[ส่วนที่ 8 เขาของคนป่าเถื่อน] ตอนที่ 54 จ่ายค่าผ่านทาง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

ปลาวาฬตัวใหญ่ทนทุกข์ทรมานกว่าหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดมันก็สิ้นใจตาย ผู้ตรวจราชการมณฑลเฝิงไท่ไม่กล้าแตะต้องปลาตัวใหญ่ แล้วยังแนะนำให้อวิ๋นเยี่ยเอาปลาตัวใหญ่ตัวนี้ปล่อยกลับลงไปในทะเล เขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นมันอาจจะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่

 

 

อวิ๋นเยี่ยกะพริบตาอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองฆ่าปลามันไปผิดกฎอะไรของฮ่องเต้ หรือว่าปลาตัวนี้เป็นปลาที่ตระกูลไหนเลี้ยงเอาไว้? เดินวนรอบๆ ปลาตัวใหญ่ ไม่เห็นว่ามีสัญลักษณ์อะไร เฝิงไท่ที่เป็นกังวลก็ดึงอวิ๋นเยี่ยเดินไปที่ที่ไม่มีคน จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “ท่านโหว ท่านก็เป็นคนมีความรู้การศึกษา หรือท่านไม่เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ปลาใหญ่ตาย อ๋องโหวตาย”

 

 

อวิ๋นเยี่ยกุมหน้าผากแล้วพูดว่า “ราชสำนักมีอ๋องโหวตั้งมากมาย ตายไปสักคนสองคนจะเป็นอะไรไป เลี้ยงปากเลี้ยงท้องราษฎรสิถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากไม่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องพวกเขา อ๋องโหวจะต้องตายตั้งกี่คนก็ยังไม่รู้ ข้าจับปลาตัวนี้มา ก็แค่กะว่าจะเอากลับไปเมืองหลวงเป็นของที่ระลึกให้กับเหล่าอ๋องโหวผู้อาวุโสพวกนั้น ทุกคนกินด้วยกัน ดูซิว่าใครจะโชคร้ายสำลักตาย”

 

 

เฝิงไท่อ้าปากพูดอะไรไม่ออก ไม่เคยเห็นคนโง่เช่นนี้มาก่อน เจ้าฆ่าปลาวาฬตาย ตามที่หนังสือประวัติศาสตร์บอกไว้ เมื่อปลาใหญ่ตายอ๋องโหวตาย นี่เป็นการจะทำให้ตระกูลหลี่ไม่พอใจ แล้วยังจะกล้าเอาเนื้อปลาไปฝากเป็นของที่ระลึกให้พวกเขา นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเหรอ ทำไมคนคนนี้ถึงไม่รู้จักระมัดระวังตัว ถึงตอนนั้นถูกโจมตีขึ้นมา ใครก็รั้งไว้ไม่ได้

 

 

เห็นว่าตัวเองทำให้ชายชราตกใจถึงเพียงนี้ อวิ๋นเยี่ยจึงพูดกับชายชราอีกครั้งว่า “กินปลาตัวใหญ่จะเป็นอะไรไป เหอเจียนจวิ้นอ๋อง หลี่เซี่ยวกงเป็นคนสอนวิธีการจับปลาตัวใหญ่ให้กับข้าเอง ในอดีตเขาถือว่าการกินเนื้อปลาวาฬคือการประสบความสำเร็จ ฆ่าปลาวาฬตั้งมากมาย ตอนนี้เขาก็ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นอยู่ได้ทุกวัน ได้ยินมาว่าแต่งภรรยารองอีกสองคน ไม่เห็นว่าจะอยากตายเลยสักนิด เจ้าไม่ต้องกังวล ตอนที่ข้าเชิญฝ่าบาทกินเนื้อปลาคราฟ ฝ่าบาทชอบอกชอบใจ บอกว่าเนื้อนุ่ม ต่อไปจะกินอีกบ่อยๆ ปลาคราฟยังไม่เป็นอะไร ปลาวาฬก็คงไม่มีปัญหา เผลอๆ จะสั่งให้ทหารเรือของเจ้าใช้หน้าไม้สามขาฆ่าปลาวาฬมาเพิ่มให้อีก คาดว่าถึงตอนนั้นคงจะมีคนมาเอาเนื้อปลาวาฬจากเจ้าไม่น้อย”

 

 

เฝิงไท่ทำเสียงฮึมฮำเบาๆ แล้วก็ทรุดตัวลงบนพื้นทราย ภาษาที่เป็นกันเองของอวิ๋นเยี่ย มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เขาเป็นลมไปแล้ว

 

 

เขาเป็นลมไปก็ดีเหมือนกัน จะได้นอนบนพื้นทรายหลับสบายสักตื่น สองสามวันที่ผ่านมายุ่งทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยเห็นเขาพักผ่อน เรียกคนรับใช้มาสองคน ทำซุ้มให้เขาสักหน่อย ตัวเองจะออกไปหาเลื่อย เตรียมที่จะเลื่อยปลาวาฬออกเป็นแปดส่วน

 

 

หากจะต้องมีประสิทธิภาพในการผลิตให้ได้เป็นจำนวนมากจนเพียงพอต่อเหล่าราษฎรนั้นช่างเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าทะเลปั๋วไห่ที่อุดมสมบูรณ์กลับมอบเสบียงอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยมากมายนับไม่ถ้วน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเป็นผู้นำในการกินผักทะเลสีเขียวชนิดหนึ่งในทะเล เหล่าเฝิงไท่ก็หลั่งน้ำตาอีกครั้ง บางครั้งชาวประมงก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นอาหารหมู ตอนนี้ท่านโหวที่สง่างามเอามันมาทำเป็นสลัดกินต่อหน้าทุกคน และดูเหมือนว่าจะกินไม่อิ่ม ยังจะกินเพิ่มอีกชาม

 

 

เฝิงไท่ในฐานะคนมีการศึกษา แน่นอนว่าต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ตอนนี้อะไรที่สามารถเลี้ยงท้องให้อิ่มได้ก็เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้น ตัวเองก็เอาชามมาเหมือนกัน ตีให้ตายเขาก็ไม่กินเนื้อปลาวาฬ แต่เขากล้ากินสาหร่าย กินไปกินมาเขาก็รู้สึกประหลาดใจ รสชาติไม่เลวจริงๆ

 

 

“บอกพวกชาวบ้านว่าข้าจะซื้อสาหร่ายนี้จำนวนมาก ต่อไปกลุ่มพ่อค้าของตระกูลอวิ๋นจะรับซื้อทุกปี ให้พวกเขาล้างให้สะอาดเอาไปตากให้แห้ง ห้ากิโลสิบเหรียญ ถือว่าเป็นการทำให้พวกเขามีรายได้

 

 

เฝิงไท่มองดูสาหร่ายทะเลที่แน่นหนาอยู่ในทะเลตื้น เขาถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านโหว ของกินชนิดนี้หากเอาไว้กินตอนไม่มีเสบียงอาหารก็คงจะไม่มีปัญหา แต่ที่กวนจงไม่ได้ขาดแคลนเสบียงอาหาร ท่านจะเอาพวกมันไม่ไปทำอะไร ชาวกวงจงก็กินของพวกนี้หรือ”

 

 

“เจ้าไม่รู้อะไร อาหารอันโอชะในกวงจงล้วนแต่มาจากตระกูลอวิ๋น แค่ตระกูลอวิ๋นเริ่มกินของสิ่งนี้ เจ้าจะเห็นว่าผ่านไปไม่นานของสิ่งนี้ก็จะขาดตลาดในฉางอัน เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นของดี กินของสิ่งนี้ ก็จะไม่มีทางเป็นโรคคอบวมอะไรพวกนั้น ของดีเช่นนี้ เจ้ารีบหามาให้ข้า มีเท่าไหร่เอาเท่านั้น ต้นเดือนสิงหากองทัพเรือจะไปรับข้าที่คลองจัวจวิ้น ถึงตอนนั้นข้าจะเอาไปให้หมด แล้วข้ายังจะเอาเนื้อปลาวาฬกลับไปด้วย ระวังอย่าให้กะโหลกปลาวาฬของข้าเสียหาย ข้าจะเอามันกลับไปด้วย และหากเจ้าอยากจะเอาอะไรกลับไปที่บ้าน ข้าก็ช่วยเจ้าขนกลับไปได้”

 

 

“เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ท่านโหวไม่ต้องกังวล ข้าน้อยจะจัดการให้อย่างดี เพียงแต่โยวโจวยากลำบาก ไม่มีของดีๆ มาต้อนรับท่านโหว ต้องให้ท่านเอาของไร้ค่าพวกนี้กลับไป ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายเสียจริง”

 

 

“เหล่าเฝิง เจ้าคิดมากไปแล้ว หากข้าอยากจะร่ำรวย ข้าอยู่ที่หลิ่งหนานก็ร่ำรวยไปแล้ว ไม่มีทางมาหาผลประโยชน์จากดินแดนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก เจ้าคิดว่าเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลไม่มีราคาใช่หรือไม่ ฮ่าๆ ๆ ข้าไม่บอกเจ้าหรอก นี่เป็นสูตรลับของตระกูลอวิ๋น เมื่อเจ้ากลับไปรับตำแหน่งที่ฉางอัน เจ้าก็จะเห็นว่าของพวกนี้มีราคาแพง แพงมาก มีแค่คนมีเงินเท่านั้นที่ได้กิน” พูดเสร็จก็หัวเราะเดินออกไป ยังคงใส่เสื้อแขนสั้นกางเกงขาสั้น เดินเท้าเปล่าเหมือนเดิม เผยให้เห็นแขนขาที่ถูกแดดเผาดำ มีความสุขราวกับชายหนุ่มที่อยู่ชายหาด

 

 

ก่อนที่อวิ๋นเยี่ยจะมา เฝิงไท่กับหยวนต้าเข่อคิดหนักว่าจะต้อนรับอวิ๋นเยี่ยอย่างไร ชื่อเสียงความหรูหราของตระกูลอวิ๋นเป็นที่รู้จักกันดีในต้าถัง ในฐานะหัวหน้าของตระกูลอวิ๋น จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่รับใช้ยากมากเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ หากเขาพูดถึงตัวเองในทางไม่ดีต่อหน้าฮ่องเต้ คาดว่าอนาคตของตัวเองก็คงจะจบแค่ตรงนี้

 

 

หยวนต้าเข่อเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี เฝิงไท่ยอมถูกปลดตำแหน่งขุนนาง แต่ไม่มีทางยอมร่วมมือกับคนอื่น ใครจะคิดว่าอวิ๋นเยี่ยกลับถูกแบกลงมาจากเรือ ทั่วร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล ไม่สามารถเพลิดเพลินกับสิ่งใดได้ แม้แต่สาวงามที่หยวนต้าเข่อส่งไป ยังถูกอวิ๋นเยี่ยไล่กลับมา

 

 

แผลหายแล้วแต่กลับออกไปหาเสบียงอาหารให้กับราษฎร อาหารของผู้ติดตามเขายังแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่เคยรบกวนใคร กองทัพเรือมาถึงท่าเรือได้สามวัน เสบียงอาหารและปลาแห้งก็หมดเกลี้ยง ให้เหล่าทหารบางส่วนหยุดพัก เหลืออยู่แค่เรือจำนวนห้าลำ ส่วนที่เหลือก็แล่นไปทางปากแม่น้ำฮวงโห เตรียมเข้าสู่คลอง รีบกลับไปยังฉางอัน พระราชโองการของหลี่ซื่อหมินชัดเจน นั่นก็คือเขาต้องการได้เห็นกองทัพเรือด้วยตาของตัวเอง พิจารณาว่าต่อไปเขาจะสามารถทำการขนส่งเสบียงอาหารจากตอนใต้ไปตอนเหนือได้หรือไม่ ตั้งแต่รู้ว่าหลิ่งหนานมีเสบียงอาหารมากมาย เขาก็เริ่มคิดคำนวณทันที

 

 

ไม่รู้ว่าหงเฉิงเป็นอะไร จู่ๆ ก็เอาเงินให้อวิ๋นเยี่ยห้าเหรียญ บอกว่านี่คือทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเขา อยากทำกิจการร่วมกับอวิ๋นเยี่ย ง่ายมาก นั่นก็คือกิจการสาหร่ายทะเล ตระกูลอวิ๋นเจ็ดส่วน เขาสามส่วน ไม่ทำไม่ได้ ระบายความทุกข์ให้อวิ๋นเยี่ยฟังไม่หยุด บอกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบจนเป็นเช่นนี้ก็เพราะอวิ๋นเยี่ย ตระกูลไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว หากไม่ชี้ทางรอดชีวิตให้เขา เขาก็เตรียมที่จะพาคนทั้งตระกูลไปกินข้าวที่จวนตระกูลอวิ๋น

 

 

อวิ๋นเยี่ยรับปากแล้ว รับปากง่ายๆ ไม่มีการต่อรอง กิจการที่ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไรทำให้หงเฉิงกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว หลังจากคิดอยู่นานและตัดสินใจถอนหุ้นโดยอัตโนมัติ บทเรียนที่เจ็บปวดตรงหน้าทำให้เขารู้ว่าในใบโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ อย่าคิดที่จะมาเอาเปรียบอวิ๋นเยี่ยเลยดีกว่า

 

 

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว กองทัพเรือส่งข่าวมาบอกว่าถึงคลองแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็ต้องกลับเมืองหลวง อีกเดือนกว่าน่ารื่อมู่ก็จะคลอดแล้ว นี่คือเรื่องที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เพื่อลูกของเขาทำให้เขาจะต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุด

 

 

ตามการจัดการของหลี่ซื่อหมิน ทหารห้าพันนายต้องทำการเดินทัพในเหอเป่ยอีกหนึ่งครั้ง เพื่อป่าวประกาศอำนาจตามกลยุทธ์ของอู๋เสอ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ฆ่าคนสักสองสามคน กองทัพออกรบ มองไม่เห็นเลือดถือว่าไม่โชคดี

 

 

ครั้งแรกที่กองทัพเห็นเลือดในเหอเป่ย เป็นเลือดที่มาจากทหารที่กลับมาสายกว่าเวลาที่กำหนด สาเหตุเพราะแม่ป่วยหนักจึงอยู่ที่บ้านต่ออีกสักหน่อย กลับมาที่ค่ายช้าไปครึ่งวัน ตามกฎของทหารจะต้องถูกตัดหัว ผู้พิพากษากองทหารไม่สนใจคำพูดของท่านโหว ถือดาบอยู่ตรงนั้น ไม่แน่อาจจะตัดหัวของเจ้านั่นออกจากบ่า กฎทหารของต้าถังนั้นเข้มงวด ไม่ต้องพูดถึงท่านโหว แม้แต่ฝ่าบาทก็ห้ามเขาไม่ได้ และแน่นอนว่าหากก่อนหน้านี้ท่านโหวอนุญาตให้เขากลับมาสายได้ อาจจะช่วยให้เขารอดตาย แต่ก็ไม่สามารถหนีแส้พ้นอยู่ดี

 

 

เห็นได้ชัดว่าไอ้สารเลวนี่ต้องการปล่อยทหารไป ให้อวิ๋นเยี่ยมารับผิดชอบแทน เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่เข้มงวดของตัวเองเอาไว้ บุญคุณเหนือสิ่งอื่นใด นี่คือประเพณีของกองทัพทหาร

 

 

เขียนใบอนุญาตต่อหน้าผู้พิพากษากองทัพ ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเจ้านั่นถึงได้ผ่อนคลายลง ทหารแข็งแกร่งสองคนลากทหารที่ร้องห่มร้องไห้ออกมาลงโทษ ถือว่าเป็นลูกผู้ชาย เขาไม่พูดอะไรสักคำ มีแค่น้ำตาไหลออกมา เมื่อรับการลงโทษเสร็จแล้วถึงได้ร้องไห้แล้วพูดว่าขอโทษขอรับท่านโหว

 

 

กองทัพเริ่มออกเดินทาง โอ้อวดอำนาจบารมี อวิ๋นเยี่ยใส่ชุดเกราะทั้งตัว ทนทุกข์ทรมานอยู่บนหลังม้าภายใต้แสงอาทิตย์ที่แผดเผา หอกม้าที่สวยงามถูกแขวนไว้บนตะขอแห่งชัยชนะ หากปักขนไก่สักสองขนบนหัว ปักธงไว้ด้านหลัง ก็ไม่ต่างจากจ้าวจื่อหลง[1]บนเวทีสักเท่าไหร่

 

 

ถึงจะน่าอึดอัด แต่เฝิงไท่ก็ยกนิ้วโป้งบอกว่าอวิ๋นโหวมีท่าทางเหมือนนายพลที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ จะต้องทำให้พวกคนเลววิ่งหนีไปอย่างแน่นอน สุดท้ายสัญญาว่าจะให้คนเอาเนื้อปลาวาฬและสาหร่ายทะเลของอวิ๋นเยี่ยส่งไปที่จัวจวิ้น สำหรับสมบัติล้ำค่าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง อู๋เสอไม่อนุญาตให้มันหายไปจากสายตาตัวเอง

 

 

กองทัพทหารสัญจรไปทั่ว ทุกที่ที่ไปก็เป็นไปตามที่เฝิงไท่พูดเอาไว้ นักปฏิวัติที่เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาพากันโยนมีดโยนหอกทิ้งและกลับไปดูแลไร่นาของตัวเองที่หมู่บ้าน ทุกที่ที่ไป ก็มีผู้แจ้งข่าวมากมายนับไม่ถ้วน เห็นผู้แจ้งข่าวที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้าสกปรกพวกนั้นอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกขยะแขยง หากไม่ใช่เพราะว่ากาลเทศะ เขาอยากจะกำจัดผู้แจ้งข่าวพวกนั้นไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของความรู้สึกหรือศีลธรรม คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นขยะสังคม น่าขยะแขยง จึงให้หงเฉิงเป็นคนจัดการ

 

 

ดินแดนเหอเป่ยปกคลุมไปด้วยป่าไม้เขียวขจี มองไปที่สมบัติล้ำค่าทั้งห้าเกวียน กลัวว่าจะมีชายคิ้วสีแดงตาสีเขียวตะโกนออกมาจากป่า เฉิงต๋าหลงจินอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายค่าผ่านทาง เช่นนี้คงจะซวยเป็นแน่ พยายามปลอบตัวเองในใจ ผู้ชายชื่อเฉิงต๋าหลงจินคนนั้น ตอนนี้คงกลายเป็นกั๋วกง เป็นท่านโหวไปแล้ว ลูกของตัวเองเจอเขายังต้องเรียกว่าท่านปู่ อย่าได้โผล่ออกมาปล้นตัวเองเวลานี้เลย

 

 

แต่เรื่องราวก็แปลกประหลาดเช่นนี้ บนถนนใหญ่มีชายกล้ามใหญ่ยืนอยู่กลางถนน รายงานชื่อนามสกุล บอกว่าต้องการต่อสู้กับแชมป์ผู้กล้าอย่างท่านโหวตระกูลอวิ๋นสักสามร้อยครั้ง

 

 

ชายคนนี้สูงกว่าสามเมตร ใส่เสื้อแขนสั้น ถือดาบขนาดใหญ่อยู่ในมือ ยกดาบขึ้นมาใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง เหล่าทหารพากันล้อมรอบอย่างแน่นหนา ฟันเข้าไปที่ต้นเอล์มหนาๆ ขาดออกเป็นสองส่วน ตอที่หลงเหลืออยู่ก็ถูกฟันจนกลายเป็นฟืน

 

 

สุดท้ายเขาก็เอาดาบชี้มาที่อวิ๋นเยี่ย ส่งเสียงดังสนั่น “อวิ๋นเยี่ย ได้ยินมาว่าเจ้าก็เป็นลูกผู้ชายที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ เป็นที่รู้จักกันดีในฉางอัน วันนี้เจ้ากับข้ามาประลองกันที่นี่สักสามร้อยครั้ง ให้เจ้าได้รู้ซะบ้างว่าเหอเป่ยก็มีคนมีความสามารถ เจ้าจะได้ไม่หยิ่งผยองจนเกินไป หากจะแบกทรัพย์สมบัติตระเวนไปทั่วโลกล่ะก็ วันนี้ไม่จ่ายค่าผ่านทางข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

 

 

มันช่างน่าโมโห สั่งให้เหล่าทหารถอยออกไป คายก้านดอกหญ้าในปากออกมา อวิ๋นโหวถือหอกม้าพุ่งเข้าไปฆ่าเขากลางอากาศอย่างกล้าหาญ…

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] จ้าวจื่อหลง หรือจูล่ง เป็นตัวละครในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ที่มีตัวตนจริง เป็นแม่ทัพคนสำคัญของเล่าปี่ และเป็นหนึ่งในห้าทหารเสือ