[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 53 บันทึกวาฬ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ทั้งที่มีเรือหาปลาอยู่ทั่วท้องทะเล แต่คนในเหอเป่ยไม่มีอาหารจะกิน จึงต้องการเงินสนับสนุนจากเพื่อนบ้านชายฝั่ง ถึงแม้ไม่มีเสบียงอาหาร แต่ความจริงแล้วในทะเลยังมีปลาตั้งมากมาย ขอแค่มีกำลังคนตกปลาที่เพียงพอก็พอแล้ว

 

เรือใหญ่ของกองทัพเรือแล่นอยู่บนทะเลอันไกลโพ้น การเอาไม้ไผ่ทุบลงไปในทะเล มีประโยชน์อย่างเดียวคือต้อนปลาไปที่ทะเลน้ำตื้น ทันใดนั้นมีปลาโลมากระโดดขึ้นมา มันหมุนตัวไปมาสองสามรอบแล้วก็มุดกลับลงไปในทะเล ที่นี่ปลาชุมมาก พวกมันจึงยุ่งอยู่กับการล่าปลาด้วยกันเองมากิน

 

อวิ๋นเยี่ยถอดเสื้อคลุมออก สวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อแขนสั้น เรือสองลำลากตาข่ายขนาดใหญ่แล่นไปตามสายลม รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขายังไม่หายดี ในตายังปรากฏเส้นเลือดสีแดงก่ำอยู่

 

ครั้งนี้ซวยเสียแล้ว ควักเงินซื้อปลาแห้งทั้งหมดด้วยตัวเอง เอาไปแจกจ่ายให้กับผู้ตรวจราชการมณฑลสองสามคน เผชิญหน้ากับราษฎรที่กำลังรอรับเสบียงอาหาร อวิ๋นเยี่ยเอ่ยปากขอเก็บเงินไม่ออกจริงๆ เห็นพวกเขาแบกปลาแห้งไปกันอย่างมีความสุข อวิ๋นเยี่ยก็เจ็บปวดที่ใจจนพูดไม่ออก

 

เหล่าทหารเรือก็คิดว่าคงเป็นเช่นนี้ เอาปลาแห้งของตัวเองไปให้แก่ผู้คนที่หิวโหย พวกเขาไม่เต็มใจเช่นเดียวกันกับอวิ๋นเยี่ย แต่ก็ไม่บ่นสักคำ คนจิตใจดีก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น

 

ขายสมบัติล้ำค่าไปอย่างเจ็บปวดใจ แลกเหรียญทองแดงมาสิบกว่าเกวียน แจกจ่ายให้กับเหล่าทหารเรือ ตัวเองเป็นคนดีจะปล่อยให้พวกเขาขาดทุนไม่ได้

 

การแจกจ่ายเงินครั้งนี้ เหล่าขุนนางไม่ได้รับส่วนแบ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นหัวหน้าหน่วยดับเพลิงก็ไม่มีส่วนแบ่ง ทำได้เพียงกลืนน้ำลายมองดูกองเงิน มีเหล่าทหารหลายคนที่มาจากดินแดนแห่งนี้ ก็ให้พวกเขาได้หยุดยาวครึ่งเดือน แจกจ่ายข้าวสองกระสอบให้พวกเขาเอากลับบ้าน กลับไปดูพระอาทิตย์ตกตอนเย็นที่บ้าน ผู้คนพากันนั่งคุกเข่าอยู่เต็มหน้าประตูจวนแม่ทัพอวิ๋นเยี่ย พวกเขารู้ดีว่าการให้เหล่าทหารหยุดยาวโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นมีโทษรุนแรงเช่นไร แต่ว่าแม่ทัพใหญ่กลับไม่สนใจ หลิวเหรินย่วนเตือนอวิ๋นเยี่ยตั้งหลายครั้งแต่ก็ถูกไล่ออกมา หงเฉิงก็บอกอวิ๋นเยี่ยเช่นกันว่าโทษนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

“จะถูกตัดหัวหรือ” อวิ๋นเยี่ยถามหงเฉิง

 

“อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ว่าท่านอาจจะถูกปลดตำแหน่งทหาร ฝ่าบาทก็จะมีพระราชโองการตำหนิท่าน หากต่อไปท่านต้องการนำทัพทหาร มันคงจะเป็นเรื่องยาก” หงเฉิงเป็นกังวล เขากังวลเรื่องอนาคตของอวิ๋นเยี่ยเป็นอย่างมาก

 

“เยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็คงจะไม่มีใครบังคับให้ข้าเป็นคนนำทัพทหารออกรบอีก ส่วนถ้าถูกฝ่าบาทด่า? เขาด่าข้าน้อยนักหรือไง เมื่อก่อนยังเตะข้าด้วยซ้ำ คิดหาวิธีอีกดีกว่า หาวิธีปลดตำแหน่งขุนนางของข้าไปด้วยเลย มีวิธีไหนที่ถูกปลดเฉพาะตำแหน่งแต่ไม่ถูกเฆี่ยนหรือไม่ วิธีที่จะไม่ถูกตัดหัวน่ะ?” อวิ๋นเยี่ยดึงเสื้อหงเฉิง ให้เขาช่วยคิดหาวิธี เมื่อก่อนเขาทำงานเป็นผู้แจ้งข่าว คงจะมีประสบการณ์มากมายในเรื่องนี้

 

หงเฉิงตกใจจนหันหน้าหนี บอกอู๋เสอว่าอวิ๋นเยี่ยถูกปลาจวดตัวนั้นตกใส่จนสมองพังหมดแล้ว

 

“หยุดก่อน เมื่อก่อนเจ้าก็เป็นปั๋วเจวี๋ยมาก่อน ทำอะไรก็โง่ ใครสมองพัง ข้าว่าสมองเจ้าต่างหากที่พัง การปล่อยให้เหล่าทหารได้กลับบ้านมันเป็นการเอื้อเฟื้อ เป็นความกตัญญู เป็นความเมตตากรุณา ข้าคิดว่าที่อวิ๋นโหวปล่อยให้พวกเขากลับไปน่าจะมีแผนอื่น หมู่บ้านห่างไกลพวกนั้นเมื่อได้เห็นว่าลูกชายเอาเสบียงอาหาร เงิน และผ้าไหมกลับไปด้วย ความไม่พอใจของพวกเขาที่มีต่อราชสำนักคงจะเบาบางลงบ้าง แล้วอีกอย่าง ลูกชายของตัวเองยังจะต้องกลับไปรับรางวัลที่เมืองหลวง มีอนาคตที่ดีรอคอยอยู่ ในเวลานี้แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าลูกชายของตัวเองต้องกลับไปที่ค่ายให้ตรงเวลา คนในครอบครัวก็จะเป็นราษฎรที่จงรักภักดีต่อราชสำนัก เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อลูกชาย

 

เมื่อเหล่าทหารพากันกลับมาที่ค่ายตามเวลาที่กำหนด ก็แสดงว่าพวกเขาศรัทธาต่อราชสำนักแล้ว เพียงแค่เรื่องเดียวก็ได้ใช้ทั้งความเมตตา ความกตัญญู ความเอื้อเฟื้อ ความชอบธรรมและศรัทธา มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่เป็นเรื่องที่ดี จะต้องได้รับการยกย่องจากฝ่าบาท หากใครตำหนิเรื่องนี้ ก็จะกลายเป็นคนเลวทันที เป็นคนเลวที่เหม็นเน่าหลายพันปี คนโง่อย่างเจ้ายังจะมีหน้าไปเตือนท่านโหว เจ้าลองคิดดู ตั้งแต่เจ้ารู้จักกับอวิ๋นโหว เจ้าเป็นคนได้เปรียบ หรือว่าเขากันแน่ที่เป็นคนได้เปรียบ?”

 

อู๋เสอวางกระจกทองแดงในมือลง และพูดกับหงเฉิงด้วยความเกลียดชัง

 

“ครั้งแรกที่เจอกับอวิ๋นโหว ข้าใช้ทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลของข้าแลก ‘หนังสืออินฝูจิง’ มา ฝ่าบาทพอใจมากจึงเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ทว่าทรัพย์สมบัติทั้งตระกูลของข้าหายไปหมด

 

ครั้งที่สองที่เราได้รู้จักกันจริงๆ คือตอนที่ไปหลอกเอาตราประทับแคว้นมาจากมือของคังเซี่ยวลี่ ข้าแบกมันวิ่งกลับมาที่เมืองหลวงด้วยความหวาดกลัว ฝ่าบาทโปรดปรานเป็นอย่างมาก ให้รางวัลเงินห้าร้อยเหรียญแก่ข้า สุดท้ายเขายึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดของคังเซี่ยวลี่ น้อยสุดก็ได้ตั้งแปดพันเหรียญ ข้าต้องเหนื่อย ต้องหวาดกลัว ต้องรับผิดชอบ แต่เขากลับได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด

 

ครั้งที่สามตระกูลโต้วทำให้อวิ๋นเยี่ยไม่พอใจ เขายั่วยุคนในเมืองไปตีตระกูลโต้ว พวกข้าเป็นหัวโจก สุดท้าย เขากำจัดปัญหาใหญ่ไปได้ สร้างความร่ำรวยบนที่ดินของตระกูลโต้ว ส่วนข้าถูกฝ่าบาทตำหนิ

 

ครั้งที่สี่ คือตอนที่โต้วเยี่ยนซานพยายามลอบทำร้ายฝ่าบาท โดยใช้หน้าไม้สามขา เขาส่งฝ่าบาทกลับไปที่เมืองอย่างปลอดภัย มีความดีความชอบ ได้รับการยกย่อง ส่วนข้าถูกฝ่าบาทส่งไปที่หลิ่งหนาน

 

ครั้งที่ห้าก็คือครั้งนี้ ข้าทำให้ทุกคนในหลิ่งหนานไม่พอใจ ฆ่าคนจนมือหมดแรง สุดท้ายความดีความชอบทั้งหมดตกเป็นของเขา ฝ่าบาทยังมีพระราชโองการยกย่องเขา ส่วนข้ามีเพียงแค่ประโยคเดียว นั่นก็คือหงเฉิงและคนอื่นๆ โอ้พระเจ้า ข้ามันเป็นหมูตัวหนึ่ง ถูกเขาเอาเปรียบตั้งหลายครั้ง ยังคิดว่าเขาเป็นสหายของตัวเอง แต่ตอนนี้ข้ามีแค่มิตรภาพ ไม่มีความเกลียดชังต่อเขา ท่านอู๋เสอ ข้าอาการหนักใช่หรือไม่”

 

หงเฉิงกุมหัวนั่งยองๆ บนพื้น ดึงเส้นผมของตัวเองด้วยความเจ็บปวด

 

อู๋เสอเห็นปากของตัวเองที่ฟันหักไปสองซี่ผ่านทางกระจก เขาถอนหายใจ และตัดสินใจว่าต่อไปจะพูดให้น้อยลง นี่มันมีผลกระทบต่อท่าทางอันสง่างามของเขาเป็นอย่างมาก

 

“หงเฉิง ไม่ต้องเสียใจ ข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าเจ้านัก ตอนแรกไม่ถูกชะตากับเขา แต่สุดท้ายก็ถูกเขาจับมาอยู่ด้วย เจอกับชายฝีมือดีมาตั้งมากมาย ไม่เคยได้แผลแม้แต่นิดเดียว เจอกับเขาแค่ไม่กี่ครั้ง ฟันหักไปแล้วสองซี่ แล้วยังเกือบจะเสียชีวิตตัวเองไปกับเขา หากออกมาจากพระราชวังก็จะไปสอนหนังสือที่สำนักศึกษา จะไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ไม่เยอะอยู่ที่สำนักศึกษา ไม่ใช่เพราะว่าชอบอยู่กับเขาหรอกหรือ

 

นี่ก็คือเสน่ห์ของคนใหญ่คนโต เสน่ห์ของฝ่าบาทมีกลิ่นอายของฆาตกร เสน่ห์ของฮองเฮามีกลิ่นอายของความสูงส่ง เสน่ห์ของรัชทายาทอยู่ที่ความอ่อนโยนใจดี เสน่ห์ของเว่ยอ๋องอยู่ที่ความฉลาด เสน่ห์ของสู่อ๋องอยู่ที่ความเพียรพยายาม มีแต่อวิ๋นเยี่ย เสน่ห์ของเขาก็คือการที่ทำให้เจ้าคิดว่าเขาเป็นคนดีโดยไม่รู้ตัว คนไม่มีพิษมีภัยคนหนึ่ง อยู่กับเขาได้สบาย แค่รู้สึกว่าดอกไม้เป็นสีแดง หญ้าเป็นสีเขียว อยากจะด่าใครก็ด่า อยากจะเอะอะโวยวายก็เอะอะโวยวาย ไม่มีใครมองว่าเป็นเรื่องแปลก ทำให้คนอื่นยอมเปิดใจให้เขาอย่างไม่รู้ตัว คนที่ถูกเขาหลอกยังคิดว่าเขาหวังดี คิดๆ ดูแล้ว เขาก็หวังดีจริงๆ ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายใคร”

 

หงเฉิงหลังเปลือยเปล่าลากตาข่ายอยู่ในมือ เมื่อก่อนรู้สึกอับอายที่ทำเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับทำมันอย่างมีความสุข ทุกครั้งที่อวิ๋นเยี่ยเห็นปลาตัวใหญ่ เขาก็จะตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น นึกถึงตอนที่ตัวเองพูดคุยกับอู๋เสอ จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะใช้ชีวิตแบบนี้ กลับไปขอร้องอ้อนวอนตำแหน่งปั๋วจากฝ่าบาทน่าจะไม่ยาก ตัวเองก็ไปรับตำแหน่งคณบดีที่สำนักศึกษา สั่งสอนลูกผู้ลากมากดีพวกนั้นก็ไม่เลว สังคมก็มี เงินก็มี ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร

 

คันโยกใหม่เต็มไปด้วยปลา ยกขึ้นมา มีน้ำหนักตั้งสองร้อยกิโล ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ต่างส่งเสียงโห่ร้อง ยืนปลดตะขอบนดาดฟ้า ปลาดาบเงินที่ส่องประกายแสงสีเงินลงมาจากบนดาดฟ้าราวกับปลาไหลที่บิดเป็นเกลียวเตรียมพร้อมที่จะวิ่งหนี ปูตัวใหญ่เจ็ดแปดตัว แล้วยังมีหมึกอีกสองสามตัวที่พ่นหมึกออกมาไม่หยุด เก็บหอยเชลล์มาถาดหนึ่ง จากนั้นก็เลือกปลาดาบเงินที่มีความกว้างพอเหมาะสองตัว กะจะเอาไปทอดให้แห้งแล้วโรยด้วยเกลือ กินเป็นอาหารว่าง

 

อวิ๋นเยี่ย อู๋เสอ และหงเฉิง ทั้งสามคนนั่งยองๆ กินอาหารทะเลใต้ร่มเย็น เป็นวิธีกินแบบชาวประมง น้ำสะอาดเดือดได้ที่แล้วก็ใส่เกลือลงไป เสร็จเรียบร้อย ปูตัวใหญ่หนึ่งตัวก็เพียงพอที่จะทำให้อวิ๋นเยี่ยกินจนอิ่ม

 

กัดปูอยู่ในปาก มองออกไปไกลๆ ทันใดนั้นก็เห็นไอ้ตัวใหญ่สีดำพ่นน้ำอยู่ไม่ไกล ในทะเลมีแค่ปลาจวดกับปลาดาบเงิน ปลาวาฬตัวใหญ่มาจากไหนกัน ดูจากหัวมันแล้วน่าจะไม่ใช่ตัวเล็กๆ อวิ๋นเยี่ยชี้ไปที่ปลาวาฬตัวนั้นและพูดกับอู๋เสอและหงเฉิงว่า “ไอ้ตงอวี๋กลับบ้านไปหาภรรยากับลูกน้อยแล้ว เราสามคนจะฆ่าวาฬตัวนั้นได้หรือไม่”

 

“ข้าคิดว่าดาบธรรมดาไม่มีผลกับมัน ครั้งก่อนที่ถูกพายุทอร์นาโดพัดตายไปสองสามตัวนั้นยังต้องใช้เลื่อย เราไม่มีคนมีฝีมือ ใช้มีดเฉือนไปมันก็แค่รู้สึกคัน ไม่มีประโยชน์” หงเฉิงคิดว่าเป็นเช่นนั้น เคยได้ยินอวิ๋นเยี่ยบอกว่านี่เป็นเพียงปลาตัวใหญ่ ไม่ใช่ปลาในตำนานอะไร ยิ่งไม่มีทางกลายเป็นนกในตำนาน บอกว่าคล้ายกับปลาก็ไม่สู้บอกว่าคล้ายกับวัวกับแกะที่อยู่บนบก ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิต มีน้ำนมเหมือนกัน แต่มันชอบที่จะอยู่ในน้ำแค่นั้นเอง

 

อวิ๋นเยี่ยถอดถุงหน้าไม้สามขาออกมา ลูกธนูหน้าไม้ทั้งแปดส่องแสงเป็นประกาย ด้านหลังของธนูทุกลูกมัดด้วยเชือกหนัง ทำมาจากหนังปลาฉลาม แข็งแรงทนทานเป็นอย่างมาก

 

หงเฉิงเป็นคนกล้าหาญมาโดยตลอด สมัยโบราณมีท่านชายเริ่นที่เป็นผู้จับปลาวาฬมาแขวนคอให้ชาวเหอตงกิน วันนี้แม่ทัพหงจะแสดงความสามารถ หากะลาสีเรือที่แข็งแกร่งมาสักสองสามคน มัดเชือกให้แน่น ตัวเองถือค้อนไม้ มองไปทางลูกธนู เมื่อครู่อวิ๋นเยี่ยกลัวว่ามันจะไม่แข็งแรง เขาเลยเพิ่มเหล็กหนามเข้าไปอีก ท้ายเรือลำใหญ่ล่องไปตามไอน้ำที่พ่นออกมาจากปลาวาฬ เมื่อปลาวาฬโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง หงเฉิงตะโกนเสียงดัง ฟาดค้อนไม้ลงไป ลูกธนูหน้าไม้สามขาก็พุ่งออกไป แทงเข้าที่ตัวของปลาวาฬอย่างแรง

 

ปลาวาฬตัวนั้นดำลงไปในน้ำทันที น้ำทะเลถูกย้อมเป็นสีแดง อวิ๋นเยี่ยมองดูเชือกแปดเส้นที่ขดอยู่บนดาดฟ้ากำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเชือกถูกดึงออกไปจนหมด ก็ได้ยินเสียงดังเอี๊ยดของเรือลำใหญ่ จมลงไปอย่างกะทันหัน เสาเรือที่ผูกติดกับเชือกก็หักครึ่ง ติดอยู่กับสมอเรืออย่างแน่นหนา เรือใหญ่สั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน จากนั้นก็แล่นไปตามทิศทางลม เรือที่กำลังหยุดนิ่งแล่นออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว

 

ท่ามกลางสามสายตาผู้เป็นที่เคารพชื่นชมของชาวประมง เรือใหญ่แล่นไปบนทะเลอย่างรวดเร็ว ฝูงปลาวาฬเดี๋ยวก็ดำลงไปใต้ทะเล เดี๋ยวก็โผล่ออกมา กระโดดขึ้นสูงกระแทกผิวน้ำ ทำให้มวลน้ำกระเซ็นอย่างแรงจนคนพากันตกใจ

 

หงเฉิงหัวเราะอย่างมีความสุขราวกับชายหนุ่ม อู๋เสอถือหอกอยู่ในมือ ทุกครั้งที่ปลาวาฬหายใจ ก็มักจะมีหอกแทงเข้าที่หัวของมันอย่างแม่นยำ เมื่อหอกสีดำแทงเข้าที่ตาของมัน ปลาวาฬก็จะบ้าคลั่งขึ้นมาทันที และเริ่มหมุนเป็นวงกลมไปรอบๆ เรือ

 

อู๋เสอหัวเราะ หาโอกาสยิงหอกเข้าไปที่ตาของปลาวาฬอีกครั้ง ปลาวาฬที่ตาทั้งสองข้างถูกแทงด้วยหอกว่ายเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว

 

ระหว่างทางไม่รู้ว่าชนเรือประมงไปแล้วกี่ลำ เฝิงไท่ ผู้ตรวจราชการมณฑลโยวโจวที่สั่งให้ชาวประมงตากปลาอยู่บนฝั่ง เห็นสัตว์ประหลาดที่ใหญ่เท่าภูเขาเข้ามาหาเขา เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความกลัว จากนั้นก็พาชาวประมงวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง

 

ด้วยแรงเฉื่อยที่รุนแรง ปลาวาฬที่เกยตื้นอยู่บนฝั่งทำได้แค่สะบัดหางอย่างอ่อนแรง พ่นละอองน้ำออกมา พอเรือสั่น อวิ๋นเยี่ยถึงได้รู้ว่าเรือของตัวเองก็เกยตื้นแล้วเช่นกัน