นับแต่หลินหว่านพูดว่าอยากเป็นผู้กำกับ ไม่นานนักเธอก็เริ่มเตรียมการ
อันที่จริงเธอคิดไว้แล้วทั้งพล็อตเรื่องและแบ็คกราวน์ของหนังที่เธอจะเป็นผู้กำกับในครั้งนี้ ส่วนเซียวจิ่งสือก็เป็นนายทุนคนแรกของหลินหว่าน แต่เธอยังจำเป็นต้องมีเงินทุนอีกมากมาช่วยสนับสนุนงานของเธอชิ้นนี้ ดังนั้นในตอนนี้ที่เธอจะทำก็คือหาผู้ลงทุนคนอื่นๆ
ไม่นานนักเรื่องที่หลินหว่านอยากจะเป็นผู้กำกับก็รู้กันไปทั่วเน็ต แฟนคลับมากมายพากันมาสนับสนุนให้กำลังใจและตั้งตาคอย แต่ก็ยังมีพวกแอนตี้แฟนส่วนหนึ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าหลินหว่านไม่รู้จักประมาณตัว เป็นแค่นักแสดงคนหนึ่งจะไปกำกับหนังได้ยังไงกัน หวังว่าเธอจะไม่ทำให้วงการหนังจีนต้องมัวหมอง
พอเห็นข้อความวิพากษ์วิจารณ์บนเน็ต เวยปั๋วของเซียวจิ่งสือก็โพสต์ข้อความออกมาทันควันว่า ‘จะรอดูนะ ผู้กำกับหลินสู้ สู้!’
ข้อความนี้ได้กลายเป็นโพสต์สุดฮอตอยู่หลายวัน
หลินหว่านไม่สนว่าชาวเน็ตจะวิจารณ์อย่างไร เธอแค่จัดการเรื่องนี้ไปตามความสามารถของตัวเอง ไม่สนว่าผลจะเป็นยังไง และไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไงด้วย
แต่เมื่อเธอไปนำความคิดไปเสนอกับพวกนายทุน เพื่อให้พวกเขาสนับสนุนเธอนั้น ก็ถูกปฏิเสธโดยอ้อมกลับมาทั้งสิ้น
พวกเขาต่างก็เห็นว่าหลินหว่านอายุน้อยเกินไป ยังไม่สามารถเป็นผู้กำกับได้ ถึงยังไงผู้กำกับก็ไม่ใช่ว่าใครนึกอยากเป็นก็จะเป็นได้ พวกเขาไม่ต้องการให้เงินของตัวเองสูญเปล่าไปแบบนี้ บางคนยังคิดเหมือนพวกแอนตี้แฟนอีกด้วย นั่นคือ หลินหว่านไม่รู้จักประมาณตน
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลินหว่านก็ยังไม่เคยคิดจะยอมแพ้ เพียงแต่ระยะนี้เธอถูกเรื่องของการหานายทุนมาทำให้เหน็ดเหนื่อยจนหมดแรงไปเท่านั้น
อันที่จริงเธอสามารถไปขอความช่วยเหลือจากเซียวจิ่งสือ พวกนักลงทุนพวกนั้นอย่างน้อยก็ยังต้องช่วยเธอเพราะเห็นแก่หน้าเซียวจิ่งสือบ้าง
แต่เธอไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้ เพราะหลินหว่านรู้สึกว่าเรื่องนี้เธอต้องจัดการให้สำเร็จด้วยตัวเอง เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะเป็นผู้กำกับ
อันจี๋ถิงที่อยู่บ้านมาตลอดสองวันนี้คอยสอดส่องดูความเคลื่อนไหวบนเน็ตตลอด เธอรู้ว่าลูกสาวกำลังจะเป็นผู้กำกับแล้ว
เธอในตอนนี้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวลูกสาวอย่างมาก ตั้งแต่เด็กหลินหว่านก็เป็นเด็กที่ฉลาดและเข้มแข็ง เพียงแต่เธอจำต้องทิ้งลูกไป ทำให้ลูกต้องพบเจอกับความลำบากมากมาย
พอรู้ว่าลูกสาวอยากเป็นผู้กำกับ อันจี๋ถิงก็ส่งคนให้คอยตามดูความเคลื่อนไหวของหลินหว่านตลอด พบว่าหลินหว่านกำลังเจออุปสรรคในการหานายทุนมาทำหนัง จึงตัดสินใจว่าจะไปพบกับหลินหว่านสักครั้ง
อันจี๋ถิงติดต่อเซียวจิ่งสือ ขอให้เขาช่วยนัดหลินหว่านออกมา เซียวจิ่งสือจึงนัดหลินหว่านมาที่ร้านกาแฟที่ค่อนข้างหลบสายตาผู้คนแห่งหนึ่ง
หลินหว่านไม่รู้เลยว่าการนัดหมายครั้งนี้จะได้พบกับอันจี๋ถิง จึงรับปากโดยไม่ลังเล
อันจี๋ถิงมารอที่ร้านกาแฟก่อนเวลาตั้งนาน เซียวจิ่งสือก็อยู่ด้วย ตอนที่หลินหว่านมาถึงนั้นมองปราดเดียวเธอก็จำอันจี๋ถิงได้ ถึงแม้อันจี๋ถิงจะปกปิดหน้าตาไว้อย่างมิดชิดก็ตาม
หลินหว่านเข้าใจได้ทันทีว่าที่แท้เป็นอันจี๋ถิงที่นัดเธอมา จึงตั้งท่าจะจากไปทั้งที่ยังไม่ได้นั่งลงเลยด้วยซ้ำ
อันจี๋ถิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินหว่าน ก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างร้อนใจอยู่บ้าง “หว่านเอ๋อร์ ลูกฟังแม่อธิบายก่อนได้ไหม?” เธอรู้ว่าหลินหว่านยังนึกแค้นเธออยู่ หลายปีมานี้ เธอไม่ได้ทำหน้าที่ของแม่ อีกทั้งสถานะของเธอยังทำให้ลูกต้องลำบากและถูกทำร้าย
พอฟังคำพูดของแม่ หลินหว่านก็สูดลมหายใจเข้าลึก แต่ยังกลับมานั่งลง พอเห็นท่าทีของหลินหว่าน อันจี๋ถิงก็สงบใจลงได้ อย่างน้อยลูกก็ยังยอมฟังเธออยู่
“หว่านเอ๋อร์ แม่มาพบลูกครั้งนี้ก็เพราะได้ยินว่าลูกอยากเป็นผู้กำกับ แม่อยากจะลงทุนให้ลูก” อันจี๋ถิงพูดพลางมองดูปฏิกิริยาของหลินหว่าน เธอเห็นว่าตัวเองทำแบบนี้ไม่ได้ต้องการให้หลินหว่านมารู้สึกขอบคุณเธอ เธอแค่ต้องการช่วยแก้ปัญหาให้หลินหว่านก็เท่านั้น
ฟังคำพูดเหล่านี้ของอันจี๋ถิงแล้ว หลินหว่านยังยิ้มออกมาได้ แต่ดวงตาคลอน้ำตา พูดกับเธอด้วยท่าทีเหมือนเจอเรื่องน่าขันอยู่บ้าง “ทำไมคะ? คุณทำแบบนี้เพื่อชดเชยให้ฉันงั้นหรือคะ? ฉันจะบอกคุณก็ได้ ฉันไม่ขอรับเงินช่วยเหลือจากคุณ คุณทิ้งฉันไปตั้งแต่เล็ก ตอนนี้คิดจะมาชดเชยให้ คุณไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขันหรอกเหรอคะ?”
พูดจบ หลินหว่านก็ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างพลุ่งพล่านอยู่บ้าง แล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
เซียวจิ่งสือส่งสัญญาณกับอันจี๋ถิง แล้ววิ่งตามออกไป ทิ้งให้อันจี๋ถิงนั่งอยู่ที่นั่นด้วยความเจ็บปวดและละอายใจ
หลินหว่านพอหลุดออกมาได้ก็น้ำตาไหลพราก เซียวจิ่งสือรีบตามติดอยู่ด้านหลัง เขารู้ว่าตอนนี้ต้องให้เวลาความเป็นส่วนตัวกับหลินหว่าน เขาจึงตามดูหลินหว่านห่างๆ ตลอด แต่ไม่เข้าไปรบกวนเธอ
หลินหว่านเดินถึงริมแม่น้ำ ที่นี่คนไม่มากนัก เธอเดินไปเรื่อยๆ ท้องฟ้ามืดสลัวลง ลมแม่น้ำโชยพัดเย็นสบายมาก ทำให้อารมณ์ของหลินหว่านค่อยสงบลงอย่างช้าๆ
พอเดินจนเหนื่อยแล้ว เธอก็หาที่นั่งลง มองดูจุดแต้มของดวงดาวที่ปรากฏอยู่ห่างไกลออกไป ตอนนั้นเอง มีเด็กหญิงคนหนึ่งที่ด้านข้างกระโดดโลดเต้นผ่านมา จู่ๆ ก็หันกลับไปพูดอ้อนกับแม่ว่า “แม่คะ หนูอยากกินไอติม”
“เย็นนี้กลับไปทำการบ้านเสร็จแล้ว พรุ่งนี้แม่จะซื้อไอติมให้นะ” แม่ของเด็กหญิงพูดขึ้น
“ไม่เอาค่ะ หนูอยากกินตอนนี้นี่ จะกินตอนนี้เลย!” เด็กหญิงฟังคำตอบของแม่แล้ว ก็รีบอ้อนจะเอาให้ได้
“ได้ๆๆ จ้ะ แม่จะซื้อให้เลยนะ ลูกนี่ดื้อซะจริงเชียว” แม่ของเด็กหญิงมองท่าทีออดอ้อนของลูกอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงรับปากว่าจะรีบไปซื้อไอติมให้เธอ
ภาพนี้หลินหว่านที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นเข้าพอดี เธอยิ้มบางๆ ในมือของหลินหว่านยังถือของที่ระลึกของแม่ที่เธอนำออกมาจากบ้านตระกูลอัน ปากก็พึมพำว่า “แม่” ช่างเป็นคำที่แสนจะอบอุ่นกระไรปานนั้น แต่เธอกลับไม่มีโอกาสที่จะพูดมันออกมา
ตั้งแต่เล็กจนโต เธออิจฉาเด็กคนอื่นที่ได้ออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ส่วนตัวเองก็ได้แต่มองดูอยู่ด้านข้าง ตอนนั้นเธอไม่รู้ว่าแม่ยังไม่ตาย จึงไม่รู้สึกโกรธแค้นเธอ แต่ตอนนี้การปรากฏตัวของอันจี๋ถิงทำให้เธอรู้สึกว่าในหลายปีมานี้เธอต่างหากที่เป็นฝ่ายถูกทอดทิ้ง
แล้วจะยังไงอีก ถึงจะไม่มีแม่อยู่ด้วย วันนี้เธอก็อาศัยกำลังความสามารถของตัวเองจนได้รับความชื่นชมยกย่องจากผู้คนมากมายขนาดนี้ได้ไม่ใช่เหรอ? มีหรือไม่มีแม่อยู่ด้วยก็ไม่สำคัญอะไรเลยนี่ หลินหว่านนึกอย่างปลอบใจตัวเอง
เซียวจิ่งสือที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักมองเห็นทุกความเคลื่อนไหวของหลินหว่านอยู่ในสายตา เขาเข้าใจดีว่าหลินหว่านกำลังคิดอะไรอยู่ พอเห็นว่าฟ้ามืดลงแล้วก็เดินเข้าไปหาเธอ กอดหลินหว่านเอาไว้ แล้วส่งเธอกลับบ้านไป
เซียวจิ่งสือพบว่านับแต่หลินหว่านได้เจอกับอันจี๋ถิงแล้วก็ไม่มีความสุขเลย จึงตัดสินใจว่าจะแอบไปพบอันจี๋ถิงเป็นการส่วนตัวสักครั้ง เขาต้องทำความเข้าใจว่าทำไมตอนนั้นอันจี๋ถิงจึงทิ้งหลินหว่านไป
หลายวันมานี้อันจี๋ถิงก็อยู่บ้านอย่างอัดอั้นตันใจไม่มีความสุขนัก ที่ผ่านมาเธอคอยแต่ตำหนิตัวเอง เธอรู้สึกว่าการที่หลินหว่านมีท่าทีต่อเธอแบบนี้เป็นการสมควรแล้ว
พอได้ยินว่าเซียวจิ่งสือมาหา อันจี๋ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่าครั้งนี้เซียวจิ่งสือมาด้วยเรื่องอะไร
“สวัสดีครับ! คุณอัน ที่ผมมาคราวนี้ก็เพราะเรื่องของหลินหว่าน ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจดีว่าผมต้องการถามเรื่องอะไร?” เซียวจิ่งสือพอได้พบอันจี๋ถิงก็ไม่วกวนอ้อมค้อม ตรงเข้าเรื่องกันเลย
“ฉันเข้าใจดีค่ะ คุณอยากจะถามแทนหลินหว่านว่าทำไมตอนนั้นฉันถึงได้ทิ้งเธอไปใช่ไหม!” อันจี๋ถิงพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า
“คนเป็นแม่ จะหักใจยอมทิ้งลูกตัวเองไปได้ยังไงกันนะ? ตอนนั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะความจำเป็นบังคับ ฉันก็คงไม่ทำแบบนี้” อันจี๋ถิงนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อน
ที่แท้ ในตอนนั้น อันโฮ่วสยงเพราะเพื่อการงานของตัวเอง บีบบังคับให้ลูกสาวแต่งงานเชื่อมผลประโยชน์ทางธุรกิจ ตอนนั้นอันจี๋ถิงมีลูกกับพ่อของหลินหว่านอยู่แล้ว แต่ถึงแม้เธอจะคลอดลูกออกมาแล้ว อันโฮ่วสยงก็ยังไม่ยอมปล่อยอันจี๋ถิง บังคับให้อันจี๋ถิงแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงต้องไปจากหลินหว่าน