Ch.18 – ณ ปราสาทร้าง

Translator : ปลาดุกอเมซอน / Author

เดินไปได้1ชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้ออกจากป่าและเห็นกำแพงหินพังๆตรงหน้า

 

“ที่นี่คือ[ปราสาทร้าง]ค่ะ ท่านโชมะ”

 

ริเซ็ตพูดออกมาพร้อมกับผมสีเงินที่สั่นไหว

 

สิ่งที่อยู่รอบตัวพวกเรามีเศษหินที่แตกกระจายไปเต็มพื้น แล้วก็ซากปรักหักพังที่น่าจะเคยเป็นอาคาร

สิ่งที่ยังคงเดิมมีเพียง ฐานกำแพงหินกับส่วนหนึ่งของอาคารเท่านั้น จากกำแพงที่ยังตั้งคงจะเป็นซากของบ้านหรือกระท่อมสินะ ส่วนร่องรอยการเผาไฟนั่นก็คงจะเป็นร่องรอยการใช้ชีวิตของพวกอสูร เพราะว่ามีดาบขึ้นสนิมกับเครื่องกันที่ใช้ไม่ได้แล้ววางเรียงรายอยู่เลยก็รู้

 

“…ปราสาทร้างจริงๆด้วยนะเนี่ย”

“ดูเหมือนในสมัยท่านจักรพรรดิมังกรจะถูกใช้โดนเจ้าเมืองที่ถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการค่ะ”

 

ริเซ็ตบอกออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

 

“แต่ด้วยภัยสงครามหลังจากนั้นทำให้คุณเจ้าเมืองถูกไล่ออกมา แล้วหลังจากนั้นก็ถูกปล่อยร้างไว้อย่างนั้นค่ะ”

“กว่าจะมาแถวนี้ได้มันก็ลำบากนี่นะ…”

“ก็มีอสูรเต็มไปหมดเลยนี่นะ ไม่ใช่ที่ที่จะให้อยู่จนต้องแลกชีวิตด้วยเลยเลย”

 

ฮารุกะมองไปรอบๆแล้วใช้นิ้ววาดรูปวงกลม

ดูเหมือนรอบๆนี้จะไม่มีอสูรเหลืออยู่แล้ว

 

“ดูเหมือน[อัศวินดำ]จะพาลูกน้องทั้งหมดไปบุกเลยสินะ”

“แสดงว่าจัดการทั้งหมดไปแล้วสินะคะ ดีจัง…”

 

ริเซ็ตลูบหน้าอกสบายใจอยู่ๆข้างๆผม

ผมเองก็รู้สึกสบายใจตามด้วย

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ขอไปเดินดูรอบๆล่ะ เสร็จงานแล้วก็เรียกได้เลย”

 

คุณกาลุงก้าลุงของฮารุกะพูดแบบนั้น แล้วก็พาเพื่อนเดินออกไป

ท่าทางจะออกไปเดินเฝ้าไม่ให้อสูรเข้ามาระหว่างพวกเราสำรวจ[ปราสาทร้าง]ให้

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปสำรวจข้างในกันเถอะ”

 

ริเซ็ตพูดแบบนั้นแล้วก็เอามือจับดาบ

ฮารุกะเองก็จับกระบอง

การต่อสู้จบลงไปแล้วแท้ๆ ยังมีอะไรอีกเหรอ?

“นี่เป็นปราสาทเก่าน่ะค่ะ จะมีอสูรซ่อนอยู่ก็ไม่แปลกอะไรค่ะ”

 

ริเซ็ตพูดออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด

 

“ในยุคท่านจักรพรรดิมังกรจะมีการกางเขตแดนต้านอสูรไว้ที่ปราสาทค่ะ”

“งั้นเหรอ?”

“ในยุคนั้นจะมีปราสาทอยู่ทั่วทั้งทวีปแล้วก็จะมีเจ้าเมืองไปคุมอยู่ที่นั่นค่ะ เป็นสิทธิที่ได้รับจากท่านจักรพรรดิมังกร คุณเจ้าเมืองที่ได้รับหน้าที่จากท่านจักรพรรดิมังกรจะได้รับพลังในการกาง[เขตแดน]ค่ะ”

 

อย่างนี้นี่เอง

ดังนั้นในตอนนั้นจึงสามารถขับไล่อสูรได้แล้วสินะ

 

“แต่ว่า…ตั้งแต่ท่านจักรพรรดิมังกรสวรรคตลงเขตแดนก็อ่อนแอลง ตอนนี้ก็ไม่ทำงานอย่างสมบูรณ์แล้วค่ะ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าใส่พลังเวทเข้าไป ก็ยังพอกางเขตแดนเล็กน้อยได้…แต่เพราะที่นี่อยู่ใกล้กับพื้นที่ของอสูรมากจึงไม่สามารถรักษาได้นานค่ะ ถ้ามีศัตรูระดับอัศวินดำมาก็ถูกทำลายได้เลย”

“สภาพแบบนี้ วงเวทเขตแดน ก็อาจจะถูกอัศวินดำทำลายไปแล้วก็ได้นะ…”

“ถึงแม้ดูเหมือนว่าในอดีตจะสามารถกางเขตแดนที่ทรงพลังได้ตลอดเลยก็เถอะค่ะ”

“นั่นสินะ ถ้ามีเจ้านั่นล่ะก็…”

 

“คงจะสามารถใช้ชีวิตสบายๆได้แท้ๆนะ…”

 

ผมพูดออกไป

ริเซ็ตกับฮารุกะทำหน้าตกใจมองมาทางนี้

เอ๊ะ? เผลอพูดเรื่องแปลกๆไปเหรอ?

 

“ขอพูดใหม่ละกัน ริเซ็ตเองก็จะได้ไม่เจอเรื่องน่ากลัวแล้วล่ะนะ”

“ทะ ท่านพี่โชม้า!”

 

ริเซ็ตมองมาที่ผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ

 

“ตอนที่อยู่[สุสานจักรพรรดิมังกร]ได้ยินที่ริเซ็ตพูดจริงๆด้วยสินะค้าา!?”

“อะไรกัน ท่านพี่เองก็รู้เหรอ เรื่องความกลัวของพี่ริส”

 

ฮารุกะเอามือแตะปากแล้วหัวเราะ ฮุฮุ

ฮารุกะเองก็รู้เหมือนกันสินะ ก็เพื่อนสมัยเด็กนี่เนอะ

 

“เก็บเป็นความลับนะ ในหมู่บ้านคนที่รู้ก็มีแค่เรานี่ล่ะ ทั้งเรื่องความกลัวของพี่ริส เรื่องที่ไม่ถูกกับที่มืด เรื่องที่ขี้แย แล้วก็เรื่องที่ไม่ชอบของหยึยๆกับของเผ็ด”

“จุดอ่อนเพียบเลยนะเนี่ย…”

“แต่ก็อดทนเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคนล่ะ รู้ได้เลยนะคะ”

“ฮารุกะ! ท่านโชมะก็ด้วย อย่าหัวเราะสิคะ!”

 

ริเซ็ตทำแก้มป่อง

 

ระหว่างที่พูดกันแบบนั้นพวกเราก็มาถึงยังใจกลางของ[ปราสาทร้าง]ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ที่อยู่ตรงหน้าคือหอคอยหินที่เหลือเพียงหนึ่งชั้นเท่านั้น

 

“เขตแดนน่าจะอยู่ข้างในนี้ค่ะ”

“ก่อนหน้านั้นก็ต้องดูให้ดีว่าไม่มีอสูรสินะ”

 

ฮารุกะถือกระบองออกไปข้างหน้า

ใบหน้าสบายๆเปลี่ยนเป็นจริงจัง ใช้ปลายนิ้วไถผมสีแดง แล้วลูบเขาเบาๆ จากนั้นฮารุกะก็ยิ้มออกมาอย่างไร้เทียมทาน

 

“ก่อนอื่นเราจะเข้าไปก่อนละกันนะ ท่านพี่กับพี่ริสก็ตามมาล่ะ”

 

ฮารุกะแตะประตูของหอคอยด้วยมือเปล่า

ถึงประตูไม้จะถูกเสริมด้วยเหล็ก แต่ก็พังเกือบหมดแล้ว

ฮารุกะค่อยๆเปิดประตูออก–แล้วก็พุ่งเข้าไปด้่านใน

 

“ทางสะดวก เข้ามาได้เลย”

 

ผ่านไปสักพักฮารุกะก็ส่งเสียงมาจากข้างใน

ผมกับริเซ็ตเข้าไปในหอคอย

ข้างในเป็นห้องโทรมๆ สมกับเป็นปราสาทร้างจริงๆ

 

ใจกลางห้องมีคริสตัลสีขาวร้าวๆ

ที่พื้นมีวงเวทเขียนอยู่ แต่ว่ามีหลายส่วนจางและถูกลบหายไป ยิ่งกว่านั้นยังมีการขุดพื้นหินขึ้นมาและละเลงทับเพื่อลบวงเวทนี้

เพดานก็ทำท่าเหมือนจะพัง แต่ก็มีร่องรอยที่บอกว่ายอมแพ้ไปซะก่อน ทำทุกทางเลยนะเจ้าพวกอสูรเนี่ย

 

“พึ่งเคยเห็นถูกทำลายขนาดนี้เป็นครั้งแรกนี่ล่ะค่ะ… เพราะว่าอาคารที่สร้างในสมัยท่านจักรพรรดิมังกร…มันแข็งแกร่งมากน่ะค่ะ”

 

ริเซ็ตถอนหายใจออกมา

 

“มีแต่ต้องเขียนวงเวทขึ้นมาใหม่สินะคะ”

“นี่คือวงเวทที่สร้างเขตแดน[ไล่อสูร]เหรอ?”

“ใช่แล้วค่ะ ถึงจะเป็นปราสาทร้าง แต่จะให้กู้คืนที่นี่มันก็ยากค่ะ จริงๆแล้วถ้าสามารถมาเติม[ผลึกเวท]ได้ง่ายๆก็จะดีมากค่ะ…”

“จะให้ผ่านป่าไปกลับมันก็ยากล่ะนะ”

“จะให้อยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ค่ะ กำแพงปราสาทก็พังไปหมดแล้ว แถมยังไกลจากเมืองอื่นด้วยค่ะ…”

 

อย่างนี้นี่เอง

ถ้ากางเขตแดนแล้ว ผมจะลองบินบนฟ้าดูสภาพการณ์ไปสักพักหน่อยละกัน

จะให้พวก[ฮาร์ปี้]ช่วยก็ได้อยู่ ไว้สนิทกับพวกที่มาหมู่บ้านแล้วก็ลองไปเจรจาดูหน่อยละกัน

 

“เราจะเป็นคนวาดวงเวทใหม่ให้เอง”

 

ฮารุกะพูดออกมา

 

“ฝากพี่ริสชำระล้าง[ผลึกมาร]ด้วยนะ”

“เข้าใจแล้วค่ะ”

 

ริเซ็ตพูดแบบนั้นแล้วหยิบคริสตัลสีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

 

“นี่คือ[ผลึกมาร]ที่ได้จากการจัดการพวกทหารค่ะ ริเซ็ตจะใช้เวทมนตร์ชำระล้างเจ้านี่ค่ะ ถ้าทำแบบนั้นมันจะเปลี่ยนเป็น[ผลึกเวท]ที่มีพลังเวทบริสุทธิ์สถิตอยู่ จะใช้เจ้านี่เป็นเชื้อเพลิงของเขตแดนค่ะ”

 

อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือน[ผลึกเวท]จะเป็นแบตเตอรี่ฉบับเวทมนตร์สินะ

 

“ขอถามได้ไหม?”

“เชิญเลยค่ะ ท่านโชมะ”

“ด้วยเจ้านั่นจะอยู่ได้นานเท่าไหร่?”

“ประมาณ90วันได้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลองใช้เจ้านี่สิ”

 

ผม[ผลึกมารของอัศวินดำ]ออกมาจาก[ภาชนะแห่งราชา]

 

คริสตัลที่ริเซ็ตถือมีขนาดประมาณกำปั้น แต่เจ้านี่ใหญ่ประมาณหัวของคน

จากที่เห็น เจ้านี้น่าจะได้นานกว่า

 

“คนที่จัดการ[อัศวินดำ]คือท่านโชมะค่ะ ริเซ็ตรับมันไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”

“จริงจังไปละ!?”

 

ก็คิดว่าล้อเล่นหรอก…แต่ริเซ็ตก็ทำหน้าจริงจัง

แต่ว่า จะหัวแข็งเกินไปแล้ว

 

“ผมเก็บไว้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก เจ้านี่น่ะ”

“เพราะว่าท่านโชมะไม่รู้ราคาของ[ผลึกมาร]ค่ะ เจ้านั่นถ้าเอาไปขายในเมืองก็ได้เกินระดับที่ใช้ชีวิตไปได้ครึ่งปีเลยนะคะ”

“พี่น้องกันนี่นา ไม่เห็นจำเป็นต้องแบ่งกระเป๋าตังค์กันเ่ลย?”

“…อุ๊”

“แถมเป้าหมายของผมก็คือการเอาตัวรอดจนกว่าจะจบยุคมืดแบบสบายๆด้วย ถ้าอสูรที่ออกมารอบๆหมู่บ้านลดลง โอกาสรอดมันก็เพิ่มขึ้นใช่ไหมล่ะ?”

“…ถ้าพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็”

 

ริเซ็ตรับคริสตัลสีดำจากผมไปอย่างลังเล

 

“ถ้าอย่างนั้นริเซ็ตขอออกไปชำระล้างเจ้านี่ข้างนอกค่ะ ฮารุกะก็ช่วยเขียนวงเวทที่พื้นด้วยนะคะ ส่วนท่านโชมะ…ถ้าเป็นไปได้ ก็ฝากช่วยฮารุกะด้วยค่ะ”

“เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นให้ทำยังไงดีล่ะ?”

“นั่นสินะคะ…ช่วยใช้ดาบลากวงเวทบนพื้นตรงส่วนหินที่หายไปด้วยค่ะ ยังพอเหลือร่องรอยอยู่ ก็ทำให้มันพอดูออกหน่อยค่ะ ของเดิมมันหายไปแล้วดังนั้นขอสักนิดก็พอแล้วค่ะ”

 

อย่างนี้นี่เอง ถ้าแค่นั้นผมก็น่าจะทำได้

พลังเวทของ[ราชา]เองก็ฟื้นมานิดหนึ่ง ขอช่วยละกัน

 

“[Naming Bless(เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ)][โคตรแข็ง]กับ[กระบองโลหะ]!”

 

ผมส่งกระบองที่เอนชานต์แล้วให้ฮารุกะ

ถ้าแบบนี้ถึงฮารุกะจะฟาดพื้นหินไปเต็มแรงก็คงไม่หักแล้วล่ะ

 

“สุดยอดไปเลยนะ เวทของท่านพี่”

“ก็แค่เล่นคำพ้องเสียงเองนะ”

 

ผมนั่งลงบนพื้น พอสายตาอยู่ต่ำก็เห็นเส้นที่อยู่บนหิน นี่คือวงเวทที่ถูกลบไปงั้นเหรอ

ริเซ็ตถือ[ผลึกมาร]ที่ผมให้ไปออกไปข้างนอก

ดูเหมือนจะใช้เวทมนตร์ชำระล้างแล้วเอาไปใช้เป็นแหล่งเชื้อเพลิงพลังเวทได้

 

“…ด้วยนามแห่ง[สายเลือดมังกร] ความบิดเบี้ยวจงหายไป…”

 

ได้ยินเสียงท่องมนต์มากจากประตูที่เปิดอยู่

 

“เพลิงสีฟ้าเอ๋ยจงชำระล้างเสียให้สิ้น! [Craile Flare(เพลิงชำระล้าง)]!!”

 

พอหันกลับไป ก็เห็นริเซ็ตปล่อยไฟสีฟ้าจากฝ่ามือ

มันเข้าปกคลุมคริสตัลสีดำจนลุกติดไฟ

แทนที่จะมีควันออกมาแต่มันมีไอสีดำออกมาแทน มันลอยขึ้นไปในอากาศ

 

“…นั่นก็พลังของมันกร…งั้นเหรอ”

“พี่ริส ทั้งๆที่ทำเรื่องสุดยอดขนาดนั้นได้ก็น่าจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากกว่านี้หน่อยแท้ๆ”

“อืม เห็นด้วยเลย”

 

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของฮารุกะ

 

“จะว่าไปก่อนหน้านี้ริเซ็ตก็พูดออกมาว่า[ทั้งๆที่ตัวเองก็สืบสายเลือดของจักรพรรดิมังกรแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย]สินะ…”

“เรื่องนั้นสินะ ก็ถ้าให้เทียบกับท่านจักรพรรดิมังกรแล้วมันก็ไม่ได้ความเลยนี่น่า”

“งั้นเหรอ?”

“อย่างเขนแดนนี่ ถ้าท่านจักรพรรดิมังกรเป็นคนกางผลของมันก็จะคงอยู่ตลอดไปเลยล่ะ พลังของคนคนนั้นมันระดับพระเจ้าเลยล่ะนะ พวกเราในยุคนี้ทำไม่ได้หรอก”

 

ฮารุกะพูดแบบนั้นแล้วมองมาทางผม

 

“แต่ว่าถ้าเป็นท่านพี่อาจจะทำได้ก็ได้”

“คิดว่าไม่ไหวหรอก ผมน่ะแค่พลังชำระล้างของริเซ็ตยังทำไม่ได้เลย”

“ถ้าสอนล่ะ?”

“…ถ้าสอน…อาจจะทำได้ก็ได้”

“เราน่ะ รู้สึกว่าท่านพี่กำลังแอบตั้งใจทำอะไรอยู่ล่ะ”

“รู้สึกจากอะไรล่ะ?”

“ท่านพี่บอกว่ามาจากต่างโลกสินะ แต่ว่า ก็ไม่ได้แตกตื่นสักนิด แถมยังอยากรู้เรื่องราวของโลกใบนี้อย่างใจเย็น ถ้าท่านพี่อยากจะใช้ชีวิตชิวๆจริงๆล่ะก็ คงจะกลับหมู่บ้านไปพร้อมกับทุกคนแล้วใช่ไหมล่ะคะ? แต่ว่า ก็ไม่ทำใช่ไหมล่ะ? จากที่เราเห็นก็กำลังวาดวงเวทอย่างประณีตอยู่ด้วย”

“ก็ไม่รู้อะไรเลยนี่นา ก็ควรจะรู้ไว้ดีกว่าไม่ใช่เหรอ”

“ก็เป็นอย่างนั้นหรือเปล่าน้า เราน่ะ รู้สึกราวกับว่าจริงๆแล้วท่านพี่กำลังต้องการอะไรแบบนี้อยู่เลย”

 

สายตาเฉียบคมจริงเลยนะ…ฮารุกะ

ก็ต้องการจริงๆนั่นล่ะ

ตอนจูนิเบียวก็วาดวงเวทออริจินัลของตัวเอง ค้นหาศัตรูของโลก จินตนาการในสมองว่าถ้าเกิดได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยพลังเหนือธรรมชาติขึ้นมาล่ะก็…ก็เคย

 

รวมทั้งตั้งแต่หายจูนิเบียวก็ไปสอบ หางาน ทำงาน

ผมน่ะเป็น“อดีตจูนิเบียวผู้รับรู้ความเป็นจริงเป็นอย่างดี”

ที่ทำให้รู้สึกว่าสามารถรับมือกับโลกใบนี้ได้อย่างดีบางทีคงจะเพราะเหตุนั้น

 

“ถ้าท่านพี่ได้รู้เรื่องราวของโลกใบนี้ทั้งหมดแล้วจะเป็นยังไงกันนะ”

 

ก็อก ก็อกก็อก ฮารุกะเจาะพื้นพลางยิ้มออกมา

 

“บางทีอาจจะได้เป็นราชาของโลกใบนี้เลยก็ได้นะ”

“คือว่านะ ฮารุกะ”

“อืม ท่านพี่”

“บางทีผมอาจจะได้เจอกับคนที่น่าจะเป็นจักรพรรดิมังกรที่[สุสานจักรพรรดิมังกร]มาก็ได้”

 

ในความฝัน

มีเขาแล้วก็ผมสีเงิน

หลังจากนั้นผมก็ได้สกิล[เพิ่มอัตลักษณ์ชื่อ]กับ[ชีพจรมังกร]เพิ่มมา

ถ้านี่มันเหมือนกับพลังของจักรพรรดิมังกรล่ะก็ ที่ผมเจอก็คงจะเป็นสกิลกับคำพูดที่หลงเหลืออยู่ของจักรพรรดิมังกรล่ะมั้ง

 

“ดังนั้นกลับไปแล้วก็อยากจะให้ทั้ง2คนไปที่[สุสานจักรพรรดิมังกร]ด้วย จะให้เข้าไปข้างใน อยากจะไปตรวจสอบว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมน่ะ”

“ถึงเราจะเข้าไม่ได้ก็เถอะ…”

“ผมเปิดประตูได้น่ะ ถ้าทำแบบนั้นคิดว่าริเซ็ตกับฮารุกะก็คงจะเข้าไปได้ล่ะ อยากจะตรวจสอบดูว่าทำแบบนั้นแล้วจะได้สกิลเพิ่มมาหรือเปล่า ถ้าเกิดมีสกิลเพิ่มมาล่ะก็คิดว่าคงจะช่วยในการใช้ชีวิตได้ล่ะ”

“แต่ว่า คิดว่าบางทีพี่ริส…คงอยากจะพยายามจนกว่าจะได้มาด้วยพลังของตัวเองมากกว่า”

“ส่วนนั้นก็คงจะแย่หน่อยล่ะนะ”

 

ความจริงแล้วสกิลของ[จักรพรรดิมังกร]ยังมีปริศนาอยู่มาก

ถ้าเกิดริเซ็ตมีบ้าง ก็คงจะเข้าใจวิธีใช้มากขึ้นแน่ๆ

 

ระหว่างที่คิดแบบนั้นผมก็ใช้ดาบโคตรแข็งขีดไปที่พื้น

ค่อยๆขีดเส้นวงเวท ถึงฮารุกะจะบอกว่ามีจางๆก็เถอะ แต่นี่มันชัดกว่าที่คิดซะอีก แล้วเพราะว่าถ้าเจ้านี่ไปได้สวยหมู่บ้านก็จะปลอดภัยขึ้น ก็เลยตั้งใจเขียนอย่างละเอียด

 

“…ท่านพี่”

 

ฟู่ มีลมหายใจมาสัมผัสที่แก้มของผม

พอรู้สึกตัว ฮารุกะก็จ้องมาที่มือของผม

 

“มันละเอียดไปหรือเปล่าน่ะ? วงเวทนี่?”

“เหรอ?”

“ใช่แล้วล่ะ บนพื้นไม่ได้มีเส้นหรือรูปร่างแบบนี้อยู่สักหน่อย?”

“? ก็มีนี่?”

“มีเหรอ?”

“เห็นลอยอยู่จางๆน่ะ เป็นร่องรอยที่เวทไหลผ่านตรงนี้…”

 

ร่องรอยที่เวทไหลผ่าน?

เอ๊ะ…? แล้วทำไมถึงเห็นของแบบนั้นได้ล่ะ?

 

“ฮารุกะไม่เห็นเหรอ?”

“เราเห็นแค่เส้นที่สลักอยู่ตรงหินเองนะ?”

 

ฮารุกะอยู่ในระยะที่จมูกเกือบจะมาชน–เดี๋ยว ใกล้ไปแล้ว

 

“คือว่านะ ท่านพี่ มีตำนานกล่าวไว้ว่าท่าน[จักรพรรดิมังกร]สามารถใชัพลังเวทที่ไหลบนพื้นดินมาวาดวงเวทสำหรับไล่อสูรล่ะ”

“พลังเวทที่ไหลบนพื้นดิน?”

“หรือว่าท่านพี่จะเห็นของแบบนั้นได้งั้นเหรอ?”

 

…อย่าบอกนะว่านั่นคือพลังของ[ชีพจรมังกร]น่ะ?

 

ยิ่งกว่านั้นดีไซน์ของวงเวทมันก็คุ้นๆ ตามจริงมันก็เหมือนกับวงเวทที่อ่านในหนังสือโลกเดิมสมัยเป็นจูนิเบียวเลย

เนื่องจากเขียนวงเวทออริจินัลสำหรับ[ไม่ให้มารร้ายมาผจญ]ไว้ในหนังสือ เพื่อที่จะเพิ่มคุณภาพของมันก็เลยไปยืมหนังสือแบบนั้นจากห้องสมุดมาอ่านดู

 

วงเวทของโลกใบนี้โดยพื้นฐานก็ไม่ต่างกัน ยิ่งกว่านั้นเพราะผมไปฝึกการสัมผัสพลังเวทในโลกที่มีพลังเวทเบาบาง ความสามารถในการรับรู้พลังเวทก็เลยเพิ่มขึ้น

ดังนั้นก็เลยสามารถอ่านพลังเวทที่ถูกใช้โดยวงเวทเก่าๆได้ล่ะมั้ง

 

“…ยังไงกันนะ”

 

ผมในสมัยจูนิเบียว–[คิริวโอ โชมะ]เอ๋ย

จะพยายามหนักเกินไปแล้วจนสกิลที่ใช้ในโลกเดิมไม่ได้ตื่นขึ้นมาน่ะ ทุ่มพลังไปทำอย่างอื่นบ้างเถอะ ถ้าทำแบบนั้นบางทีอาจจะสามารถใช้ชีวิตแบบปกติในโลกเดิมได้นะ…

 

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านพี่ที่เป็นแบบนั้นน่ะ”

 

พอรู้สึกตัว ฮารุกะก็ยิ้มออกมา

 

“เราน่ะชอบท่านพี่ที่เป็นแบบนั้นนะ ดูเงอะงะ แต่ก็ใจดี สุดยอดไปเลยล่ะ”

“น้องสาวบุญธรรมโลกนี้เนี่ย มีกฎให้บอกชอบพี่ชายแบบตรงๆด้วยเหรอ?”

“นั่นสิน้า ยังไงกันน้า”

 

ฮารุกะพูดแบบนั้นแล้วก็เกาผมสีแดง

 

“ถ้าพวกเราอยู่ด้วยกันตลอดคิดว่าเดี๋ยวก็รู้เองล่ะ ท่านพี่!”

 

ยิ้มกว้างออกมาซะผมไม่รู้จะมองไปตรงไหนเลย

 

ประมาณ1ชั่วโมงหลังจากนั้น–วงเวทก็เสร็จ