ตอนที่ 3-2 ได้โปรดชอบฉันเถอะ
ความจริงแล้ว ฉันไม่เข้าใจหรอก แต่ก็พยักหน้ารับไว้ก่อน หลังจากนั้นรุ่นพี่จึงยื่นมือออกมาลูบหัวของฉันอย่างเงียบๆ ทำไมหัวใจถึงได้เต้นรัวนักนะ ฉันเม้มปากนิ่ง ได้แต่มองตรงไปข้างหน้า ไม่นาน มือของรุ่นพี่ก็มาตบเบาๆ ที่ไหล่ของฉัน
ชุดนักเรียนในฤดูร้อนค่อนข้างจะบางมาก อุณหภูมิในร่างกายของรุ่นพี่ที่ส่งผ่านมาทางผ้าบางๆ นั่นช่างอบอุ่นเหลือเกิน ทั้งยังอ่อนโยนด้วย ทำให้หน้าอกรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับว่าถูกมือของรุ่นพี่สัมผัสโดยตรงที่ผิว ดูเหมือนว่าอุณหภูมิของร่างกายจะเพิ่มสูงขึ้นตรงส่วนที่รุ่นพี่สัมผัสเท่านั้น
หลังจากที่มือของรุ่นพี่ได้หลงเหลือความรู้สึกวาบหวิวทิ้งเอาไว้ ฉันก็คลายความเกร็งทั่วทั้งร่าง พร้อมกับแอบถอนหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา
“รีบกลับกันเถอะ นี่ก็ดึกแล้วด้วย”
“ค่ะ ว่าแต่…”
“หือ”
“แล้วทำไมรุ่นพี่ถึงยังไม่กลับล่ะคะ…”
ฉันจ้องเขม็งไปที่รุ่นพี่ที่แม้ว่าจะดึกแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในชุดนักเรียน พร้อมกับแบกกระเป๋าหนักๆ ขณะเดียวกันก็พูดตัดบทขึ้นมา ฉันเกิดความสงสัยขึ้นว่า ทำไมรุ่นพี่ที่กลับไปก่อนที่ฉันจะออกมาได้สักพัก ถึงได้ยังมาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้
รุ่นพี่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ พลางยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปโดยไม่พูดอะไร แล้วเริ่มเดินไปข้างหน้าอย่างเนิบๆ ฉันจึงรีบวิ่งไล่ตามหลังรุ่นพี่ไป
“พี่ไปส่งเอง”
ฉันวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมายืนอยู่ข้างๆ รุ่นพี่ แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็คว้ามือฉันไปกุมเอาไว้ เขายังคงมองตรงไปข้างหน้า พร้อมกับพึมพำเบาๆ เป็นเพราะไม่คาดคิดว่าจะถูกจับมือ ฉันจึงเอาแต่รีบเดินจ้ำอ้าวตามรุ่นพี่ไป ต้องขอบใจการก้าวเท้าอย่างรวดเร็วของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพกึ่งวิ่งมากกว่าจะเรียกว่าการเดิน
ฉันจ้องเขม็งเหมือนกับจะเจาะใบหูของรุ่นพี่ให้เป็นรู ส่วนรุ่นพี่ก็ยังคงมองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ใบหูเล็กๆ น่ารักกำลังเปล่งแสงสีแดงอมชมพูอยู่ภายในความมืด
ฉันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเขาคาใจเรื่องที่ดุฉันอย่างโหดร้ายจากการซ้อมในวันนี้ เลยทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ เหมือนกับเมื่อตอนนั้นที่เขามาเพื่อบอกฝันดีอยู่ที่หน้าบ้านฉัน
รุ่นพี่ที่อ่อนโยนเกินความจำเป็น แต่ฉันเองก็ไม่ใช่รุ่นน้องที่ไม่เข้าใจจิตใจของรุ่นพี่แล้วก็จะเกลียดเขาสักหน่อย ต่อให้เป็นคำพูดที่ใจร้ายใจดำมากยิ่งกว่านี้ ฉันก็ทำได้แต่ชอบรุ่นพี่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ
“ดวงจันทร์อยู่ใกล้มากๆ เลยแฮะ”
ฉันหูผึ่งตั้งใจฟังเสียงของรุ่นพี่ที่บ่นพึมพำอยู่คนเดียว ขณะที่เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า ดวงจันทร์ขนาดใหญ่มหึมาอยู่ใกล้ราวกับจะเอื้อมมือถึง และกลิ่นของคืนกลางฤดูร้อนจางๆ
มือของฉันที่รุ่นพี่จับอยู่ มันรู้สึกจั๊กจี้ พื้นที่ระหว่างฝ่ามือกับฝ่ามือที่จับกันอยู่นั้นเหมือนกับว่ามันเต็มไปด้วยอากาศร้อนๆ ฉันค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือของตัวเองไปติดกับฝ่ามือของรุ่นพี่อย่างระมัดระวังโดยไม่ให้รุ่นพี่สังเกตเห็น ฝ่ามือของรุ่นพี่ที่แนบชิดกันยังคงทิ้งความชื้นเย็นวาบเอาไว้
“เอ่อ รุ่นพี่คะ”
“หือ”
“พรุ่งนี้ไปโรงเรียนกี่โมงเหรอคะ”
“ก็ออกจากบ้านหกโมงครึ่งน่ะ ทำไมเหรอ”
“คือว่า… พรุ่งนี้ช่วยไปโรงเรียนพร้อมกับฉันได้หรือเปล่าคะ”
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหน พอได้พูดโผล่งออกมาแล้ว หัวใจที่เต้นตึกตักก็เหมือนจะหลุดออกมา ฉันจึงรีบกัดริมฝีปากเอาไว้แน่น เป็นเพราะไออุ่นจากตัวของรุ่นพี่ที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือหรือเปล่านะ ไม่รู้ทำไม แต่เหมือนฉันจะคิดแบบนั้น คิดว่าอยากที่จะเข้าไปใกล้รุ่นพี่ให้เท่ากับระยะห่างของฝ่ามือที่แนบชิดกันอยู่
ความเงียบโอบล้อมอยู่ชั่วครู่ ฉันสงสัยว่าตัวเองพูดอะไรที่ไร้สาระออกไปหรือเปล่า เลยเงยหน้าขึ้นเพื่อพยายามที่จะพูดเรื่องอื่น แต่พอได้สบสายตาของรุ่นพี่ จะว่าอย่างไรดีล่ะ ดวงตานั้นมันกลับกำลังยิ้มอย่างงดงามเหมือนจะระเบิดออกมา
“เอาสิ”
“…จริงเหรอคะ”
“อย่าออกมาสายล่ะ”
ฉันพยักหน้าอย่างสุดแรง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เปล่งประกายเป็นสีขาวเสียยิ่งกว่าดวงจันทร์ และตาที่ยิ้มแย้มสุดฤทธิ์ ฉันกำลังถลำลึกเข้าสู่คืนกลางฤดูร้อนที่ได้กลายมาเป็นความลับใหม่ของฉัน
* * *
ระยะทางจากบ้านไปจนถึงโรงเรียนนั้น เดินทางด้วยรถเมล์ประจำหมู่บ้านไปแค่สามป้าย แล้วลงเดิน จะใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที นักเรียนแผนกเต้นส่วนใหญ่จะเดินไปโรงเรียนกัน ถ้าเป็นในตอนที่มีฝึกเช้าด้วยล่ะก็ จะเห็นเหล่านักเรียนแผนกเต้นวิ่งเช็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากขึ้นเนินเขามาทางประตูโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่ฟ้าสาง
เนื่องจากโรงเรียนตั้งอยู่บนที่สูงมากๆ ฉันเลยเริ่มชินกับการขึ้นเนินเขาที่สูงชันทุกเช้า พวกเด็กผู้หญิงก็มักจะหยุดพักเอาแรงกันบ้าง แต่สำหรับพวกเด็กผู้ชายที่มีความกระฉับกระเฉงและพลังที่ล้นเหลือแล้ว บางคนก็จะวิ่งขึ้นไปพร้อมกับเสียงหัวเราะเหมือนกับกำลังแข่งกันอยู่
สวนสาธารณะเล็กๆ ที่ฉันมักจะมาแวะอยู่บ่อยๆ เพื่อออกกำลังกายระหว่างทางจากบ้านไปโรงเรียน ทั้งยังเป็น สถานที่แห่งความทรงจำของฉันกับรุ่นพี่อีกง นอกจากนี้ยังมีสะพานลอยพาดผ่านถนนสุดกว้าง และตรอกแคบๆ ที่มีร้านเครื่องเขียนเก่าแก่กับร้านอาหารจานเดียวกระจุกตัวกันอยู่
แม้ว่าจะเป็นช่วงฝึกซ้อมสำหรับงานแสดง แต่เพราะเป็นเวลาที่ค่อนข้างเช้าเกินไป พวกเด็กๆ ที่มาโรงเรียนเลยยังน้อยอยู่ ส่วนฉัน วันนี้ก็กำลังเดินไปด้วยกันกับรุ่นพี่อีกงบนเส้นทางเหล่านั้น ภายใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินจางๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย รุ่นพี่หัวเราะเสียงดังออกมาเป็นครั้งคราว พลางฟังเรื่องราวของฉันที่จับต้นชนปลายไม่ถูกมั่วซั่วไปหมด
พอได้มาอยู่แบบนี้แล้ว มันก็ทำให้ฉันเกิดมโนขึ้นมาว่า พื้นที่ตรงนี้คงมีอยู่เพื่อฉันและรุ่นพี่อีกงเพียงเท่านั้น ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเนินเขา ระหว่างที่ผ่านตรอกแคบๆ ฉันแอบยื่นมือออกไป แล้วใช้ปลายนิ้วจับชายเสื้อนักเรียนของรุ่นพี่อย่างระมัดระวังโดยไม่ให้รู้ตัว รุ่นพี่และฉันกำลังเชื่อมต่อกันอยู่ มันทำให้ฉันรู้สึกปลอดภัย
“เธอนี่ พูดเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกนะ”
“…ฉันไม่ได้เป็นคนเงียบขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“งั้นหรอกเหรอ”
เสียงหัวเราะสั้นๆ ของรุ่นพี่ ฟังแล้วเย็นสบาย ก็จริงนะ แค่ยืนอยู่ต่อหน้ารุ่นพี่ ฉันก็กังวลจนมักจะเสียงหาย ปากแข็ง แล้วก็ตัวแข็งทื่อไปหมด ก็ไม่แปลกหรอกที่จะกลายเป็นเด็กที่ไม่พูดไม่จา ฉันเกาแก้มพลางรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“เธอน่ะ แค่เห็นฉัน สีหน้าก็จะเปลี่ยนไปเป็นแบบ… นี้น่ะสิ ฉันเลยสงสัยว่าเธอเกลียดฉันหรือเปล่า”
“…ปะ เปล่านะคะ!”
รุ่นพี่ใช้นิ้วของตัวเองดันหางตาขึ้น แล้วก็ดึงมุมปากลงอย่างจริงจัง จนกลายมาเป็นใบหน้าที่บึ้งตึง ฉันที่เห็นรุ่นพี่ทำแบบนั้นจึงตกใจ รีบส่ายมือปฎิเสธยกใหญ่ หลังจากนั้นจึงทำปากพึมพำ
ที่จริง ฉันชอบรุ่นพี่สุดๆ ไปเลยต่างหากล่ะ
ฉันไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำนั้นออกมาให้รุ่นพี่ได้ยิน ได้แต่ก้มหัวงกๆ จ้องมองไปที่ปลายเท้า แล้วฉันก็ได้เห็นเม็ดทรายกลิ้งมา
ฉันชอบรุ่นพี่ ชอบตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกัน ถ้าได้ยืนอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้ ฉันคงจะขนลุกไปทั่วทั้งตัว จนกล้ามเนื้อเกร็งไปหมด
“คิมฮวีกยอม คุณรุ่นน้องครับ”
“คะ?”
มืออุ่นๆ ของรุ่นพี่จับลงบนไหล่ของฉันโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว อุณหภูมิในร่างกายของรุ่นพี่ที่ส่งผ่านมาทางเสื้อเชิ้ตบางๆ ทำเอาใบหน้าของฉันร้อนผ่าว พยายามทำใจให้สงบลงแล้วเงยหน้ามองรุ่นพี่ รุ่นพี่ส่งสายตายิ้มแย้มมาให้พลางก้มหน้ามองฉัน
“ได้โปรดช่วยชอบรุ่นพี่คนนี้ให้มากๆ เถอะนะ”
“…”
“อย่าเกลียดเพราะว่าพี่ดุเธอทุกวันเลยนะ”
หัวใจเต้นตึกตัก ไม่สิ โครมคราม อย่างกับจะหลุดออกมา รุ่นพี่ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหันกลับไปเริ่มเดินขึ้นเนินเขาอย่างช้าๆ กระเป๋าของรุ่นพี่ที่สะพายอยู่บนหัวไหล่แกว่งไปมาอย่างมีน้ำหนัก
ตอนที่ฉันเผลอยื่นมือไปที่หลังของรุ่นพี่ มือของฉันพยายามจะสัมผัสไหล่ที่แข็งแกร่งนั่น แต่ทันใดนั้น มือของฉันก็ผงะแล้วหยุดนิ่งไป
ไม่มีทางที่จะเอื้อมถึงได้เลย มันเหมือนกับว่าแผ่นหลังของรุ่นพี่มีแสงเปล่งประกายออกมา ฉันขมวดคิ้วเบาๆ และลดมือที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยท่าทางลังเล ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ก็ยังอยากจะสัมผัสอยู่ดี ฉันเดินไปยืนอยู่ข้างๆ รุ่นพี่อีกครั้ง พร้อมกับคิดแบบนั้นขึ้นมาอีก
รุ่นพี่ไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้ว ฉันน่ะ ชอบรุ่นพี่เอามากๆ เลยล่ะ
* * *
ชั่วโมงเรียนที่ยาวต่อเนื่องภายใต้แดดจ้ากลางฤดูร้อนที่ฝนไม่ยอมตกลงมา พวกเรายังคงต้องต่อสู้กับความง่วงที่จู่โจมเข้ามา เป็นเพราะทุกคนต่างซ้อมเช้าอย่างขยันขันแข็ง เลยประคับประคองร่างที่แสนเหนื่อยล้าได้ยากลำบาก เด็กกว่าครึ่งกำลังพยายามฝืนไม่ให้เผลอหลับจนหัวทิ่มพื้น
คาบวรรณกรรมที่แสนน่าเบื่อ เซจินและอีเซที่นั่งอยู่แถวหน้าหลับเอาหน้าผากแนบโต๊ะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากเปลี่ยนที่นั่งใหม่ เซจินได้คู่กับอีเซ ส่วนฉัน เป็นเพราะเจ้าพวกสองคนที่หน้าคว่ำลงไปแล้ว เลยต้องมาตกอยู่ในทัศนียภาพที่โปร่งโล่ง และต้องฮึดสู้พยายามหยิกขาอ่อนตัวเองเพื่อไม่ให้หัวตกลงไป
ฉันพยายามประคองหัวที่คอยแต่จะตกลงไปข้างล่างอย่างยากลำบาก พลางหันไปมองรอบๆ ห้องเรียนด้วยใบหน้าเซ็งๆ แล้วฉันก็ไปสะดุดตาเข้ากับซูฮยอนที่เป็นคู่นั่งคนใหม่ของฉัน เขากำลังเท้าคางมองตรงไปข้างหน้าอยู่ เขาเองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ตาของซูฮยอนที่มองตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ไหวติงนั้น แม้จะดูแปลก แต่ก็รู้สึกคุ้นเคย
ฉันเหม่อลอยมองดูข้างๆ ของซูฮยอนอยู่แบบนั้นสักพัก มือที่เท้าคางก็ดูแข็งแรง ตาก็โต จมูกก็โด่ง สมกับคำว่าหน้าตา ‘ดี’ จริงๆ ดวงตาสีดำคู่นั้นเหมือนจะดูอ่อนโยนขึ้น แทนที่จะให้ความรู้สึกน่ากลัวและดุร้ายอย่างที่เคยรู้สึกเสมอ ในตอนที่ฉันคิดว่ามันกำลังสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ตาดวงนั้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“คิมฮวีกยอม”
ริมฝีปากของซูฮยอนที่หยุดนิ่งเหมือนกับรูปปั้นนั้น จู่ๆ ก็ขยับพลางเรียกชื่อฉัน ฉันสะดุ้งตัวโยนอย่างกับคนที่ลักขโมยของมาแล้วถูกจับได้ พร้อมกับตั้งตัวตรง
ดวงตาของซูฮยอนที่ค่อยๆ หันมาจ้องมองที่ฉัน เปลี่ยนมาเป็นสายตาที่ดุร้ายเหมือนเมื่อก่อน ดวงตาที่ลึกเกินหยั่งถึง ฉันได้แต่กลืนน้ำลาย
“จ้องฉันทำไม”
“หือ อ๋อ… กะ ก็แค่คิดว่านายหล่อดีน่ะ”
“…อะไรของเธอ ขนลุก”
ทำไมมันถึงฟังแล้วดูน่าขำกันนะ เสียงของซูฮยอนที่ได้ยินในตอนนี้ เหมือนจะแตกต่างไปเล็กน้อยจากเสียงแข็งๆ แบบที่เขาใช้ตอนสั่งห้องของพวกเราในคาบเรียนอิสระ มันเป็นเสียงที่ไพเราะ สุขุม นุ่มนวล ฟังแล้วรื่นหู ฉันตกใจเล็กน้อย เสียงของชเวซูฮยอนเป็นแบบนี้เองสินะ
ซูฮยอนหันหน้ากลับไปอีกครั้ง แล้วมองตรงไปข้างหน้า เขาหรี่ตาลงพร้อมกับเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เธอสนิทกับรุ่นพี่ลีอีกงเหรอ”
“หือ รุ่นพี่อีกงน่ะเหรอ”
ชื่อของรุ่นพี่อีกงที่หลุดออกมาอย่างคาดไม่ถึง เล่นเอาฉันตกใจอีกครั้ง อ่อ นึกออกแล้ว สายตาที่ซูฮยอนกำลังทำตอนนี้ ก็คือสายตาที่ฉันเห็นที่โรงภาพยนตร์ เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ก่อน
“ก็วันนี้มาโรงเรียนด้วยกัน”
“…อ๋อ บ้านอยู่ใกล้ๆ กันน่ะ”
“…อย่างนี้นี่เอง”
“ว่าแต่ แล้วทำไมเหรอ”
ซูฮยอนปิดปากเงียบไปอีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามของฉัน เขาวางมือที่เท้าคางแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ความเงียบปกคลุมอยู่สักครู่หนึ่ง ฉันเกาหัวด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
แน่นอนว่าเรื่องที่มาโรงเรียนกับรุ่นพี่อีกงเมื่อเช้านั้นเป็นเรื่องจริง และถึงบางครั้งรุ่นพี่จะมองมาที่ฉันและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แต่ไม่รู้ทำไม ฉันถึงไม่ได้รีบร้อนบอกออกไปว่าสนิทกับรุ่นพี่ เรื่องนั้นทิ่มแทงหัวใจของฉันมากทีเดียว และสุดท้าย ฉันก็เริ่มที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมา
ถ้าเป็นเซจิน เธอจะบอกออกไปอย่างมั่นใจเลยหรือเปล่านะว่าสนิทกัน ฉันกดปากกาที่ถืออยู่ในมือเอาไว้แน่นแล้ววาดเส้นลงบนสมุด ระหว่างที่ลากเส้นที่ไร้ความหมาย ฉันก็เขียนชื่อของรุ่นพี่อีกงลงไปและข้างๆ กันนั้น ก็เขียนชื่อของฉันลงไปด้วย
ลี-อี-กง คิม-ฮวี-กยอม
“รุ่นพี่ลีอีกง ในสายตาเธอ เธอว่าหล่อไหม”
“…หา?”
ฉันสะดุ้งตกใจเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นชื่อของรุ่นพี่ที่ฉันเขียนในสมุด จึงรีบปิดสมุดแล้วหันไปจ้องซูฮยอน ซูฮยอนที่ยังคงเอาหน้าฟุบโต๊ะ พึมพำพลางถามอีกครั้ง
“ฉันถามว่ารุ่นพี่อีกงหล่อไหม”
“…อือ หล่อ”
“…”
“ใจดี แล้วก็อ่อนโยน…”
“อย่างงี้นี่เอง”
ซูฮยอนตัดบทฉันด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ เหมือนกับเขากำลังอวดใบหน้าด้านข้างที่ดูเรียวบาง ขณะที่มองจ้องไปยังกระดานดำที่อยู่ไกลๆ พร้อมทั้งพึมพำอยู่คนเดียวเหมือนกับว่าไม่ได้ใส่ใจที่ฉันกำลังจ้องมองเขาอยู่
“ฉันเอง ถ้าเหมือนกับรุ่นพี่อีกงก็คงดีสินะ”
“…ทำไมล่ะ”
“ก็ฉันอยากจะดูหล่อเหมือนกันนี่นา”
ก็หล่อพอแล้วนะ นายน่ะ
ฉันไม่กล้าพอที่จะพูดคำนั้นออกไป จึงได้แต่ปิดปากเอาไว้อยู่เงียบๆ เป็นเพราะว่าตาของซูฮยอน ตาที่มองตรงไปข้างหน้านั่นดูเศร้าเป็นอย่างมาก และไหนจะความจริงที่ว่าตาของซูฮยอนที่มองตรงไปข้างหน้านั่น ไม่ได้มองไปที่กระดาน แต่กำลังจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเซจิน
ไม่รู้เพราะอะไรแต่ดวงตาของซูฮยอนที่โดนแสงแดดตกกระทบ กลับดูเป็นประกายชุ่มน้ำ ฉันจึงหันมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบๆ แทน แสงแดดของฤดูร้อนที่แสนอ่อนล้า ช่างร้อนซะเหลือเกิน