ตอนที่ 3-1 ได้โปรดชอบฉันเถอะ
ฤดูร้อนมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว ฤดูร้อนที่ฉันมักจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปเสมอ แม้ว่าทุกครั้ง ฉันมักจะตั้งตารอว่าฤดูกาลนี้จะผ่านไปเมื่อไหร่ แต่พอเอาเข้าจริง เวลาที่ฉันได้เสียอะไรบางอย่างไป และได้รับบาดแผลกลับมา มันก็จะผ่านไปในชั่วพริบตา นั่นทำให้ฉันไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นคือบาดแผลหรือรอยแผลเป็นกันแน่
นอกจากนี้ฤดูร้อนปีนี้ยังมีการฝึกซ้อมการแสดงกับรุ่นพี่อีกง ซึ่งบางทีอาจจะเป็นการเต้นครั้งสุดท้ายของพี่เขาก็ได้ เลยยิ่งทำให้รู้สึกแบบนั้นเข้าไปใหญ่ พอฤดูร้อนจบลง และการแสดงสิ้นสุด ฉันก็จะไม่ได้เจอกับรุ่นพี่ได้บ่อยๆ เหมือนกับตอนนี้อีกแล้ว คิดแค่นั้น ฉันก็ภาวนาขอให้ฤดูร้อนปีนี้ ได้โปรดเป็นโชคร้ายครั้งสุดท้ายของฉัน และขอให้ฤดูร้อนครั้งสุดท้ายนี้ดำเนินต่อไปนานๆ ด้วยเถอะ
ฉันพยายามที่จะสลัดอารมณ์มากมายที่คอยแต่จะทำให้รู้สึกหดหู่ทิ้งไป พลางโยนผ้าเช็ดหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อลงไปในอ่างล้างหน้า เสียงน้ำที่ล้นออกมาดังก้องไปทั่วทั้งห้องน้ำที่เงียบสงบ แสงไฟในห้องน้ำมืดๆ กะพริบอยู่เหนือหัว พร้อมกับการสั่นไหวที่ดูไม่น่าปลอดภัย
ฉันค่อยๆ เพ่งมองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว ผิวแห้งกร้านอย่างกับดินที่แห้งแล้งช่างสะดุดตาเสียจริง ความจริงแล้วไม่ใช่แค่ที่หน้าเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ แต่เพราะเหงื่อที่ไหลออกมามากเกินไป เลยทำให้ความชุ่มชื้นทั้งหมดภายในร่างกายไปจนถึงปลายเท้าเหือดแห้งไปหมด
ฉันระบายความโกรธลงไปที่ผ้าเช็ดหน้าที่ไร้ความผิดใดๆ พลางขยับไม้ขยับมืออย่างรุนแรง จนทำให้หยดน้ำใสๆ กระเด็นขึ้นไปอยู่บนกระจก และเกิดเป็นรอยด่างกลมๆ กลิ่นลูกเหม็นเจือจางลอยมาพร้อมกับอากาศชื้นภายในห้องน้ำทำให้ฉันใช้กำปั้นตัวเองทุบหน้าอกที่รู้สึกอึดอัด
การฝึกซ้อมสำหรับการแสดงประจำฤดูต่อเนื่องมาเป็นสัปดาห์ที่สามแล้ว ระหว่างนั้นฤดูร้อนก็ยิ่งร้อนยิ่งขึ้น ภายในห้องซ้อมเต้นที่สามก็มีอุณหภูมิที่สูงขึ้นต่างจากวันอื่นๆ เช่นกัน กว่าจะได้ออกมาจากห้องซ้อมก็เล่นเอาซะเหงื่อท่วมไปทั้งตัว
แน่นอนว่าการซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่น เหล่ารุ่นพี่ของทีม Le Corsaire นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกไม่ค่อยพูด ทำให้บรรยากาศเวลาฝึกซ้อมเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ฝึกซ้อมกันโดยแทบจะไม่พูดอะไร
แม้ว่าสำหรับฉันที่คุ้นเคยกับเซจินและอีเซที่ชอบเอะอะโวยวาย จะรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยกับบรรยากาศเยือกเย็นนั้น แต่ฉันก็ได้กลายเป็นสมาชิกของทีม Le Corsaire ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และฉันก็เริ่มชินกับบรรยากาศที่เงียบสงบนั้นขึ้นมาแล้วด้วย
“ฮวีกยอม อยู่นี่เองเหรอ”
“เอ่อ ค่ะ!”
“เวลาพักหมดแล้วนะ รีบไปกันเถอะ”
รุ่นพี่โซยอนเปิดประตูห้องน้ำ แล้วโผล่หน้าเข้ามาพลางยิ้มหวาน ฉันรีบสะบัดผ้าเช็ดหน้า แล้วบีบน้ำที่เหลืออยู่ออก หลังจากนั้นจึงตามหลังรุ่นพี่โซยอนไป
ตอนนี้รุ่นพี่อีกงกำลังซ้อมเดี่ยวในห้องซ้อมเต้นอยู่ ขาที่เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติราวกับน้ำไหล การควบคุมความหนักเบาของร่างกายที่เหยียดออกไปอย่างรวดเร็วและนุ่มนวล ไหล่และเอวที่ยืดหดอย่างทรงพลัง ท่าเต้นของรุ่นพี่ที่ทำให้รู้สึกได้จริงๆ ว่าการเคลื่อนไหวของมนุษย์สามารถงดงามได้เช่นนี้ ทุกคนในห้องต่างมองดูรุ่นพี่อีกงอย่างตั้งอกตั้งใจโดยไม่รู้ตัว
ฉันไม่อาจพลาดส่วนไหนไปได้เลย ตั้งแต่เส้นผมเปียกเหงื่อที่พลิ้วไหว นิ้วมือที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้า ไปจนถึงเส้นที่โค้งงอของฝ่าเท้าที่กระแทกลงบนพื้น ฉันจ้องมองดูท่าเต้นของรุ่นพี่เหมือนกับจะสลักมันเข้าไปในตา จนรู้สึกขนลุกซู่ไปหมด
ฉันกล้ามากที่จะคิดอย่างนั้น คิดอยากที่จะถูกกอดด้วยแขนอันแข็งแรงนั่น อยากที่จะแอบอิงหน้าอกที่งดงามนั่น อยากจะสัมผัสคางเรียวๆ นั่น อยากจะจับมือใหญ่ๆ นั่น และที่ริมฝีปากนุ่มๆ นั่นก็ด้วย…
พอความคิดไปจบลงตรงนั้น หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาทันที อย่างกับว่าจะหลุดออกมา ฉันรีบกระแอมออกมาพลางหันหน้าไปทางอื่น ใบหน้าร้อนวูบขึ้นมาอย่างกับโดนไฟแผดเผา ด้วยความที่กลัวว่าจะโดนจับได้ ฉันจึงเอาผ้าเช็ดหน้าเปียกๆ ที่กำอยู่ในมือมาพันรอบหน้าอย่างลุกลี้ลุกลน ฉันรู้สึกผิดต่อรุ่นพี่สุดๆ
ทั้งที่กำลังดูรุ่นพี่เต้นอยู่ แต่กลับจินตนาการอะไรที่ไร้มารยาทแบบนี้ออกมา ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ
“รังเดม กัลแนร์”
ดนตรีจบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หลังจากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่อีกงที่เรียกฉันกับรุ่นพี่ฮยอนจุน ฉันรีบวางผ้าเช็ดหน้าไว้ที่มุมห้องแล้วเดินมาตรงกลางห้องซ้อมเต้น
ฉันรอเสียงเพลง ขณะที่ยืนประจันหน้าเข้าหารุ่นพี่ฮยอนจุนที่วันนี้สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก คงเป็นเพราะการฝึกซ้อมที่ยากลำบาก แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าสายตาของรุ่นพี่อีกงจ้องเขม็งผ่านไหล่ของฉันมา
ความรู้สึกวิตกกังวลรัดแน่นอยู่ที่ต้นขา ฉันกำมือที่มีเหงื่อท่วม พลางควบคุมการหายใจอย่างใจเย็น ใช่แล้ว ฉันเรียนรู้มันจากการดูก็ตั้งหลายครั้ง การเคลื่อนไหวของกัลแนร์ที่อยู่ในวิดีโอที่รุ่นพี่อีกงโชว์ให้ดูน่ะ มันน่าจะซึมซับเข้าไปในร่างกายแล้วไม่ใช่เหรอ อย่ากังวลไปเลยน่า
ฉันเตือนสติตัวเองพลางเพ่งสมาธิไปยังทุกส่วนของร่างกาย แต่แล้วฉันก็ได้ยินเสียงแว่วที่ทำให้เสียสมาธิ เป็นเพราะเสียงวิ้งๆ ที่ดังเสียจนทำให้ฉันรู้สึกอารมณ์เสียนั่น ฉันเลยรู้สึกปวดหูไปหมด
เมื่อความเงียบเกินจำเป็นมันนานจนน่าแปลกใจ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องไปยังรุ่นพี่ฮยอนจุน รุ่นพี่ทำสีหน้าเลิ่กลั่กจ้องมองมาที่หน้าของฉัน
เอ๋ ฉันทำหน้าเอ๋อปนสงสัย แต่รุ่นพี่ฮยอนจุนกลับขยับปากพูดอะไรบางอย่าง
“…นี่ ฮวีกยอม!”
ณ วินาทีนั้น เสียงน่าหนวกหูที่ดังจนรู้สึกเวียนหัวก็หายวับไป กลายมาเป็นน้ำเสียงโมโหของรุ่นพี่อีกงที่บาดลึกเข้ามาในหูของฉันแทน ฉันเอามือทาบลงบนหน้าอกที่เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับหันไปมองรุ่นพี่ ดวงตาของรุ่นพี่ที่จ้องมองมาทางฉันที่กำลังทำสีหน้าเจื่อนๆ นั้นช่างน่ากลัว
“ร้อนเกินไปเหรอ หรือว่าไม่ตั้งใจกันแน่”
“…คะ?”
“ไม่ได้ยินเสียงดนตรีหรือไง”
ตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งจะได้ยินเสียงเพลงที่ดังเบาๆ อยู่ภายในห้องซ้อมเต้น จู่ๆ หูข้างขวาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา ฉันรีบโค้งศีรษะอย่างร้อนรน และแอบกัดปากโดยไม่ให้ใครเห็น
“ขอโทษค่ะ ขอใหม่อีกครั้งนะคะ”
อาจเป็นเพราะความวิตกกังวลเกินจำเป็นเวลาอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่อีกงก็ได้ แม้ว่าการที่รุ่นพี่ไม่เข้าใจหัวใจของฉันเลยสักนิดนั้นจะทำให้ฉันน้อยใจอยู่บ้าง แต่ในฐานะรุ่นพี่แล้ว มันก็เป็นการกระทำที่สมควรทำเพื่อตักเตือนรุ่นน้องที่ทำผิด
อารมณ์ต่างๆ ที่พันกันยุ่งเหยิงกำลังหมุนวนรอบตัว พร้อมกับหางตาที่ส่งมาทิ่มแทง ฉันกัดฟันทนเพื่อที่จะไม่ร้องไห้ จนหูข้างขวาเหมือนจะเริ่มเจ็บขึ้นมาอีกครั้ง
“…ดนตรี”
รุ่นพี่อีกงพยักหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ฉันรีบหันหน้าไปทางรุ่นพี่ฮยอนจุน แล้วเริ่มตั้งท่า
* * *
ฉันออกมาหลังจากที่ถูกทิ้งให้จัดการเก็บกวาดห้องซ้อมเพียงลำพังจนเรียบร้อย ทั้งโรงเรียน ทั้งถนน ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด เส้นผมที่ยังไม่แห้งหลังจากที่อาบน้ำทำให้รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ตั้งแต่กระหม่อมลงไปจนถึงแถวต้นคอ ฉันดื่มด่ำไปกับลมในคืนกลางฤดูร้อนที่ปะทะแก้ม พร้อมทั้งยกไหล่ขึ้น
กระเป๋าที่หนักเพราะอัดแน่นไปด้วยผ้าเช็ดหน้าเปียกๆ ชุดซ้อม ร้องเท้า และอื่นๆ จนแทบจะทำเอาไหล่เกือบหัก ยังคงลื่นไหล่ลงไปข้างล่างอยู่เรื่อยๆ ฉันจึงต้องยกกระเป๋าขึ้นทุกๆ สองก้าวที่เดินไป พอทำอย่างนั้นซ้ำๆ เลยทำให้แม้แต่พละกำลังที่เหลืออยู่เองก็ไหลไปกองอยู่กับพื้นเช่นกัน
“ร้อนจัง”
สุดท้ายฉันก็มาวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้หน้าร้านสะดวกซื้อเล็กๆ แถวบ้าน ก่อนจะทรุดนั่งลงไป ฉันใช้ชีวิตอย่างไร้สติในทุกๆ วัน โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแต่ละวันนั้นผ่านไปเช่นไร แต่ถึงอย่างนั้น การที่สามารถพบเจอกับรุ่นพี่อีกงได้ทุกวันนั้น ถือเป็นรางวัลปลอบใจชิ้นใหญ่สำหรับฉัน
แวบหนึ่งที่ภาพใบหน้าของรุ่นพี่ตอนโกรธผุดขึ้นมา หน้าอกของฉันรู้สึกเจ็บแปลบ ตามมาด้วยน้ำตาที่ไหลริน หน้าร้านสะดวกซื้อยามดึกที่ไร้ผู้คน ฉันเอากำปั้นทุบหน้าอกที่เต็มไปด้วยความอึดอัด พลางนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้นสักพัก
ฉันปล่อยโฮจนเวลาผ่านไป แล้วความหิวก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา แม้แต่เวลาแบบนี้ความรู้สึกหิวก็ยังเป็นปกติงั้นเหรอ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี่มันช่างซื่อตรงจริงๆ
ฉันฝืนร่างกายอันหนักอึ้งให้ยืนขึ้น แล้วเดินเข้าไปข้างในร้านสะดวกซื้อที่เงียบสงบไร้ผู้คน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับถุงใบใหญ่ที่มีขนมปังอัดแน่นอยู่ ฉันนั่งลงพลางวางกระเป๋าอีกครั้ง ก่อนที่จะฉีกห่อขนมปังออกแล้วล้วงเข้าไปข้างในเพื่อควานหาสติกเกอร์
“ไม่มี ไม่มี ไม่มี ไม่มี…”
ไม่มี ไว้โอกาสหน้านะ
สติ๊กเกอร์สีขาวที่มีรูปหน้าหัวเราะร่วงตกลงไปบนพื้น ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ดวงเรื่องการชิงโชคไม่เคยมีตัวตนอยู่ในชีวิตฉัน แต่เซจินน่ะ เคยจับได้ของหายากด้วยซ้ำ ทั้งที่ฉันมักจะสะสมสติกเกอร์ที่ได้จากขนมปังมาแบบฟูลเซ็ตแท้ๆ แต่แม้แต่ของกากๆ ที่มักจะได้ง่ายๆ ก็ยังไม่ง่ายสำหรับฉันเลย เซจินเองก็มักจะล้อฉันอยู่บ่อยๆ ว่า ฉันเป็นสาวน้อยผู้โชคร้ายหรือไงกันนะ
นั่นเลยอาจกลายมาเป็นความดื้อดึง ที่ทำให้บางครั้งฉันก็มักจะทำเรื่องท้าทายไร้ความหมายแบบนี้ เพียงแค่ได้เสี่ยงโชคกับอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ฉันก็มักจะรู้สึกอารมณ์ดี คงเพราะเหมือนมันเป็นลางที่บอกว่าคงจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นล่ะมั้ง แน่ล่ะว่ามันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ โดยเฉพาะอย่างวันนี้ วันที่ฉันอยากจะร้องไห้ วันแบบนี้ฉันยิ่งรู้สึกอยากจะพึ่งพิงความหวังที่แม้จะมีขนาดเล็กเท่าเส้นด้าย
ไม่มี ไว้โอกาสหน้านะ
ไม่มี ไม่มี ไม่มี…
“โธ่เอ๊ย”
ว่าแล้วว่าวันแย่ๆ จะทำอะไรมันก็แย่ไปหมด ถุงขนมปังที่ถูกฉีกออกค่อยๆ วางกองกันอยู่ข้างใต้เป็นชั้นๆ เก้าในสิบของขนมปังเป็นขนมปังที่ฉันเสี่ยงโชคไม่ได้ ฉันวางถุงขนมปังที่ยังไม่ได้แกะไว้บนตัก แล้วถือขนมปังที่กองรวมกันอยู่ข้างใต้ขึ้นมา แล้วค่อยๆ โยนมันเข้าปาก
ลำคอเองก็ติดขัดไปหมดเหมือนกับหน้าอกที่อึดอัด ฉันค่อยๆ กัดขนมปังถั่วแดง ความหอมหวานละลายไปทั่วปลายลิ้น ฉันยัดขนมปังสามสี่ก้อนติดๆ กันเข้าไปในปาก ทั้งรสครีม รสแยมสตรอเบอร์รี่ รสเกาลัด…
“ได้ติดคอแน่”
ระหว่างที่ฉันฝืนใจเคี้ยวขนมปังที่ยัดอยู่เต็มข้างในปาก อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง ด้วยความตกใจ ฉันจึงทำแก้มตุ่ยทั้งสองข้างอย่างกับหนูแฮมสเตอร์ พลางกระแอมออกมา แล้วหันหลังกลับไปดู คุณพระช่วย รุ่นพี่อีกงจริงๆ ด้วย
ยังไม่ทันจะได้กลืนขนมปังลงไป ก็เลยได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา ด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ฉันจึงได้แค่กลอกตาไปมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทำให้รุ่นพี่หลุดหัวเราะออกมา หัวเราะสั้นๆ แต่ดังกังวาน
ด้วยความอายจึงก้มหน้าก้มตาลงแล้วกัดฟันแน่น ก่อนจะเริ่มต้นเคี้ยวขนมปังที่อัดแน่นอยู่เต็มปาก
รุ่นพี่ที่ยังคงอยู่ในชุดนักเรียนเช่นเดิมโยนกระเป๋าที่ถืออยู่ลงข้างๆ ฉัน แล้วหย่อนก้มนั่งตามลงมา ฉันที่ไม่คาดฝันว่าจะได้ข้างๆ รุ่นพี่แบบนี้ แถมยังใส่ชุดนักเรียนเหมือนกันอีก จึงสะอึกออกมา ก่อนจะพยายามกลั้นอาการสะอึกเอาไว้อย่างแทบเป็นแทบตาย
“เลือกสิ”
“…คะ?”
“รสช็อกโกแลต รสสตรอว์เบอร์รี รสกาแฟ รสจืด”
ในมือทั้งสองข้างของรุ่นพี่ที่ยื่นพรวดมาที่ข้างหน้าฉัน มีกล่องนมสี่กล่องวางอยู่อย่างน่าหวาดเสียว ในตอนที่ฉันกำลังจ้องมองพวกมันอย่างเหม่อลอย รุ่นพี่ก็เร่งเร้าด้วยการบอกว่า เร็วๆ สิ ฉันหยิบรสสตรอว์เบอร์รีที่ดูสะดุดตาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รุ่นพี่จึงหลุดขำออกมาอีกครั้ง
“ชอบรสสตรอว์เบอร์รีนี่เองสินะ”
“อันไอ่ไอ้อ่างอั้นอ่า…”
คำพูดของรุ่นพี่ที่ไม่รู้ทำไมถึงดูเหมือนแปลกใจ ทำให้ฉันรีบร้อนที่จะบอกว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่เพราะขนมปังเต็มปาก เสียงที่ออกมาเลยฟังดูตลกแทน ต้องขอบคุณที่รุ่นพี่เล่นขำซะแทบหมดลมหายใจ เลยทำให้ความอายพุ่งจากปลายเท้าขึ้นไปจนถึงหัว ฉันรีบแกะนมสตรอว์เบอร์รีที่อยู่ในมือ แล้วดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่
“สะสมสติกเกอร์เหรอ”
“…เปล่าค่ะ แค่ขำๆ น่ะค่ะ”
คงเป็นเพราะว่าเขาเห็นสติกเกอร์ที่เขียนว่าไม่มี กระจายอยู่ที่พื้น รุ่นพี่อีกงจึงหยิบขนมปังที่วางอยู่บนตักฉันซึ่งยังไม่ได้แกะขึ้นมาเพ่งมอง เขาหัวเราะคิกคัก แล้วฉีกออกอย่างไม่ลังเล หลังจากนั้นสติกเกอร์ก็กระเด็นตกลงไปที่พื้น
“อ๊ะ…”
สติกเกอร์นั้นคือ ‘ของหายาก’ ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ฉันมองดูสติกเกอร์โฮโลแกรมที่ส่องประกาย พร้อมกับอุทานว่า อ๊ะ ออกมาโดยไม่รู้ตัว รุ่นพี่จึงยื่นเจ้าสิ่งนั้นมาให้ฉัน แล้วพูดขึ้น
“พี่เก่งไหมล่ะ”
“คะ?”
“ก็เพราะพี่ฉีกมันออกมาเลยได้นี่ไงล่ะ”
“…อ่อ”
“เธอไม่มีดวงกับเรื่องพวกนี้เลยสักนิด มาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วนี่”
คำพูดของรุ่นพี่อีกงที่ปนเสียงหัวเราะ ราวกับรู้ถึงความโชคร้ายของฉันเป็นอย่างดีนั่นทำให้ฉันได้แต่กะพริบตาทั้งสองข้างปริบๆ อย่างใจลอย ส่วนรุ่นพี่ที่จ้องมองสติกเกอร์ที่ถืออยู่ในมืออย่างนิ่งๆ จู่ๆ ก็ยื่นมืออีกข้างหนึ่งมาทางฉัน
“เอาโทรศัพท์มาสิ”
“…นี่ค่ะ”
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ รุ่นพี่แปะสติกเกอร์นั้นลงบนมือถือของฉันด้วยปลายนิ้วมืออย่างพิถีพิถัน
หลังจากนั้นก็วางมือถือลงบนฝ่ามือของฉันที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศอีกครั้ง ก่อนจะเลือกนมรสจืดจากนมกล่องทั้งหมดที่เรียงอยู่ที่พื้นขึ้นมา อึกๆ นั่นคือเสียงของนมที่ไหลลงคอของรุ่นพี่อีกง
“ฮวีกยอม”
“…คะ”
“อย่าเกลียดพี่เลยนะ”
คำพูดของรุ่นพี่ที่ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ฉันจ้องมองรุ่นพี่ด้วยสายตาตกใจ ส่วนรุ่นพี่ก็บีบกล่องนมที่ดื่มจนหมดแล้วด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม พร้อมกับพูดต่อด้วยเสียงเบาๆ
“แล้วก็อย่าเอาแต่มองข้างหลังของพี่ด้วย”
“…”
“เพราะตอนนี้ เธอเองก็เป็นนักเต้นที่สง่างามแล้วนะ”
“…”
“เข้าใจหรือเปล่า”