โจวอันต้องการจะพูดอะไรขึ้นอีก แต่เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขาไว้ “โจวอัน รีบไปเร็ว ช่วยดูให้คุณชายคนนี้เสียหน่อย”

 

 

โจวอันรับคำ ลอยกระโจนเข้าไปในฝูงคน

 

 

หลังจากที่หลิวจยาเจิ้งโค้งตัวให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ก็หันตัวกลับไปมองทางที่ติดประกาศของราชสำนัก

 

 

บ่าวรับใช้ที่สามีของฮั่วเซียงหลิงส่งออกไปก็เหงื่อท่วมศีรษะ เบียดเสียดออกมาจนเสื้อผ้าผิดรูปร่าง ร้องตะโกนเสียงดังมาทางทั้งสองคนอย่างดีใจ “นายน้อย ฮูหยิน ติดแล้วขอรับ ติดแล้วขอรับ นายน้อยสอบผ่านแล้วขอรับ”

 

 

ฮั่วเซียงหลิงดีใจจนลืมสำรวมกาย จับเสื้อผ้าของชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นราวกับสาวน้อยวัยเยาว์ “ท่านพี่ได้ยินแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ท่านสอบผ่านแล้วนะเจ้าคะ!”

 

 

ชายหนุ่มก็ตื่นเต้นอย่างมาก พยักหน้าไม่หยุด “หลิงเอ๋อร์ เพราะว่าเจ้าเป็นดาวนำโชคของข้า การได้เจ้ามาเป็นคู่ครองถือเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชาตินี้ของข้า”

 

 

การแสดงความรักที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้สีหน้าของฮั่วเซียงหลิงแดงขึ้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอายลอบมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แล้วพูดเสียงเบาด้วยความกระมิดกระเมี้ยน “ท่านพี่ ที่นี่เป็นถนนใหญ่นะเจ้าคะ ท่านพูดเช่นนี้ทำไมกัน”

 

 

ชายหนุ่มส่งเสียงหัวเราะอย่างเปรมปรีดิ์ และกดเสียงต่ำพูด “ก็ได้ๆๆ ไม่พูดๆ รอให้กลับถึงบ้านแล้วค่อยพูดให้เจ้าฟัง”

 

 

สีหน้าของฮั่วเซียงหลิงยิ่งแดงขึ้นกว่าเดิม บิดศีรษะหันมามองด้านนี้อีกครั้งหนึ่ง ก็ปะทะกับสายตาที่ชอบใจของเมิ่งเชี่ยนโยว จึงผงะไป รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป แล้วโค้งตัวให้นาง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้ายิ้มรับ

 

 

ชายหนุ่มเห็นท่าทางของฮั่วเซียงหลิง จึงมองไปด้านนั้นแล้วพยักหน้า จากนั้นอุ้มเด็กน้อยที่อยู่บนบ่าตัวเองลงมา แล้วพูด “ไปเถิด กลับไปบอกข่าวดีนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่กัน”

 

 

ฮั่วเซียงหลิงขึ้นนั่งบนรถม้าอย่างเรียบร้อย

 

 

เห็นรถม้าไปไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถอนสายตากลับมา

 

 

โจวอันก็กลับมาแล้ว ขณะที่เพิ่งจะผละออกมาจากฝูงคน ก็ถูกหลิวจยาเจิ้งที่อดใจรอไม่ไหวดึงเอาไว้ และถามด้วยเสียงที่รีบเร่ง “พี่ชาย มีชื่อของข้าหรือไม่”

 

 

หลังจากเห็นเค้าหน้าของเขาอย่างละเอียดในระยะใกล้ ก็มั่นใจอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้มองคนผิด แล้วโจวอันถึงจะตอบ “มี อันดับที่ห้าสิบหก”

 

 

“ฮ่าๆๆๆ” หลิวจยาเจิ้งส่งเสียงหัวเราะอย่างคนวิปลาส “ข้าสอบผ่านแล้ว ข้าสอบผ่านแล้ว ชีวิตนี้ของตัวข้า หลิวจยาเจิ้งก็สามารถเป็นขุนนางได้เหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ”

 

 

เสียงหัวเราะที่แสบแก้วหู สะท้านใบหูของเมิ่งเชี่ยนโยวจนรู้สึกเจ็บแปลบ จึงต้องย่นหัวคิ้วอย่างอดไม่ได้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองเห็นกับตา ใบหน้าก็มีความไม่พอใจ หรี่ตาเบาๆ มองหลิวจยาเจิ้ง ขณะที่กำลังจะสั่งโจวอันให้โยนเขาไปอีกด้านหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขอร้องเบาๆ “ช่างเถิด อย่างไรก็เป็นคนที่จวนราชเลขาหมั้นหมายเอาไว้ ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนั้น พวกเราก็กลับกันเถิด”

 

 

ทุกคนหันตัวกลับขึ้นบนรถม้า เสียงที่บ้าคลั่งของหลิวจยาเจิ้งก็ดังมาจากด้านหลัง “แม่เอ็งโว้ย ครั้งนี้ข้าเชิดหน้าชูตาได้แล้ว พวกตาเฒ่าในตระกูลพวกนั้นจะได้ไม่ต้องมาพูดว่าข้าเป็นเศษสวะไร้ประโยชน์อีกแล้ว รอให้ข้าแต่งกับคุณหนูของจวนราชเลขานั่นก่อนเถอะ ข้าจะต้องทำให้พวกตาเฒ่าเหล่านั้นต้องมาคุกเข่าเลียเท้าของข้าให้ได้”

 

 

ฝีเท้าของเมิ่งเชี่ยนโยวหยุดชะงัก รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล หลิวจยาเจิ้งมีเป็นสถานะเป็นถึงขุนนางในอนาคต กิริยามารยาทก็ควรจะเข้าใจดี เหตุใดถึงได้พ่นวาจาหยาบคายสกปรกบนถนนใหญ่ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

 

 

และเป็นอย่างที่คิดจริงๆ ความคิดของนางยังไม่ทันจะสิ้น บ่าวรับใช้คนหนึ่งก็รีบพูดเตือน “นายน้อยขอรับ ท่านสำรวมเสียหน่อยขอรับ ตอนที่นายท่านมาก็ได้สั่งไว้แล้วว่า ก่อนที่ท่านยังไม่ได้แต่งงาน ก็ไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้ และจะต้องสำรวมมารยาทเสียหน่อย รู้จักกาลเทศะเสียหน่อย กิริยาท่าทางก็ต้องสง่าผ่าเผยเสียหน่อย”

 

 

ด้านหลังมีเสียง เพี๊ยะๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ตามมาด้วยเสียงของหลิวจยาเจิ้ง “มารยาทอะไร กาลเทศะอะไร สง่าผ่าเผยอะไร วันนี้ตัวข้ามีชื่อเสียงแล้ว พรุ่งนี้ก็จะหมั้นหมายกับคุณหนูจวนราชเลขานั่น อีกไปไม่กี่วันก็จะเป็นเจ้าบ่าวแล้ว ข้าจะกลัวอะไร”

 

 

“แต่ว่า…” เสียงบ่าวรับใช้อ้ำอึ้ง

 

 

แล้วก็มีเสียง เพี๊ยะๆ ดังขึ้นอีกหลายครั้ง “ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้น จะบอกพวกเจ้าให้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าทุกคนต้องฟังข้า ส่วนคำของพ่อข้า พวกเจ้าก็คิดเสียว่าเขาเป็นแค่ลมก็แล้วกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอดรนทนไม่ไหวหันศีรษะกลับไปมองหลิวจยาเจิ้ง เห็นพฤติกรรมที่หยาบโลนของเขาและ ท่าทีที่เหลวแหลก หาราศีของผู้เป็นขุนนางไม่ได้แม้แต่น้อย จึงอดที่จะขมวดคิ้วแน่นไม่ได้ หันศีรษะกลับไป ต้องการจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างกับหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน “คนที่ส่งไปใกล้จะกลับมาแล้ว สรุปแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ อีกประเดี๋ยวก็จะได้รู้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

แต่ละคนขึ้นรถม้ากลับไปที่หนานเฉิง

 

 

สามีภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งซื่อ และอิงจื่อได้ยินข่าวที่แต่ละคนนำกลับมาก็ตื้นตันอย่างมาก โดยเฉพาะเมิ่งต้าจิน ไม่คาดคิดว่าเขาจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้วร้องไห้ฟูมฟายเหมือนเด็กน้อย โดยไม่สนทุกคนอยู่ตรงนั้น

 

 

ทุกคนต่างตกตะลึง

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินกลับเข้าใจเขา ขอบตาก็แดงตามไปด้วยอย่างอดไม่ได้ เดินมาตรงหน้าเขา แล้วตบหลังเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านพี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ดูสิ พวกเด็กๆ ตกใจกันหมดแล้ว”

 

 

ในที่สุดความฝันหลายปีก็สมหวังที่ตัวลูกแล้ว เมิ่งต้าจินทำอย่างไรก็ฝืนกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ได้ ตอนแรกร้องสะอื้นเบาๆ แต่พอภรรยาเมิ่งต้าจินปลอบใจเช่นนี้ เขากลับร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังขึ้นมา ทั้งเช็ดน้ำมูก ทั้งเช็ดน้ำตา คนรอบข้างที่ดูอยู่ต่างก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก นึกถึงในปีก่อนนั้น เขาก็เป็นผู้มีความสามารถ เป็นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงในตำบลชิงซี แต่กลับถูกคนใส่ร้ายป้ายสี ชีวิตนี้จึงไม่อาจเดินสู่เส้นทางแห่งขุนนางได้อีก ด้วยความผิดหวังและสูญเสียกำลังใจ จึงปล่อยปละละทิ้งตัวเองจนเกือบทำให้ชีวิตทั้งชีวิตต้องพังทลาย หากไม่ใช่เพราะเมิ่งเชี่ยนโยวดึงเขาขึ้นมาได้ทันเวลา อย่าว่าแต่ลูกของตัวเองจะสอบผ่านเลย เกรงว่าการได้มาเมืองหลวงก็เป็นเรื่องยาก

 

 

ทุกคนเข้าใจเขา จึงไม่มีใครเข้าไปขัด ปล่อยให้ใจที่บอบช้ำมากว่ายี่สิบปีนี้ได้ปลดปล่อยออกมา

 

 

การที่ให้เมิ่งต้าจินได้ร้องไห้ระบายออกมาอยู่ภายในห้อง กลับทำให้คนที่เฝ้าประตูอยู่นอกห้องรู้สึกลำบาก เพราะเจ้าหน้าที่ที่มาส่งข่าวมงคลก็ได้ตีฆ้องรัวกลองมาถึงแล้ว แต่เขาไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น จึงไม่กล้าที่จะหุนหันเข้ามา

 

 

ชิงหลวนและจูหลีก็มองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านเมิ่งต้าจินถึงตื่นเต้นขนาดนี้

 

 

บนศีรษะของนายประตูโชกไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมา แล้วร้องอ้อนวอนว่า “แม่นางชิงหลวน”

 

 

ชิงหลวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าภายในห้องเบาๆ มาตรงหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วพูดที่ข้างหูนางสองสามคำ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

ชิงหลวนถอยออกมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอ้อนวอนด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเจ้าคะ ท่านอย่าได้ร้องไห้อีกต่อไปเลยเจ้าค่ะ คนที่จะมาส่งข่าวมงคลจะตกใจหนีไปเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งต้าจินรีบหยุดเสียงร้องโดยพลัน แม้แต่น้ำตาบนหน้ายังไม่ทันเช็ดออกก็ลุกขึ้นยืน แล้วทำหน้าตายินดีเบิกบาน “เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลมาถึงแล้วหรือ” พูดจบ ก็หันไปทางภรรยาเมิ่งต้าจิน “เงินรางวัลที่ข้าให้เจ้าเตรียมล่ะ เร็ว เข้า เอามาให้ข้านี่!”

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินล้วงเศษเงินไม่กี่ตำลึงออกมาจากชายเสื้อด้วยความลุกลี้ลุกลน แล้วส่งให้ที่บนมือของเขา

 

 

พอเมิ่งต้าจินเห็น ก็โมโหและถามเสียงดัง “ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เตรียมเยอะหน่อย ทำไมมีเท่านี้เองเล่า”

 

 

ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ล้วงออกมาจากกระเป๋าอีกบางส่วน แล้ววางบนมือเขา “เท่านี้พอแล้วใช่ไหม”

 

 

เมื่อเห็นว่ามีประมาณสิบกว่าตำลึง เมิ่งต้าจินถึงจะเดินก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอกอย่างพอใจ

 

 

คนที่ส่งข่าวมงคลยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ตีกลองรัวฆ้องดังสนั่น ทำให้ผู้คนที่อยู่ละแวกบ้านอื่นๆ ล้วนพากันออกมาดู ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่หนานเฉิงแห่งนี้ก็ไม่ย่ำแย่ ทว่า ล้วนเป็นคนทำมาค้าขาย มักจะพูดคุยถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ มากกว่าเรื่องอื่น แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องวิชาการความรู้ก็ดูจะห่างไกลนัก ทว่า ช่วงหลายสิบปีมานี้ ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่มาส่งข่าวมงคลในที่แห่งนี้เลย บัดนี้ เมื่อมีเสียงกลองเสียงฆ้องนี้ดังขึ้น ทุกคนก็รู้สึกมีหน้ามีตาไปด้วย ไม่ว่าคนที่รู้จักหรือไม่รู้จัก อยู่ใกล้หรือไกล เป็นหญิงหรือชาย ล้วนพากันมาร่วมด้วย แล้วทักทายกับคนในตระกูลเมิ่งที่เพิ่งออกมา

 

 

มีคนออกมาแล้ว เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลหยุดเสียงกลอง แล้วเปล่งเสียงร้องยินดีตามธรรมเนียม โดยจุดประสงค์ก็คืออยากได้เงินรางวัลมากขึ้น

 

 

เมิ่งต้าจินตื้นตันใจ เดินมาข้างหน้าสุดตรงหน้าเจ้าหน้าที่คนนั้น แล้วหยิบเงินทั้งหมดในมือยัดให้เขา แล้วพูดอย่างต่อเนื่อง “ขอบพระคุณทุกท่านมาก ขอบพระคุณทุกท่านมาก”

 

 

ส่วนใหญ่คนที่มายังเมืองหลวงเพื่อสอบมักจะเป็นนักเรียนที่ยากจนคดแค้น ในปีที่ผ่านๆ เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลจะได้รับเงินตอบแทนไม่มาก ได้เพียงหนึ่งหรือสองตำลึงก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่ตอนนี้มีเงินมากมายเช่นนี้ยัดใส่มือเขา กลับทำให้เจ้าหน้าที่คนนี้ตระหนก และในเวลาเดียวกันก็ดีใจจนหุบปากลงไม่ได้ คิดในใจว่าเป็นเพราะตัวเองรอบคอบ ทันทีที่เห็นว่าเมิ่งเหรินคนนี้ลงทะเบียนที่อยู่ในหนานเฉิง ก็รีบแย่งมารายงานก่อน แล้วก็ได้รับทรัพย์ใหญ่อย่างที่คิดจริงๆ ขณะที่เงยหน้ากำลังจะกล่าวขอบคุณ กลับเห็นหวงฝู่อี้เซวียนที่อยู่ด้านหลังฝูงคน ก็ตกใจจนมือสั่นระรัวจนเกือบจะโยนเงินในมือทิ้งไป แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดโดยเร็ว “นายท่าน ท่านให้เงินมากเกินไปแล้วขอรับ”

 

 

“ไม่มาก ไม่มาก รับไปเถิด พวกเจ้าลำบากแล้ว เอาเงินไปซื้อเหล้าซื้ออะไรกินเถิด” เมิ่งต้าจินผลักกลับไป

 

 

ในครานี้เจ้าหน้าที่ถึงจะนึกออกว่าบ้านของซื่อจื่อเฟยมีแซ่ว่าเมิ่ง ท่านที่สอบผ่านวันนี้ต้องเป็นคนในครอบครัวของนางอย่างแน่นอน ไหนเลยจะยังกล้ารับเงินรางวัลที่โดยไม่สนชีวิตตัวเอง ปลายเท้าก็หันกลับไป ผลักคืนกลับตรงหน้าเมิ่งต้าจิน “นายท่าน การมาครั้งนี้เป็นหน้าที่อันสมควรของข้าน้อยขอรับ ที่ท่านให้มานี้มากเกินไปแล้ว ข้าน้อยไม่กล้ารับหรอกขอรับ”

 

 

ไม่เพียงแต่เมิ่งต้าจิน แม้แต่คนที่มาดูเหตุการณ์อยู่รอบๆ ก็รู้สึกอึดอัดไปด้วย ปกติเจ้าหน้าที่พวกนี้แทบอยากจะปอกลอกเนื้อหนังของผู้คน แต่วันนี้เป็นอะไร เงินถึงมือแล้วก็ไม่เอา ไม่ใช่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกแล้วหรือ

 

 

เห็นเจ้าหน้าที่มองมาทางตัวเองบ่อยครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงเอ่ยปากพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “รับไปเถิด เดินทางมาถึงนี่นั้นมิง่าย”

 

 

ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนที่ไม่เพียงแต่ไม่กล่าวตำหนิ แล้วยังเอ่ยปากให้พวกเขารับอีก พวกเจ้าหน้าที่ต่างก็ดีใจจนตีนกาบนใบหน้าก็ยิ้มออกมาด้วย “ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ ขอบพระคุณซื่อจื่อขอรับ ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง จะรับเอาไว้เดี๋ยวนี้”

 

 

ตอนนี้ทุกคนถึงเข้าใจว่าไม่ใช่เพราะพระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก แต่ซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงไม่กล้ารับเงินอย่างโจ่งแจ้ง

 

 

เจ้าหน้าที่รับเงินและจากไปอย่างดีอกดีใจ ผู้คนรอบๆ ก็ถือโอกาสนี้มาแสดงความยินดี ประการแรกคือทำให้คุ้นหน้าคุ้นตา ประการที่สองคือมาสานสัมพันธ์กับคนของตระกูลเมิ่ง ต้องรู้ว่า ตั้งแต่วินาทีที่ได้ทราบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะแต่งกับซื่อจื่อแห่งอ๋องฉีนั้น พวกเขาก็ครุ่นคิดหาทางว่าจะประจบประแจงคนของตระกูลเมิ่งอย่างไรดี จะทำอย่างไรกับทุกคนที่อยู่ในตระกูลเมิ่งดี ซึ่งรวมไปถึงนายประตูด้วย ทว่า แต่ละคนก็ล้วนรักษากฎระเบียบอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยรับอะไรจากคนอื่นโดยไร้สาเหตุ ทำให้แม้ว่าพวกเขาอยากจะประจบสอพลอก็หาช่องทางไม่ได้เลย ตอนนี้ได้โอกาสนี้พอดี ถึงแค่จะมาพูดแสดงความยินดี ก็ถือว่าได้พูดคุยด้วยแล้ว

 

 

เมิ่งต้าจินพาเมิ่งเหริน เมิ่งอี้ เมิ่งฉี รับมือด้านนอก ส่วนภรรยาเมิ่งต้าจินกับเมิ่งซื่อและคนอื่นๆ ก็กลับเข้าไปในห้องด้วยความปีติยินดี และนั่งพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นไม่หยุด

 

 

โจวอันเดินเข้ามาภายในเรือน รายงานเสียงดัง “นายท่าน คนที่ไปสืบข่าวกลับมาแล้วขอรับ”

 

 

ทุกคนหยุดพูด

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นพร้อมกัน เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ข้ากับอี้เซวียนมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ ขอกลับไปที่เรือนของข้าก่อนนะเจ้าคะ”

 

 

ทุกคนก็ไม่สนใจ พยักหน้ายิ้มให้ รอให้พวกเขาสองคนออกไปแล้ว ก็พูดคุยหัวเราะต่อกันอย่างไม่หยุด

 

 

ทั้งสองคนกลับมาในห้องของเมิ่งเชี่ยนโยว องครักษ์ลับก็ตามเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย ไปสืบมาแน่ชัดแล้วว่าวันนี้คุณชายหลิวคนนั้นไม่ได้อยู่ในจวนราชเลขาขอรับ บอกว่ารับประทานอาหารเช้าตั้งแต่เช้าตรู่แล้วก็ออกไปดูประกาศของราชสำนักเลยขอรับ”

 

 

นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถาม “ตอนที่พวกเจ้าลักพาตัวคุณชายหลิว เขาเป็นอย่างไร รอบตัวเขามีคนติดตามหรือไม่”

 

 

องครักษ์ลับส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ เวลานั้น คุณชายหลิวคนนั้นโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง อย่าว่าแต่คนติดตามเลยขอรับ แม้แต่รถม้าก็เช่าไม่ไหว มิเช่นนั้นพวกข้าน้อยก็คงจับไม่ได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นขอรับ”

 

 

“นี่มันแปลกเสียแล้วสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียน “วันนี้คนๆ นั้นเรียกตัวเองว่าหลิวจยาเจิ้ง ไม่เพียงแต่มีคนติดตามมากมาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เหมือนกับคนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนคดแค้นเลย คำพูดและกิริยาท่าทางก็แตกต่างจากที่พวกเจ้าบรรยายอย่างสิ้นเชิง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

 

 

“ข้าน้อยก็รู้สึกว่าน่าแปลกเช่นกันขอรับ คุณชายหลิวคนนี้มีหน้าตาเหมือนกับคนที่พวกข้าลักพาตัวนั่นไม่มีผิด แต่ว่าข้าน้อยกลับรับประกันว่าพวกเขาไม่ใช่คนๆ เดียวกันจริงๆ ขอรับ”

 

 

“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูหลิน ไม่อย่างนั้นพวกเราหาคนไปตรวจสอบอีกครั้งดีหรือไม่” เมิ่งเชี่ยวโยวลองปรึกษากับหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ได้ยินว่าคุณชายหลิวคนนี้เป็นญาติทางฝั่งของฮูหยินแห่งจวนราชเลขา เรื่องนี้พวกเราไม่อาจแทรกแซงได้ง่ายๆ แต่ว่าพวกเราเตือนหลินจ้งเสียหน่อย ส่วนเขาจะฟังหรือไม่ พวกเราก็ไม่ต้องสนใจแล้ว”

 

 

ไม่นาน หลินจ้งที่กำลังออกจากค่ายทหารเตรียมตัวกลับบ้านก็ถูกโจวอันหยุดไว้

 

 

เมื่อวานเสียท่าให้แก่โจวอัน ครั้นหลินจ้งเห็นเขาในวันนี้ ก็เตรียมการตั้งรับ แล้วถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร “เจ้ามาทำอะไร”

 

 

“นายของพวกข้าพบว่าคุณชายหลิวมีข้อผิดปกติบางอย่าง จึงสั่งให้ข้ามาบอกต่อโดยเฉพาะ ถ้าหากคุณชายหลินเอ็นดูน้องสาวท่านจากใจจริง ก็ลองส่งคนไปตรวจสอบดูขอรับ” สิ้นเสียง ก็ไม่รอให้หลินจ้งตอบสนองกลับ โจวอันก็ลอยตัวออกไปจากประตูค่ายทหารแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ใช่คนที่จะปั้นน้ำเป็นตัว ในเมื่อเขาส่งคนมาบอกเช่นนี้ ต้องพบเรื่องอะไรเป็นแน่ ความสงสัยอยู่เต็มหัวของหลินจ้งไปหมด กลับถึงจวนราชเลขา ก็เข้าประตูแล้วถามผู้ดูแลจวน “คุณชายหลิวอยู่ในจวนหรือไม่”

 

 

รอบตัวของผู้ดูแลแผ่ไอของความปรีดา “อยู่ในจวนขอรับ เจ้าหน้าที่ส่งข่าวมงคลเพิ่งมาเมื่อครู่ บอกว่าคุณชายหลิวสอบผ่านแล้วขอรับ นายท่านและฮูหยินก็นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่กับเขา ปรึกษาเรื่องงานแต่งงานของคุณหนูขอรับ”

 

 

หลิงจ้งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่

 

 

ราชเลขาและฮูหยินกำลังพูดอะไรกับหลิวจยาเจิ้งด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเบิกบาน เมื่อเห็นเขาเข้ามา ก็พูดด้วยความดีใจ “จ้งเอ๋อร์ เข้ามาเร็ว คุณชายหลิวสอบผ่านแล้ว พวกเราก็ควรจะรักษาคำสัญญา เจ้าลองดูสิว่าจะเลือกวันหมั้นหมายของเยียนเอ๋อร์วันใดดี”