หลินจ้งเห็นสภาพขวัญหนีดีฝ่อของนาง ในใจก็รู้สึกเจ็บปวด แต่ก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงใช้เสียงที่นุ่มนวลอย่างสุดเท่าที่จะทำได้ขอร้องนาง “น้องเล็ก นี่เป็นคำพูดที่หวงฝู่อวี้พูดเองต่อหน้าข้า ซื่อจื่อ และซื่อจื่อเฟย มิได้เป็นความเท็จอย่างแน่นอน เจ้าตัดใจเสียเถิด ต่อไปก็อย่าได้คิดคะนึงถึงเขาอีกเลย”

 

 

หลินหันเยียนมีน้ำตาไหลออกมาเต็มหน้าแล้ว เดิมทีใบหน้าก็อิดโรยอยู่แล้ว ยังมีความเจ็บปวดขมขื่นมากขึ้นอีก นางยื่นมือหนึ่งออกมาจับมือของหลินจ้งไว้ และพูดอย่างสะอื้นไห้ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เชื่อเจ้าค่ะ ข้าไม่เชื่อว่าพี่อวี้จะไม่มีใจให้แก่ข้า ที่เขาทำดีกับข้าเมื่อก่อนนั้นล้วนไม่เป็นจริงหรือเจ้าคะ”

 

 

หลินจ้งถอนหายใจ “น้องเล็ก เมื่อก่อนพวกเจ้าอายุยังน้อย เล่นกันด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับความรัก เจ้าลองนึกดู ตั้งแต่ที่เจ้ากับซื่อจื่อถอนหมั้นกัน เขายังมาหาเจ้าที่จวนอีกหรือไม่ ฟังคำของพี่ใหญ่นะ อย่าได้คิดถึงเขาอีก แล้วแต่งกับคุณชายหลิวแต่โดยดีเถิด”

 

 

ความสิ้นหวังในใจของหลินหันเยียนเป็นดั่งสายน้ำในแม่น้ำเจียงที่โถมเข้ามาใส่จนทำให้ทั้งร่างของนางจมลงไป นางร้องไห้หนักจนแทบจะขาดใจ พูดอะไรไม่ออก

 

 

หลินจ้งไม่รู้ว่าจะอ้อนวอนนางอย่างไร ได้แต่เพียงอยู่เป็นเพื่อน และถอนหายใจยาวๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจวนอ๋องให้แก่พระชายาฉี

 

 

ในใจของพระชายาฉีก็เป็นกังวล “จะทำอย่างไรดีล่ะ ดูท่าว่าอวี้เอ๋อร์จะใจแข็งไม่ยอมข้องเกี่ยวอันใดกับเยียนเอ๋อร์อีกแล้ว”

 

 

มาถึงตอนนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไร้หนทาง จึงพูดและคิดไปด้วย “ดีที่ทั้งสองคนนั้นยังไม่ได้หมั้นหมายกันนะเจ้าคะ รออีกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจะเกิดความพลิกผันอันใหญ่หลวงขึ้นได้เจ้าได้ค่ะ”

 

 

พระชายาฉียิ่งไม่มีความคิดใดๆ จึงพยักหน้าอย่างห่อเ**่ยว “ก็คงต้องเป็นเช่นนั้น”

 

 

รุ่งเช้าของวันถัดมา เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้นอนเกียจคร้าน หลังจากลุกขึ้นมาแต่เช้าตรู่และรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ก็มายังหนานเฉิงด้วยกันกับหวงฝู่อี้เซวียน แล้วรอฟังข่าวพร้อมกับทุกคน

 

 

ตั้งแต่ที่ครอบครัวเมิ่งต้าจินมา สองสามีภรรยาเมิ่งอี้ก็ตามมาพักอาศัยที่บ้านด้วย ในเวลานี้ เมิ่งอี้กลับเป็นคนที่ร้อนใจมากที่สุด เดินไปมาอยู่ในห้องไม่หยุดจนทำให้เมิ่งต้าจินตาลาย และพูดดุเขา “ไม่ต้องเดินไปเดินมาแล้ว ไปนั่งให้ดีๆ”

 

 

เมิ่งอี้หยุดฝีเท้าและลูบหลังศีรษะของตัวเอง พร้อมหัวเราะแหะๆ อย่างเขินอาย แล้วลองสอบถามอย่างระมัดระวัง “ท่านพ่อ พวกเรารอฟังข่าวอยู่ในบ้านยิ่งทำให้รู้สึกกระวนกระวายเหลือเกิน ไม่อย่างนั้น ข้าไปตรงที่ติดประกาศของราชสำนักดูเสียหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”

 

 

จริงๆ แล้ว ในใจของเมิ่งต้าจินร้อนรนเสียยิ่งกว่าใคร อีกทั้งกระสับกระส่ายไปหมด แต่เพราะอยู่ต่อหน้าทุกคนจึงต้องแสร้งทำเป็นนิ่งขรึมเท่านั้น พอได้ฟังเมิ่งอี้พูดจบ ก็รีบโบกมือ แล้วพูดอย่างเสแสร้ง “เจ้ารีบไปเถิด จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมาตรงหน้าข้าให้ข้าต้องปวดหัว”

 

 

เมิ่งอี้ดีใจจนร้องออกมา แล้วเปิดเท้าเตรียมวิ่งออกไปข้างนอกทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มและร้องเรียกเขาไว้ “พี่เมิ่งอี้ รอก่อน!”

 

 

เมิ่งอี้หยุดฝีเท้าแล้วหันศีรษะกลับมา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน แล้วพูดกับหวงฝู่อี้เซวียน “พวกเราก็ไปด้วยเถิด ข้ารอคอยจนรู้สึกร้อนใจด้วยเหมือนกัน”

 

 

เมิ่งฉีก็พูดตามด้วย “ใช่ๆๆ พวกเราไปด้วยกัน”

 

 

เมิ่งเหรินกลับเป็นคนที่ไม่ได้กระวนกระวายที่สุด และเป็นคนสุดท้ายที่ลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “ไปเถิด พวกเราก็ไปด้วย”

 

 

แต่ละคนนั่งรถม้ามาถึงสถานที่ติดประกาศของราชสำนัก เวลายังเช้าอยู่นัก ประกาศของราชสำนักยังไม่ได้ติดออกมา แต่ข้างหน้าที่ติดประกาศนั้น ก็ได้ล้อมไปด้วยผู้คนที่เข้าร่วมสอบจอหงวนเต็มไปหมดตั้งนานแล้ว ทุกคนล้วนเขย่งปลายเท้า ชูคอยาว ชะเง้อมองไปด้านหนึ่ง เฝ้ารอให้รีบติดประกาศราชสำนักออกมา

 

 

ทันทีที่แต่ละคนลงจากลงม้าและเห็นเหตุการณ์นี้ ก็ไม่ใครเดินเข้าไป ต่างยืนอยู่ข้างรถม้า รอคอยอย่างเงียบๆ

 

 

ยังคงมีคนรีบร้อนวิ่งมาจากที่ไกลๆ ระหว่างที่เมิ่งฉีเงยหน้ามองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งหยุดจากที่ไกลๆ เหมือนกัน ผู้ชายคนหนึ่งลงจากบนรถม้า แล้วยื่นมือออก ช่วยประคองผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ลงมา ทั้งสองคนนี้หาใช่ใครอื่นไม่ แต่เป็นฮั่วเซียงหลิงกับสามีของนาง

 

 

ทั้งสองยืนอยู่ข้างรถม้าเช่นเดียวกัน ด้านข้างมีบ่าวและสาวใช้หลายคน เด็กน้อยในอ้อมอกของฮั่วเซียงหลิงราวกับรู้สึกสงสัยใคร่รู้กับผู้คนที่มากมายขนาดนี้ แขนและขาเล็กๆ ก็สะบัดกันมั่ว อยากที่จะลงมา

 

 

ฮั่วเซียงหลิงก้มหน้าไปกล่อมอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยคล้ายว่าจะไม่ยอม ร่างเล็กๆ ก็ยิ่งดิ้นอย่างแรง

 

 

ไม่รู้ว่าชายหนุ่มพูดอะไรกับเด็ก เด็กน้อยยื่นแขนออกมา ส่งสัญญาณให้เขาอุ้ม

 

 

คนๆ นั้นเผยรอยยิ้มที่ละมุน รับเด็กมา แล้วให้เขานั่งอยู่บนบ่าอย่างระมัดระวัง

 

 

เด็กน้อยดีใจอย่างยิ่ง ปรบมือน้อยๆ แล้วร้องตะโกนอย่างชอบใจ

 

 

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของฮั่วเซียงหลิงมองพ่อลูกทั้งคู่และเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นออกมาจากหัวใจโดยแท้จริง ทำให้ทั้งกายของนางเปล่งประกายด้วยราศีของคนเป็นแม่

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน ดูท่าฮั่วเซียงหลิงจะเดินออกมาแล้วจริงๆ หลังจากทิ้งเหวินเปียวออกจากสมองได้ ก็รักและทะนุถนอมครอบครัวของตัวเองอย่างสุดใจ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ

 

 

ขณะที่กำลังจะละสายตาออก ฮั่วเซียงหลิงกลับเห็นนางเข้า จึงผงะไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ หันฝีเท้า อยากจะเดินมาหา

 

 

ชายหนุ่มดึงนางเอาไว้ แล้วส่ายหน้าเบาๆ ให้นาง พลันหันไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและพยักหน้าให้เล็กน้อยเพื่อทักทาย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้ายิ้มให้ แล้วละสายตากลับมา

 

 

ฮั่วเซียงหลิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าที่เป็นปกติ สั่งบ่าวรับใช้ติดตามอยู่ด้านข้างให้เขาไปสืบดูสถานการณ์ตรงหน้า

 

 

บ่าวรับใช้ติดตามรับคำ แล้วเดินตามฝูงคนไปข้างหน้า

 

 

รู้สึกว่าจวนจะถึงเวลาแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งโจวอันไปให้ตรวจดูข้างหน้าด้วย

 

 

โจวอันรับคำ และไปด้านหน้า เขามีวิชาการต่อสู้ติดตัว ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนอื่นบ้าง ไม่นาน ก็เบียดเข้าไปในฝูงคน และหายไปโดยไม่เห็นเงา

 

 

ด้านหน้ามีคนตะโกนเสียงดัง “ประกาศราชสำนักออกมาแล้ว!”

 

 

ฝูงคนเบียดเสียดกัน คนข้างหน้ายังดูไม่ทันเสร็จ คนข้างหลังก็ใจร้อนอยากจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะเบียดเข้าไปด้านหน้าอย่างสุดชีวิต

 

 

บนใบหน้าที่เคร่งเครียดของเมิ่งอี้เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาแล้ว มองแต่ละคนแวบหนึ่ง ก็วิ่งเหยาะๆ เข้าไปข้างหลังของกลุ่มคน แล้วกระโดดหลายครั้ง พยายามที่จะมองดูชื่อที่อยู่บนประกาศราชสำนักด้านหน้าผ่านฝูงคนจำนวนมาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหน้า เมื่อปีนั้นที่อี้เซวียนสอบติดถงเซิง นางก็ได้เรียนรู้กับภาพเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่กระโดดดูเลย แม้แต่ยืนอยู่บนยอดของรถม้าก็มองไม่เห็นด้านหน้า

 

 

มีคนๆ หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนคุณชายพาบ่าวรับใช้หลายคน วิ่งผ่านข้างกายพวกเขาอย่างรีบร้อนไป เสื้อผ้าดูไม่ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่าทางยังสะลึมสะลือละม้ายคล้ายว่ายังไม่ตื่นนอนดี ครั้นเห็นผู้คนมหาศาลเบื้องหน้า คุณชายคนนั้นก็กระโดดหลายครั้งเหมือนเมิ่งอี้ คงจะเป็นเพราะนอกจากศีรษะของคนแล้ว ก็มองไม่เห็นอะไรเลย จึงโมโห แล้วถีบบ่าวรับใช้คนหนึ่งในนั้นพร้อมพูดด่า “เมื่อคืนข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าให้ปลุกข้าตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเจ้าฟังคำของข้าเหมือนกับเป็นลมผ่านหูเสียแล้วหรือ”

 

 

บ่าวรับใช้แต่ละคนถูกถีบ ก็ไม่กล้าส่งเสียงร้อง ยืนหดตัวอยู่ที่เดิม

 

 

“เจ้าพวกสวะไร้ประโยชน์ รีบมายกข้าขึ้น!” คุณชายคนนั้นสั่ง

 

 

คนใช้คนหนึ่งที่มีรูปร่างกำยำรีบย่อตัวลง ให้คุณชายคนนั้นขี่บนคอ แล้วออกแรงยืนขึ้นโดยที่มีคนอื่นช่วยเหลือด้วย แล้วมองไปด้านใน

 

 

ดูท่าว่ายังคงมองไม่เห็น คุณชายคนนั้นก็ใช้มือตีบ่าวที่ร่างกำยำหลายครั้งอย่างร้อนรน “โง่เสียจริง เดินเข้าไปข้างหน้าอีกหน่อยสิ”

 

 

ทว่า เบื้องหน้าก็คือกำแพงมนุษย์ ไหนเลยจะเบียดเข้าไปข้างหน้าให้สะทกสะท้านได้ ทคนทั้งหมดล้วนออกสุดแรง ก็เบียดเข้าไปไม่ได้ แต่กลับอาจจะเพราะมีคนข้างหน้าที่ดูเสร็จแล้ว และมีชื่อบนประกาศนั้นแล้ว จึงเบียดออกมาข้างนอกอย่างดีอกดีใจ ในครานี้ มิได้เป็นกำแพงหนาแน่น แต่ฝูงคนขยับไหวราวกับลูกคลื่น และเบียดชายฉกรรจ์ร่างกำยำจนไม่อาจทรงตัวได้อย่างมั่นคง แล้วทั้งตัวก็ล้มไปด้านหลัง แม้แต่คุณชายที่อยู่บนไหล่ของเขาก็ร่วงล้มตามไปด้วย

 

 

บ่าวแต่ละคนที่อยู่ด้านข้างอยากจะค้ำพวกเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ชายฉกรรจ์ล้มทื่อไปบนพื้น สะท้านจนแผ่นพื้นใต้เท้าของพวกเมิ่งเชี่ยนโยวไหวสั่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณชายคนนั้นเลย ศีรษะกระแทกลงกับพื้นตรงๆ และส่งเสียงร้องโอดครวญราวกับหมูโดนเชือด

 

 

บ่าวคนอื่นๆ มือเท้าสับสนวุ่นวาย อยากจะมาพยุงคุณชายคนนั้นขึ้นมา นึกไม่ถึงว่ารีบเกินไป ศีรษะของแต่คนก็ชนเข้ากันแล้ว ได้ยินแต่เสียง โป๊ก ที่ดังขึ้น จากนั้นพวกเขาต่างก็ล้มไปด้านหลังและกระแทกนั่งลงกับพื้นทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเห็นทั้งหมดกับตา อยากจะหัวเราะ ก็รู้สึกว่าคนมากมายเช่นนี้คงจะเสียมารยาท จึงกลั้นขำจนปวดท้อง

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนปนหัวเราะ “อยากจะหัวเราะก็หัวเราะ ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอามือป้องปากตัวเองไว้ ยิ้มส่ายหน้า

 

 

องครักษ์ลับคนหนึ่งตาเบิกโตเดินเข้ามา ชี้ไปที่คุณชายที่นอนบนพื้นร้อง โอยๆๆ ไม่หยุด แล้วปากก็ด่าคนไปทั่วโดยที่ไม่เหลือภาพลักษณ์ใดๆ อีกคนนั้น แล้วพูดว่า “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟย เขา…เขา…เขาคือคุณชายหลิวขอรับ”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวคลายลง หวงฝู่อี้เซวียนย่นคิ้วเล็กน้อย “เจ้าดูแน่ชัดแล้วหรือว่านั่นคือคุณชายหลิว”

 

 

องครักษ์ลับขมวดคิ้วไปด้วย และเผยสีหน้าที่ลำบากใจ “ดูจากหน้าตาแล้วก็คือคุณชายหลิวขอรับ แต่ว่าดูจากกิริยาวาจาแล้วก็ไม่ใช่ บ่าวก็สับสนแล้วขอรับ”

 

 

ตอนแรกสั่งโจวอันไปลักพาตัวคุณชายหลิว หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้แทรกแซง จึงไม่รู้ถึงหน้าตาที่แท้จริงของคุณชายหลิว แต่องครักษ์ลับพวกนี้เป็นคนที่คัดเลือกมาจากผู้คนมากมาย การรู้จักคนเป็นทักษะอย่างหนึ่ง จึงไม่อาจมองผิดได้อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น

 

 

“เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายหลิวยังอยู่ในจวนราชเลขาหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนสั่งเสียงขรึม

 

 

องครักษ์ลับรับคำ แล้วลอยตัวไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งฉีกับเมิ่งเหรินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถาม เพียงแต่มองฝูงคนตรงหน้าด้วยความกังวล หวังให้โจวอันรีบออกมา

 

 

หลังจากที่บ่าวรับใช้หลายคนต่างอลหม่านกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง สุดท้ายก็สามารถพยุงคุณชายคนนั้นขึ้นมาได้ แน่นอนว่าก็ยังต้องโดนดุด่า โดยเฉพาะบ่าวที่รูปร่างกำยำนั่น คุณชายคนนั้นคิดถึงขั้นอยากจะบีบคอเขาให้ตายเสียแล้ว “เจ้าคนเดรัจฉาน ตัวเจ้าคนเดียวกินข้าวได้เท่าห้าคนกิน แต่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำให้ดีไม่ได้ ข้าเก็บเจ้าไว้แล้วจะมีประโยชน์อันใด วันนี้หลังจากกลับไป ก็เก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวออกไปจากบ้านของข้าเสีย อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก”

 

 

บ่าวรับใช้ร่างกำยำตกใจจนคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไร

 

 

คุณชายคนนี้ยังคงไม่พอใจ จึงถีบเขาหลายครั้ง ถีบจนกระทั่งเขาล้มกลิ้งไปกับพื้น ถึงจะหยุด

 

 

ส่วนคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเขากำลังโกรธขึ้นสมอง ก็ไม่กล้าอ้อนวอน ได้แต่เพียงมองบ่าวรูปร่างกำยำด้วยความเวทนา

 

 

แล้วก็มีฝูงคนที่ทะลักออกมาด้านนอกอีกระลอกหนึ่ง ครั้งนี้องค์ชายคนนั้นตกใจจนต้องถอยออกมาให้ห่างจากฝูงคนไกลหน่อย แต่ก็รู้สึกไม่ยอม จึงสั่งบ่าวรับใช้คนหนึ่ง “เจ้า รีบเบียดเข้าไป ไปดูว่ามีชื่อของข้าหรือไม่”

 

 

บ่าวคนนั้นไม่กล้าชักช้า รีบแทรกตัวเข้าไปในฝูงคนโดยเร็ว

 

 

โจวอันกระโดดลอยตัวออกมาจากฝูงคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “มีชี่อของนายน้อยขอรับ อันดับที่ยี่สิบแปดขอรับ”

 

 

เมิ่งอี้ดีอกดีใจจนกระโดดตัวลอย เมื่อปลายเท้าถึงพื้นแล้วก็รุดตัวเข้าไปตรงหน้าของเมิ่งเหริน แล้วกอดเขาไว้ ร้องด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ สอบติดแล้ว สอบติดแล้ว ข้าเป็นตัวแทนแห่งเกียรติให้แก่บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งของพวกเราได้แล้ว”

 

 

เมิ่งฉีดีใจอย่างยิ่ง ตบบ่าของเมิ่งเหรินหลายครั้ง นัยน์ตามีน้ำตาแห่งความตื้นตัน “เมิ่งเหริน ทำได้ยอดเยี่ยมนัก”

 

 

เมิ่งเหรินก็ตื่นเต้นอย่างมาก พยักหน้าไม่หยุด ลำคอติดขัด พูดอะไรไม่ออก หลายปีมาแล้ว ในที่สุดก็ไม่ทำให้คนในตระกูลผิดหวัง และไม่ทำให้บรรพบุรุษตระกูลเมิ่งผิดหวังแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

 

 

คุณชายคนนั้นมองดูภาพนี้ทั้งหมด กรอกตามองขึ้นอย่างใช้ความคิด แล้วเดินเข้ามายืนนิ่งตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียน เผยรอยยิ้ม แล้วทำท่าทางเลียนแบบท่าทางของบัณฑิตด้วยการประสานสองมือเข้าไว้ด้วยกัน พร้อมโค้งตัวให้แก่หวงฝู่อี้เซวียนเพื่อแสดงความเคารพ “พี่ชายท่านนี้ขอรับ ขอรบกวนท่านได้หรือไม่ ให้บ่าวของท่านไปช่วยดูให้ข้าหน่อยขอรับ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก เมิ่งเชี่ยนโยวก็เอื้อมมือดึงชายเสื้อของเขาไว้เพื่อขวางไม่ให้เขาเอ่ยปาก แล้วพยักหน้ายิ้มให้ “ได้สิเจ้าคะ ขอทราบซื่อและแซ่ของคุณชายท่านนี้หน่อยเจ้าคะ”

 

 

ราวกับไม่คาดคิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะรับคำ คุณชายคนนี้ก็ผงะไป เงยหน้าขึ้นมามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง นัยน์ตาก็พลันลุกวาว แล้วพูดตอบโดยเร็ว “ข้าน้อยคือหลิวจยาเจิ้ง ขอบคุณแม่นางที่ช่วยเหลือในครั้งนี้ขอรับ”

 

 

กรอกตาประเมินเขาอย่างละเอียดครู่หนึ่งอย่างเงียบๆ แล้วเมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดสั่ง “โจวอัน ไปช่วยดูให้คุณชายท่านนี้เสียหน่อย”

 

 

โจวอันไม่ตอบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปมองด้วยความฉงน

 

 

ครั้งนี้โจวอันถึงจะรับคำราวกลับเพิ่งตื่นจากฝัน แต่แววตาที่แคลงใจกลับมองอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้ง

 

 

หลิวจยาเจิ้งรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา จึงมองไปทางเขา

 

 

โจวอันจึงลองเอ่ยปาก “คุณชายหลิว ท่านรู้จักข้าหรือไม่”

 

 

หลิวจยาเจิ้งมองเขาอย่างสบายๆ สักพักหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพูดจาน่าขัน ข้าน้อยเพิ่งจะมาเมืองหลวงเป็นครั้งแรกได้ไม่นาน ไหนเลยจะรู้จักคนสูงส่งอย่างท่าน”

 

 

ใบหน้าของโจวอันปรากฏความฉงน แล้วพูด “ก่อนหน้านี้หลายวัน ข้าบังเอิญรู้จักกับคุณชายท่านหนึ่งที่ชื่อหลิวจยาเจิ้ง และมีหน้าตาแทบจะเหมือนกับท่านเลย”

 

 

แววตาของหลิวจยาเจิ้งส่องประกายไม่หยุด สีหน้าก็เริ่มมีความอึดอัดขึ้น แล้วฝืนยิ้มพูด “พี่ชายท่านนี้ ล้อเล่นเก่งเสียจริงๆ ข้าน้อยเป็นลูกคนเดียว ในใต้หล้านี้จะมีคนที่เหมือนกับข้าได้ที่ไหนอีกเล่า”