าหินพลังต้นกำเนิดเล็กน้อย
จากนั้นซูเฉินก็ถามถึงอาหารกลางวันวันพรุ่งนี้อีกรอบ
ครั้งนี้ได้รับคำตอบ
ภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นบนแท่นบูชา เป็นผู้คนมากมายกำลังนั่งล้อมรอบกองไฟย่างเนื้อกันอยู่
“เนื้อย่าง…… เนื้อย่างอีกแล้ว ! ที่นี่ไม่มีอย่างอื่นให้กินแล้วหรือ ?” ซูเฉินรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดได้ว่าการก่อสร้างบนยอดเขาเพิ่งจะเสร็จสิ้น เครื่องอำนวยความสะดวกทั้งหลายอย่างยังสร้างไม่เสร็จ อ่างเก็บน้ำก็ยังไม่มี จะให้กินอย่างอื่นนอกจากเนื้อย่างก็คงยาก
“เช่นนั้นเย็นวันพรุ่งนี้จะได้กินอะไร ?” ซูเฉินถามแล้วก็วางหญ้าใจกระจ่างบนแท่นบูชาอีก
คราวนี้ไม่มีคำตอบ
ซูเฉินถามซ้ำอีกครั้ง คราวนี้วางผลเมฆาไว้แทน
ผลเมฆามีมูลค่าน้อยกว่าหญ้าใจกระจ่าง แต่คำถามเรื่องอาหารเย็นวันพรุ่งนี้ดูซับซ้อนกว่าอาหารกลางวันอยู่เล็กน้อย
คำตอบปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าคำตอบของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับมูลค่าของเครื่องสังเวย
ซึ่งเป็นเรื่องดี !
เขาไม่เหมือนกับพวกคนเถื่อนสมองกลวงพวกนั้น เพราะไม่ได้คิดอยากได้คำตอบมาตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งที่เขาอยากรู้คือหลักการการทำงานของมัน สิ่งที่มันชอบหรือไม่ชอบ ราคาของในตลาดสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มาก จะต้องมีของที่มูลค่าไม่แพงแต่ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบบ้างอยู่แน่
ต่อมา ซูเฉินจึงเริ่มใช้ของในคลังมาทดลอง
หลังจากถามเรื่องอาหารเย็นวันพรุ่งนี้แล้ว เขาก็ถามว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะได้เห็นอะไรเป็นอย่างแรก อย่างที่สอง อย่างที่สาม และถามเรื่องชุดที่จะใส่ และถามเรื่องชุดที่คนอื่นจะใส่ จากนั้นก็ถามต่อว่าวันมะรืนจะเป็นอย่างไร อีก 3 วันต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
ซูเฉินพยายามเชื่อมคำถามเข้าด้วยกัน ไม่ว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะให้คำตอบหรือไม่ ก็จะได้ข้อมูลเป็นประโยชน์มาบ้าง และจดบันทึกข้อมูลนี้ลงในเครื่องคำนวณผลึกแก้วในหัว
แต่หลังจากทางไปได้ 20 คำถาม ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ส่งเสียงหึ่ง ๆ ทุ้มต่ำออกมา กลิ่นอายโบราณจางลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะถามอะไรไปก็ไม่ได้คำตอบอีก
“เจ้าก็โกรธเป็นเหมือนกันหรือนี่ ?” ซูเฉินอึ้งไป
เขาจดบันทึกไว้ในเครื่องคำนวณผลึกแก้วว่าวันหนึ่งถามได้เพียง 20 คำถามเท่านั้น
ซึ่งไม่มากหรือน้อยเกินไป
ถ้าเป็นคำถามสำคัญ เท่านั้นก็มากพอแล้ว
แต่คำถามสำหรับการทดลองเช่นนี้ มีประสิทธิภาพต่ออัตราส่วนไม่มากเท่า
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ซูเฉินก็ได้แต่ต้องยอมรับ
วันต่อ ๆ มา ซูเฉินทำการทดลองกับไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดต่อไปเรื่อย พยายามหาเครื่องสังเวยที่ถูกที่สุดที่ไม้เท้าชอบ
ด้วยการทดสอบนำเครื่องสังเวยที่แตกต่างมาใช้เช่นนี้ ทำให้เขาสามารถตั้งกฎเกณฑ์ของไม้เท้าขึ้นมาได้
ประการแรก ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบกินเนื้อสัตว์อสูรมากกว่าชอบกินพืช ชอบของที่มีพลังธาตุมากกว่าอสูรกาย และสุดท้ายคือชอบของที่มีแก่นพลังเวลามากกว่าสิ่งใด
ประการที่สอง หากสังเวยเพิ่มเติมสุดท้ายจะขาดทุน อาทิเช่น สังเวยผลแก่นอสูรอาจทำให้สามารถทำนายสิ่งที่อยู่ 3 วันถัดไปได้ แต่หากสังเวยมากถึง 100 ผลก็ไม่อาจทำให้เห็นอนาคตถัดไปอีก 300 วันได้
ประการที่สาม สามารถใช้เครื่องสังเวยที่แตกต่างมาเสริมกันได้ ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดยอมรับเครื่องสังเวยประเภทนี้ และหากใช้เครื่องสังเวยที่สามารถเข้ากันได้มาเพิ่มอีกก็จะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น
ประการที่สี่ ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดชอบสิ่งของที่มีอักขระลวดลายงดงามประดับ หากสังเวยของที่ใช้เวลาประดับตกแต่งให้งดงาม ก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น แต่ก็เป็นเพียงความเป็นไปได้เท่านั้น บางครั้งการทำลวดลายลงไปอาจทำให้คุณค่าของเครื่องสังเวยในสายตาของไม้เท้าลดลง
ประการที่ห้า คำทำนายต่างเครื่องสังเวยต้องต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแปรที่สำคัญที่สุดคือผู้ใช้จะสามารถยอมรับผลจากการทำนายได้มากเพียงไหน
พูดโดยง่ายก็คือ หากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้ผลทำนายที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ มูลค่าของเครื่องสังเวยก็จะลดลง
หากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะให้ผลทำนายที่ตรงข้ามกันกับความต้องการของผู้ใช้ มูลค่าของเครื่องสังเวยจะต้องมีมากขึ้น และอาจไม่ได้รับคำตอบเลยก็เป็นได้
นั่นก็เพราะอนาคตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การทำนายใด ๆ ที่ออกมาอาจทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไปได้
ความสามารถในการทำนายอนาคตของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดทำให้มันเอนเอียงไปทาง ‘ความจริง’ หรือก็คือผลลัพธ์ที่มักจะไม่เปลี่ยนแปลง
หากเป็นผลลัพธ์ที่ดีต่อผู้ใช้ ความสามารถในการยอมรับคำทำนายของผู้ใช้ก็จะไม่เปลี่ยนผลลัพธ์ของการทำนาย แน่นอนว่ามูลค่าของเครื่องสังเวยก็จะน้อยลงมาก ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นมาก
หากคำทำนายเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ไม่อาจยอมรับได้ เช่นนั้นผู้ใช้รับรู้ก็จะพยายามเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ดังกล่าว ดังนั้นคำทำนายจึงมักไม่ตรงกับความเป็นจริง ซึ่งตรงกันข้ามกับกฎเกณฑ์การทำนายของไม้เท้า จึงไม่แปลกที่ไม้เท้าจะไม่ยอมบอกผลลัพธ์ที่ออกมาผิดพลาด แต่หากผู้ใช้ยืนกรานอยากรู้ผล ก็ต้องมีข้ออ้างที่สมเหตุสมผลมากพอให้ไม้เท้ายอม ซึ่งก็คือต้องมอบเครื่องสังเวยที่มีมูลค่ามากพอให้
ด้วยเหตุผลนี้ ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจึงมักจะบอกแต่ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แย่ จะบอกแต่ผลลัพธ์ที่แย่ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็เท่านั้น
ดังนั้นเหตุผลหลักที่ทำให้การทำนายล้มเหลว ก็จะเป็นเพราะหากไม่ใช่เป็นการทำนายในอนาคตที่ห่างไกลเกินไป หรือเป้าหมายแห่งการทำนายมีพลังสูงส่งเกินไป หรือการทำนายมีโอกาสออกมาไม่ถูกต้อง ก็จะหมายความว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่แย่ต่อผู้ใช้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ โดยรวมก็มาจากการที่มอบเครื่องสังเวยที่มีมูลค่าไม่มากพอให้
เครื่องสังเวยจึงเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากทดลองอยู่หลายครั้ง ซูเฉินจึงได้รู้จัก ‘อารมณ์’ ของไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
เครื่องสังเวยที่ดีที่สุดคงจะเป็นเม็ดทรายกาลเวลา
รองลงมาก็เป็นสิ่งที่มีแก่นพลังธาตุ
อันดับที่ 3 คือร่างกายส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของอสูรกาย อย่างเช่น ผลึกต้นกำเนิดหรือแก่นพลังในร่าง
อันดับต่อมาคือพืชที่มีพลังต้นกำเนิด
ส่วนเครื่องสังเวยที่แย่ที่สุดคือหินพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินใช้เวลากว่าครึ่งปีในการตั้งกฎโดยทั่วไปเช่นดีขึ้นมา ทำการทดลองมามากกว่า 3,000 ครั้ง ใช้ทั้งของล้ำค่าและของธรรมดา รวมถึงผลึกต้นกำเนิดของราชันอสูรกาย เพื่อจะหาคำตอบว่าจากนี้ต่อไปอีก 11 ปีเขาจะได้กินอะไร
การใช้ผลึกต้นกำเนิดของราชันอสูรกายเป็นเครื่องสังเวยนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก รายการถามคำถามที่ไร้จุดมุ่งหมายเช่นนั้นต่างหากที่แปลก
แต่หากไม่ใช้คำถามเรียบง่าย ก็คงไม่สามารถตั้งกฎที่แม่นยำขึ้นมาได้
การทดลองสามารถเป็นการทดลองได้ก็เพราะเขาเต็มใจจะยอมแลกเครื่องสังเวย
ซูเฉินจึงมั่นใจแล้วว่าระยะเวลา 10 ปียังไม่ใช่ขีดจำกัดของไม้เท้า แต่หากเป็นเวลามากกว่า 10 ปี มูลค่าของเครื่องสังเวยก็ต้องมากขึ้นเท่านั้น
เวลาผ่านมามากกว่าหมื่นปี แต่คนเถื่อนกลับมีประสบการณ์การใช้น้อยกว่าซูเฉินที่ทดลองใช้มันมากกว่าครึ่งปี ไม่ใช่เพียงเพราะคนเถื่อนโง่เขา แต่เป็นเพราะยังขาดทรัพยากร ไม่กล้าให้เครื่องสังเวย มองแต่ผลประโยชน์ระยะสั้นมากกว่า
หลังจากทดลองจนรู้ซึ้งแล้ว ซูเฉินจึงเริ่มถามคำถามที่มีความสำคัญมากขึ้น
ภายในหอกระดูกต้นกำเนิด ซูเฉินกระดูกของจ้าวอสูรกาย 20 ประเภทที่ได้รับการสลักลวดลายซับซ้อนไว้บนแท่นบูชา เขาใช้ห่านเที่ยงคืนน้ำลึกวางทับ สุดท้ายก็เอาผลึกต้นกำเนิดเจ้าอสูรกายชิ้นหนึ่งออกมาแล้ววางไว้บนสุด
นี่คือส่วนผสมที่ดีที่สุดที่เขาค้นพบ เพราะนับว่าเป็นการสังเวยรวม
กระนั้น ซูเฉินก็ยังไม่มั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถได้รับคำตอบหรือไม่
“ข้าอยากรู้วิธีแก้ปัญหาของการทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือด”
ใช่แล้ว นี่คือคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุด
หากเขาสามารถแก้ปัญหานี้ได้ ซูเฉินก็จะสามารถทำให้ศิษย์นิกายไร้ขอบเขตสามารถทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้
แต่การที่จะได้รับคำตอบนั้น อย่างแรกเลยคือต้องมีคำตอบเสียก่อน หรือก็คือ มีแต่ตัวเขาในอนาคตหรืออาจเป็นใครคนอื่นต้องสามารถค้นพบคำตอบได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจึงจะสามารถให้คำตอบในตอนนี้แก่เขาได้
อีกทั้งมันยังต้องเป็นในอนาคตที่ไม่ไกลนักด้วย
หากเป็นอนาคตที่ไกลเกินไป ยกตัวอย่างเช่น หากเขาหรือใครอื่นใช้เวลานับ 10 ปีในการค้นหาคำตอบ เช่นนั้นก็ขออภัยด้วย ไม้เท้าไม่สามารถตอบคำถามท่านได้
สำคัญที่สุดคือซูเฉินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีปัญหาเพราะมันไร้คำตอบตั้งแต่แรกหรือเพราะมันมีคำตอบ แต่เป็นคำตอบที่อยู่ในอนาคตไกลเกินไปจนไม้เท้าไม่อาจล่วงรู้ได้หรือไม่
เพราะเช่นนั้น ซูเฉินจึงไม่ได้ถามตรง ๆ แต่ใช้วิธีถามกระบวนการว่าจะออกมาเป็นอย่างไรแทน
หากใช้กระบวนการถูก ก็จะสามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้
เมื่อลองถามดูแล้ว แท่นบูชาก็เริ่มส่องแสง และไม่เหมือนกับเครื่องสังเวยธรรมดาชิ้นก่อน ๆ มีลำแสงพุ่งออกจากไม้เท้าสู่เครื่องสังเวย จากนั้นพวกมันก็ค่อย ๆ หายไป
เมื่อเครื่องสังเวยหายไปแล้ว ภาพภาพหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนแท่นบูชา
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินไปตามทางในป่า จุดมุ่งหมายคือเรือนศิลา ชายคนนั้นคือตัวเขาเอง
เครื่องสังเวยหายไปช้า ๆ ดังนั้นภาพจึงดำเนินต่อไป
เงาร่างซูเฉินผลักประตูออก แล้วเดินเข้าไปด้านใน ที่ด้านไหนคือฉือไคฮวงนั่งอยู่
ซูเฉินนั่งลงตรงหน้าฉือไคฮวง “อาจารย์ มีอะไรจึงเรียกหาข้าหรือ ?”
ฉือไคฮวงตอบ “ข้าค้นพบวิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดแล้ว”
“อาจารย์พบคำตอบแล้วหรือ ?” ภาพซูเฉินถามด้วยความตื่นเต้น ส่วนซูเฉินตัวจริงก็ประหลาดใจไม่น้อย
เป็นอาจารย์นี่เองที่จะค้นพบคำตอบ
แต่ซูเฉินก็พบว่าผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก พอกลับแดนมนุษย์แล้ว ฉือไคฮวงก็ผ่อนคลายลงได้มาก กลับมาใช้ชีวิตเก่าเหมือนเมื่อครั้งอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ทุกวันทำการทดลองไม่หยุดหย่อน
เขาเป็นคนที่สามารถคิดวิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตและด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะสามารถคิดค้นวิธีทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารโดยไร้สายเลือดได้เช่นกัน