ราชันเร้นลับ 729 : โกลาหล โดย Ink Stone_Fantasy
ป่าทั้งผืนพลันเหี่ยวแห้ง คล้ายกับตัวตนที่สามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่งกำลังลงมาเยือน
เมื่อแขนท่อนดังกล่าวยืดออกจนเกือบสุด กลุ่มสายฟ้าสีเงินเส้นมหึมาพลันโผล่ออกจากอากาศอันว่างเปล่า มอบความสว่างไสวไปทั่วภูเขา ก่อนที่สายฟ้าทุกเส้นจะถักสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นกรงอสนีบาตที่เคยได้ยินเพียงในตำนาน ห่อหุ้มแขนเหนียวหนืดสีเข้มไว้ทุกทิศทาง
เมฆดำรวมตัวกัน ณ กึ่งกลางท้องฟ้า ผุดคิ้วและปากขนาดใหญ่ ดูคล้ายกับใบหน้าของมนุษย์!
ความวุ่นวายครั้งใหญ่ส่งผลให้ ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนในบายัมตระหนักถึงความผิดปรกติ จึงไม่ลังเลที่จะลงมือด้วยตัวเอง และยังสั่งให้ทูตพิพากษาเปิดใช้งานสมบัติปิดผนึกบางอย่าง
ร่างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ถูกผลักออกจากความว่างเปล่า เดรสสีดำหรูหราซับซ้อนยังคงปราศจากความยุ่งเหยิง
หญิงสาวยกมือซ้าย สองศีรษะผมทองและตาแดงลอยกลับไปยังบริเวณลำคอที่ขาด ส่วนอีกสองหัวยังคงต่อสู้กับทารกผิวดำตัวใหญ่ที่มีผิวหนังเปียกชุ่มและเหี่ยวย่น
รอยตัดบริเวณลำคอเริ่มยุบพองและขยับเขยื้อน เชื่อมต่อเข้ากับศีรษะทั้งสอง หลังจากนั้น ร่างกายหญิงสาวขยายขนาดขึ้นทันที ดูคล้ายกับปราสาทเก่าแก่สไตล์โกธิค บนพื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลาย เถาวัลย์ และการประดับตกแต่งอื่นๆ ที่อัดแน่นไปด้วยความลึกลับและชั่วร้าย มอบความรู้สึกไม่ควรจ้องมองโดยตรง
ไคลน์ปิดตาสนิท ใช้การเดินทางของกรอซายปกปิดใบหน้าอีกชั้น พยายามควบคุมพลังวิญญาณอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยากจะขจัดผลด้านลบบนร่างกายออกไปได้หมด ลำตัวมิอาจหยุดสั่น ตุ่มเนื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าผุดขึ้นจากผิวหนัง
จนถึงเมื่อครู่ มันเพิ่งยืนยันได้ว่า จุดอ่อนใหม่ที่เกิดจากผลข้างเคียงของ ‘ลางมรณะ’ ก็คือ ภาวะกลัวความมืด!
ภายในหกชั่วโมงถัดไป จะไม่มีจุดอ่อนใหม่เพิ่มเติม
โชคยังดี… จริงอยู่ที่จุดอ่อนนี้ค่อนข้างร้ายแรง แต่เรายังพอมีวิธีแก้ขัดในระยะเวลาสั้นๆ … ไคลน์หลับตาลง หลั่งน้ำตาที่มิอาจควบคุม
สำหรับประเด็นดังกล่าว ชายหนุ่มไม่กังวลจนเกินไป เพราะสถานการณ์ภาพรวมได้วุ่นวายและเลยเถิดไปไกลมากแล้ว
หืม… ตัวตนที่ลงมาจากฟากฟ้าดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่า ‘เจ้าสมุทร’ พอสมควร… คงเป็นระดับเทวทูต แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อยนัก เพราะมิได้ปรากฏตัวออกมาโดยตรง แต่เลือกโจมตีผ่านโลกวิญญาณแทน…
เป็นเพราะประเมินแล้วว่ามาถึงไม่ทัน ก็เลยเลือกใช้วิธีนี้? โชคดีที่เราได้รับคำเตือนจาก ‘แสงส้ม’ ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้น หากตัดสินใจหลบหนีช้าเกินไป อาจตกอยู่ในวงล้อมศัตรูที่เตรียมความพร้อมมาอย่างดี! ความคิดมากมายแล่นผ่านสมองไคลน์ แผนขั้นแรกคือการฉวยโอกาสหลบหนี สร้างระยะห่างที่ปลอดภัยให้ตัวเอง
ทว่า ชายหนุ่มทราบดี การล่าถอยโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า อาจมีอันตรายรออยู่
หากเทวทูตของโรงเรียนกุหลาบล้มเลิกความคิดที่จะโจมตี ดึงแขนกลับเข้าไป ‘เจ้าสมุทร’ แยนน์·ค็อตแมนก็คงไม่คิดไล่ตาม เพราะ ‘นักบุญ’ คงไม่กล้าเสี่ยงกับ ‘เทวทูต’ แถมเมื่อครู่ยังเลือกจะใช้วิธีผนึกมากกว่าโจมตีใส่โดยตรง… และถ้าเทวทูตตนดังกล่าวเริ่มไล่ล่าเราอีกครั้ง ลำพังมิสผู้ส่งสารคงช่วยเราไม่ได้… ต้องหาทางทำให้มันเดือดร้อนมากกว่านี้ หาทางยื้อเวลาให้นานที่สุด เราจะได้ฉวยโอกาสหลบหนีออกจากเกาะภูเขาคราม! ไคลน์ผุดทฤษฎีมากมาย ก่อนจะเริ่มลงมือทำตามแผนฉุกเฉิน มือข้างหนึ่งถือการเดินทางของกรอซาย อีกข้างสอด ‘ลางมรณะ’ เข้าไปเก็บในเสื้อ กลิ้งสองตามตลบจนกระทั่งถึงกล่องบุหรี่เหล็ก
เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกล่อง กำแพงวิญญาณพลันสลายตัวทันที ชายหนุ่มรีบเปิดผาพร้อมกับโยนถุงมือ ‘อินธน์’ ที่ปนเปื้อนการกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริงขึ้นไปในอากาศ เล็งไปยังจุดที่มีการปะทะ!
ถัดมา ไคลน์ที่กำลังใช้การเดินทางของกรอซายปิดหน้า ลืมตาขึ้นพลางล้วงนกหวีดทองแดงจากในเสื้อ
สิ่งนี้ไม่ใช่นกหวีดทองแดงของมิสเตอร์อะซิก แต่เป็นนกหวีดของนิกายวิญญาณที่ได้รับจากชายคลั่งศาสตร์เร้นลับในกรุงเบ็คลันด์ เดิมทีเคยเป็นของสมาชิก ‘นิกายวิญญาณ’ คนหนึ่งซึ่งคืนชีพหลังความตาย
ย้อนกลับไปในตอนนั้น ไคลน์ลองทำนายถามถึงผลลัพธ์ของการเป่านกหวีด คำตอบที่ได้รับก็คือ การกระทำดังกล่าวจะเต็มไปด้วยอันตรายที่ยากหยั่งถึง!
ดังนั้น ไคลน์จึงต้องการชักนำ ‘อันตรายมาก’ มาเผชิญหน้ากับ ‘อันตรายมาก’ สร้างสถานการณ์สุดแสนวุ่นวายแต่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตน!
ชายหนุ่มสอดนกหวีดทองแดงเข้าไปในปากและพ่นลมเป่า จากนั้นก็เปิดเนตรวิญญาณ แต่ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง โดยในเวลาเดียวกัน กะโหลกที่มีดวงตาเฉยเมยสามดวงปรากฏขึ้นจากความว่าเปล่า รอบๆ กะโหลกมีหนวดยาวสีดำ
ไคลน์รีบยื่นขนนกสีขาวให้ผู้ส่งสารอย่างไม่ลังเล เป็นขนนกที่สมาชิกนิกายวิญญาณผู้คืนชีพเหลือทิ้งไว้
ไม่รอให้ผู้ส่งสารหายไป กล้ามเนื้อแขนของไคลน์พลันบวมพอง ขว้างนกหวีดทองแดงไปในอากาศ เล็งไปยังจุดที่มีการปะทะแสนวุ่นวาย
จัดการทั้งหมดเสร็จ ชายหนุ่มเก็บกล่องบุหรี่เหล็ก ม้วนตัวอีกหนึ่งตลบและกระโจนไกลหนึ่งครั้ง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตรงไปทางหน้าผา ระหว่างทางมีการก้มหน้าลง สลับกับซิกแซกไปเรื่อยๆ ไม่กล้าแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า และไม่กล้าวิ่งแช่ในตำแหน่งเดิม!
เมื่อย้อนกลับไปถึงจุดที่ ‘พลเรือเอกโลหิต’ เซนอลนอนหมดสติ ดวงตาไคลน์พลันแข็งค้าง เนื่องจากอีกฝ่ายหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
ท่ามกลางสถานการณ์อันวุ่นวายและไม่มีใครเข้ามาช่วย ร่างของ ‘วิญญาณอาฆาต’ ที่บาดเจ็บสาหัสจนหมดสติจะหายตัวไปได้อย่างไร?
ไคลน์ยังไม่หยุดฝีเท้า เพียงชำเลืองไปมองเลือดสีแดงเข้มที่สะท้อนแสงอยู่ตรงหน้า โดยตำแหน่งดังกล่าวคือจุดที่ไคลน์เคยทำ ‘การเดินทางของกรอซาย’ ตกพื้น!
อย่าบอกนะว่า… หยดเลือดของ ‘พลเรือเอกโลหิต’ กระเซ็นลงบนปกหนังสือบันทึกการเดินทาง? จากนั้นก็ถูกดูดเข้าไป? ไคลน์ขมวดคิ้ว ไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องดี
ชายหนุ่มกังวลว่า เทวทูตและนักบุญที่มารดาพฤกษาแห่งแรงกระหายส่งมา จะใช้พลเรือเอกโลหิตซึ่งอยู่ใน ‘การเดินทางของกรอซาย’ เป็นเครื่องนำทางหายังตน!
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ทิ้งหนังสือเล่มนี้ไม่ลง หากปราศจากมัน ท่ามกลางสนามรบอันดุเดือดและเต็มไปด้วยสะเก็ดการโจมตีจากท้องฟ้า ไคลน์ไม่มั่นใจว่าตนจะหลบอันตรายทั้งหมดพ้น
“…” ไว้ค่อยแก้ปัญหานี้ทีหลัง หากเราหนีรอดเมื่อไร ค่อยใช้ร่างวิญญาณเข้าไปจัดการ … ท่ามกลางความคิดมากมายที่กำลังผุดขึ้นในสมอง ขณะวิ่งผ่านดินที่เปื้อนเลือดของเซนอล ไคลน์ตัดสินใจจิกปลายเท้าและงัดดินบางส่วนขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มือคว้าไว้
สิ่งนี้จำเป็นสำหรับการค้นหาตัว ‘พลเรือเอกโลหิต’ ในภายหลัง!
สวบ สวบ สวบ!
ไคลน์ที่วิ่งซิกแซกเหมือนกับงู ยังคงวาง ‘การเดินทางของกรอซาย’ ไว้เหนือศีรษะ เปลี่ยนตำแหน่งเป็นบางครั้งตามแต่ลางสังหรณ์อันตรายจะแจ้งเตือน
หนังสือเล่มดังกล่าวสามารถป้องกันสายฟ้าพลังสูง เม็ดฝนที่สามารถกัดกร่อนหิน รวมถึงกีดขวางการจ้องมองจากตัวตนลึกลับและน่ากลัว ช่วยให้ไคลน์วิ่งผ่านผืนป่าไร้ชีวิตชีวาอย่างราบรื่น จนกระทั่งถึงริมหน้าผา
ทันใดนั้น บรรยากาศรอบตัวชายหนุ่มพลันมืดสนิท ไม่ใช่ความมืดแบบที่กำลังจะเกิดฝนตกหนัก ไม่ใช่ความมืดที่ปราศจากแสงจันทร์และดวงดาว แต่เป็นความมืดมิดอันไร้ชีวิตชีวา มาพร้อมกลิ่นเหม็นเน่าโชย
เสียงเพรียกดังขึ้นเป็นระยะ เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกล คล้ายกับมีใบหน้าอากาศกำลังขยับปาก
ไคลน์พลันสั่นระริกเพราะความมืด ไม่กล้าแหงนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านบน แต่เมื่อฟ้าผ่าลงมาจนเกิดแสงสว่าง ชายหนุ่มสังเกตเห็นขนนกสีขาวที่เปื้อนคราบน้ำมันเหลืองๆ สองสามเส้น ลอยอยู่ไม่ห่างจากตัวเอง
ไคลน์รีบก้าวเท้าขวาไปข้างหน้า ทิ้งตัวลงจากหน้าผา หลุดออกจากความมืดมิด เริ่มมองเห็นแสงสว่างรอบตัว
จากนั้น ชายหนุ่มเลือกจุดตกเป็นปากของสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาที่ตนเตรียมการไว้ล่วงหน้า
ปากซึ่งไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว ปิดลงกะทันหันและดำดิ่งสู่ก้นทะเลลึก ตามที่นัดแนะไว้ล่วงหน้า มันว่ายออกไปทางแนวปะการังด้านนอกเกาะภูเขาคราม
นี่คือสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ที่มีครีบหลังสิบหกครีบ!
ท่ามกลางความมืดมิดที่ไม่มีอะไรให้ทำ สัญชาตญาณสั่งให้ไคลน์ขดตัวเป็นลูกบอลอย่างหวาดกลัว ร่างกายสั่นระริก ทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มฝืนเอาชนะความรู้สึกเหล่านั้นอย่างยากลำบาก หยิบตะกอนพลังของ ‘นักบวชแสง’ ที่เตรียมไว้รับมือกับ ‘วิญญาณอาฆาต’ ออกมา
เป็นตะกอนพลังที่สกัดออกจากถุงมือ
แสงบริสุทธิ์แผ่ออกจากหินโปร่งใส ขจัดความกลัวที่มืดให้ไคลน์
ขณะกำลังไตร่ตรองว่า ระหว่างรอให้ถึงปลายทาง ตนยังทำอะไรได้อีกบ้าง แต่ทันใดนั้นพลันรู้สึกคันหลังมือยุบยิบ
เมื่อรีบมองลงไป ชายหนุ่มพบรูขุมขนที่เปิดกว้างพร้อมกับปุยเส้นขนสีขาว
ปุยขนงอกยาวอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะกลายเป็นขนนก!
ไคลน์รู้สึกคันคะเยอไปทั่วร่างทันที!
เจ้าของนกหวีดทองแดงตนนี้อันตรายมาก! ไคลน์ที่มีประสบการณ์โชกโชน รีบลุกขึ้นยืน เดินถอยหลังสี่ก้าวภายในปากสัตว์ทะเล ท่องบทสวดเสียงต่ำ
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มหมอกสีเทา ระหว่างทางได้ยินเสียงเพรียกมากมาย โดยในเวลาเดียวกัน ก๊าซสีเขียวเข้มเริ่มผุดออกจากร่างกาย มีการต่อต้านเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็หายไปโดยสมบูรณ์
กลับมายังวังที่คล้ายกับถิ่นพำนักของคนยักษ์ ไคลน์ทบทวนสภาพปัจจุบันของร่างวิญญาณอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบความผิดปรกติใด ปราศจากก๊าซสีเขียวเข้ม ปราศจากขนนกสีขาว
ฟู่ว… ได้ผล… ชายหนุ่มหายใจออก รีบส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริงอีกครั้ง
ท่ามกลางแสงสว่างจากตะกอนพลังของนักบวชแสง ไคลน์พบว่าปุยขนสีขาวที่หลังมือยังอยู่ แต่สูญเสียความสามารถในการงอกเงย ตามร่างกายยังมีอีกหลายจุดที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
รอมิสเตอร์อะซิกมาหาก่อนก็แล้วกัน เขาคงมีวิธีแก้ไข… ไคลน์ถอนหายใจโล่งอก วาดจันทร์แดงเข้มในใจ สวดวิงวอนขอพรต่อเทพธิดา ให้มิสเตอร์อะซิกรีบมารับโดยเร็ว
ทันใดนั้น ร่างของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์ปรากฏขึ้นตรงหน้าชายหนุ่ม
ผู้ส่งสารสาวสวยมีสามศีรษะอยู่บนคอ ส่วนอีกหนึ่งศีรษะยังคงใช้มือหิ้ว เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ คล้ายกับเธอดูมีชีวิตชีวากว่าปรกติเล็กน้อย
หญิงสาวยื่นฝ่ามือซ้ายที่ไม่ได้ถืออะไร จับไหล่ไคลน์ พาเข้าไปในโลกวิญญาณและทำหน้าที่รถรับส่ง
ท่ามกลางริ้วแสงสีสันฉูดฉาด ไคลน์วิงเวียนศีรษะเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่โลกความจริง พบว่าตนอยู่บนก้อนหินใหญ่
ศีรษะทั้งสี่ของไรเน็ตต์·ไทน์เคอร์กวาดตาไปรอบตัว
“ปลอดภัย…” “แล้ว…” “อย่าลืม…” “จ่ายเงิน…”
กล่าวจบ เธอรีบหายตัวไปราวกับมีเริ่มสำคัญต้องทำ
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ… ถ้ารู้แต่แรก เราคงบอกให้เธอพาออกจากจุดเกิดเหตุแทนสัตว์ทะเล… แต่พิจารณาจากเมื่อครู่ สภาพปัจจุบันของเธอก็ไม่สู้ดีนัก คงเป็นร่างที่จะไม่ใช้ถ้าไม่จำเป็น… ไคลน์ถอนหายใจพลางเก็บตะกอนพลังของนักบวชแดงไว้ในกระเป๋า ส่วน ‘การเดินทางของกรอซาย’ ยังคงถือไว้กับมือ
หลังจากมองไปรอบตัวและพยายามยืนยันตำแหน่งปัจจุบัน ฝ่ามือลึกลับอีกข้างหนึ่งโผล่ออกจากความว่างเปล่าและจับไหล่ชายหนุ่ม
ไคลน์พลันผงะ รีบมองย้อนกลับไป พบว่าเป็นมิสเตอร์อะซิก
อะซิกจับไหล่และพาเข้าสู่โลกวิญญาณทันที เคลื่อนที่ผ่านแนวริ้วแสงสีสันฉูดฉาดอย่างรวดเร็ว
อันที่จริง… ผมปลอดภัยแล้วครับ… มุมปากไคลน์เริ่มกระตุก แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำใดออกไป
……………………………………