ตอนที่ 4-2 ความสัมพันธ์ที่ไม่คุ้นเคย
รุ่นพี่อีกงชำเลืองมองซูฮยอนที่ตอบเสียงแข็ง ก่อนจะหันกลับมามองฉันอีกรอบ ฉันรีบก้มหน้าเพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าหน้ากลายเป็นสีแดงระเรื่อ แต่รุ่นพี่กลับไม่สนใจฉันที่ทำท่าทางแบบนั้น แถมยังเอาคางและมือมาวางลงบนหัวของฉันที่ซูฮยอนเพิ่งลูบไปเมื่อสักครู่อีกด้วย
ฝ่ามือที่ทำให้รู้สึกดีนั่น ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฉันคงจะว่าซูฮยอนไม่ได้แล้วล่ะ เพราะฉันเองก็เหมือนจะยังเป็นเด็กที่ไม่โตเช่นกัน
“รีบกลับไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ถ้าสายล่ะก็ โดนแน่”
“อ๋า ค่ะ! ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“คุณรุ่นน้องของพี่นี่ช่างเชื่อฟังดีจริงๆ”
ฉันรู้สึกเสียดายที่รุ่นพี่ผละมือออกทันทีเหมือนเขากลัวว่าซูฮยอนจะสงสัย ฉันเลยหันไปแอบมองรุ่นพี่ แล้วก็ได้เห็นใบหน้าแดงก่ำของรุ่นพี่ที่กำลังยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าของรุ่นพี่ที่โดนแสงอาทิตย์ยามพลบค่ำอย่างกับดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายในตัวเอง ฉันได้แต่มองดูอย่างเหม่อลอย แต่แล้วจู่ๆ รุ่นพี่ก็ยืนขึ้น
“งั้นไปก่อนนะ”
“เอ่อ ค่ะ! กลับดีๆ นะคะ”
“พรุ่งนี้เจอกัน กยอมกยอม”
รุ่นพี่อีกงยิ้มพร้อมกับขยิบตาข้างหนึ่ง เรียกชื่อที่ไม่คาดคิดออกมาจากปาก กยอมกยอม ชื่อเล่นของฉันที่เซจินเรียกเป็นบางครั้งเมื่อตอนเด็กๆ
ฉันจ้องมองรุ่นพี่ด้วยแววตาตกใจ แต่รุ่นพี่ไม่ได้หันกลับมามองฉัน เขาหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายบนไหล่แล้วรีบวิ่งผ่านสนามกีฬาไป
ฉันมองแผ่นหลังนั่นไกลออกไป แต่อยู่ดีๆ ซูฮยอนก็เอามือมาวางลงบนไหล่ของฉัน ฉันได้แต่ทำหน้าตกใจพลางหันกลับไปมองเขา ซูฮยอนกำลังทำสีหน้าราวกับเด็กซุกซน สีหน้าไม่คุ้นเคย ไม่น่าเชื่อว่าเขาทำสีหน้าแบบนี้ออกมา และจ้องมองมาที่ฉัน
“สองคนคบกันอยู่งั้นเหรอ”
“เอ๋ ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างนั้น! ฉันจะไป…!”
ฉันโบกไม้โบกมือเพื่อปฏิเสธ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกอายกับท่าทางแบบนั้นขึ้นมา สุดท้ายฉันก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วปิดปากเงียบ ได้แต่เก็บงำคำพูดที่ไม่กล้าเอ่ยออกไปไว้ในปาก
คนอย่างฉันเนี่ยนะ จะไป… กับรุ่นพี่อีกง
ซูฮยอนมองมาที่ฉันอย่างนิ่งๆ ก่อนจะยักไหล่พลางพึมพำลอยๆ ขึ้นมา
“ก็รุ่นพี่ดูจะเอาใจใส่เธอมากเลยนี่นา”
“…เอ๋”
“ก็ ถ้าไม่ใช่ก็แล้วไป งั้นฉันกลับเข้าไปดีกว่า”
ซูฮยอนยังคงยิ้มอย่างกับเด็กซุกซน เขามองมาที่ฉันพลางกลอกตาไปมา ซึ่งเป็นท่าทางที่ดูไม่สมกับเป็นตัวเขาเอาซะเลย ก่อนจะโบกมือลาสั้นๆ แล้วหายตัวเข้าไปในโรงเรียนเฉกเช่นสายลม
ฉันที่เหลืออยู่ตัวคนเดียว ถอนหายใจพลางเคลื่อนสายตาไปทางสนามกีฬา รุ่นพี่ได้หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว ฉันนั่งลงบนม้านั่งอีกครั้ง แล้วค่อยๆ ลูบหัวของตัวเองตรงที่รุ่นพี่สัมผัส แล้วอยู่ๆ ฉันก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
รุ่นพี่อีกงที่ดูแลเอาใจใส่รุ่นน้องที่ดูน่าเป็นห่วงและดูไม่มั่นคงคนนี้ รุ่นพี่อีกงที่มีน้ำใจจนเกินเหตุ รุ่นพี่อีกงที่ใจดีจนเป็นเรื่องปกติ
ฉันสะบัดหัวอย่างสุดแรงเพื่อจะสลัดความคิดอันยุ่งเหยิงทิ้งไป ดวงอาทิตย์ที่เคยลอยอยู่บนท้องฟ้าเริ่มไกลออกไปได้สักพักโดยไม่ทันรู้สึกตัว พอมองดูนาฬิกา เข็มสั้นผ่านเลขเจ็ดไปสักพักใหญ่ๆ แล้ว
“โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว”
ฉันนอนทิ้งตัวลงบนม้านั่ง แล้วค่อยๆ หลับตาที่กำลังจ้องมองท้องฟ้าอันมืดมิด และรับรู้ถึงยามพลบค่ำผ่านทางเปลือกตา
* * *
ท้องฟ้าอันแจ่มใส มีก้อนเมฆกลมๆ ลอยอยู่บ้าง แต่ถึงอากาศจะดีออกขนาดนั้นแต่ใบหน้าของฉันกลับบวมเป่งตั้งแต่เช้า ทั้งหมดเป็นเพราะมัวแต่ดูดีวีดี Le Corsaire จนดึกดื่นเมื่อคืน เลยไม่ได้นอน
“เฮ้อ”
เข็มของนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพงหมุนอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความปรานี แม้ฉันจะเอาผ้าเช็ดหน้าเย็นๆ ทาบหน้าสักพัก แต่รอยบวมก็ไม่ได้ลดลงไปเลยสักนิด
ฉันนั่งลงบนเตียงด้วยใบหน้าที่บวมเป่ง หลังจากที่สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ ฉันก็สวมชุดนักเรียน แล้วเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น คุณป้าหัวเราะ ก่อนจะพูดคำๆ หนึ่งออกมา
“เดี๋ยวนี้หลานต้องไปโรงเรียนเช้ามากเลยงั้นเหรอ”
“ก็หนูมีซ้อมเช้านี่คะ”
“แต่ป้าว่าหลานออกจากบ้านเร็วกว่าเดิมเสียอีกนะ”
เป็นเพราะหมู่นี้ฉันไปโรงเรียนกับรุ่นพี่อีกงทุกวัน แม้จะเป็นวันที่ไม่มีซ้อม ฉันก็ยังตื่นเช้าตามรุ่นพี่ที่ไปโรงเรียนแต่เช้า คุณป้าจ้องมองใบหน้าของฉันที่เผลอยิ้มแป้นออกมาอย่างไม่วางตา ท่านยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ พร้อมกับถามคำถามขึ้น
“หรือว่าช่วงนี้มีแฟนแล้ว”
“เปล่าค่ะ จะเป็นไปได้ไงล่ะคะ!”
ฉันที่โบกมือปฏิเสธพลางตะโกนออกมา รีบสวมรองเท้ากีฬาแล้ววิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อซ่อนใบหน้าที่จู่ๆ ก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
ด้วยความกลัวว่าจะทำให้รุ่นพี่รอหรือเปล่า ฉันจึงรีบจ้ำอ้าวผ่านซอยไป เสียงเพลงของกัลแนร์ดังมาจากหูฟังที่เสียบอยู่ที่หู ฉันจึงลองยืดขาออกช้าๆ ให้เข้ากับจังหวะ
“แอดทิทูท[1]”
รุ่นพี่ที่เคยเห็นท่าแอดทิทูทของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เคยชมฉันว่ามันเป็นการวางท่าที่ยอดเยี่ยมมาก สวยมาก พอนึกถึงใบหน้าของรุ่นพี่ที่พูดแบบนั้นพลางยิ้มเล็กๆ ใจของฉันก็เริ่มเต้นรัว
ฉันเอาหลังมือกดลงบนใบหน้าที่ร้อนวาบขึ้นมาเพื่อทำให้มันเย็นลง ก่อนจะเริ่มต้นวิ่งไปทางสถานที่นัดหมาย กระเป๋าที่สะพายอยู่ที่ไหล่แกว่งไปมาอยู่บนหลังของฉันตามจังหวะการก้าวเดินอย่างรีบร้อน
หลังออกจากซอยสุดท้ายที่นำไปสู่ถนนเส้นที่มีป้ายรถเมล์ ระหว่างข้ามทางรถไฟ ฉันก็เห็นนักเรียนหญิงในชุดนักเรียนของโรงเรียนเรากำลังยืนหันหลังอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ยังไม่มีคนเดินผ่านไปมาในตอนเช้าตรู่
ม้านั่งเล็กๆ ตรงป้ายรถเมล์ที่ฉันเจอกับรุ่นพี่ทุกเช้าถูกวางชิดกันอยู่ โดยปกติแล้ว พวกนักเรียนโรงเรียนเรามักจะมานั่งอยู่ที่ม้านั่งนั้นเพื่อรอรถเมล์ไปโรงเรียน
ฉันหยุดอยู่ข้างหน้าทางข้ามรถไฟครู่หนึ่ง แล้วจ้องมองด้านหลังของนักเรียนหญิงคนนั้นอย่างผ่านๆ แต่แล้วก็กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ฉันจึงหรี่ตาลงแล้วตั้งใจมองดีๆ ชั่วขณะที่ฉันจ้องเขม็งไปทางนั้น ลมหายใจก็เหมือนจะติดขัดขึ้นมา
คนที่กำลังยืนหันหน้าให้นักเรียนหญิงที่หันหลังให้อยู่นั้น คือรุ่นพี่อีกงไม่ผิดแน่ ฉันค่อยๆ ดึงหูฟังออกจากหูช้าๆ พลางพึมพำด้วยน้ำเสียงตกใจ
“…รุ่นพี่โซยอนงั้นเหรอ”
ด้านหลังของรุ่นพี่โซยอนที่มักจะรวบเอาไว้แน่นสยายยาวลงมากลางหลังนั้น ดูเกร็งอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะแบบนั้นเลยยิ่งทำให้ตัวที่ดูผอมบางเหมือนจะปูดโปนหนักขึ้นไปอีก รูปร่างเพรียวบางที่เหมือนจะล้มลงไปซะเดี๋ยวนั้น ภาพของรุ่นพี่โซยอนที่ก้มหน้าลง พลางเอามือเล็กๆ นวดคลึงหัวให้ความรู้สึกแปลกๆ จนทำให้ฉันต้องรีบร้อนเดินข้ามทางข้ามรถไฟไปทางนั้น
ฉันอดไม่ได้ที่จะจ้องมองทั้งสองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปหน่อย ในใจมันเต้นตึกตักอย่างไม่มีสาเหตุ และก็รู้สึกมวลท้องน้อยไปหมด
รุ่นพี่อีกงใช้มือพัดเหมือนจะไล่ความร้อน พลางเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ ฉันเลยเผลอมองดูนาฬิกาตามไปด้วย สถานการณ์ในตอนนี้ คือเหลือเวลาอีกประมาณสิบนาทีก่อนจะถึงเวลานัดหมาย
“เอ่อ โซยอน คือฉันนัดใครบางคนไว้ที่นี่น่ะ”
“…”
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
อาจเพราะยังเป็นเวลาเช้าอยู่ เลยยังไม่มีรถสัญจรไปมา ฉะนั้น แม้ว่าจะยืนอยู่ค่อนข้างห่างไกลกัน แต่ฉันก็ยังได้ยินเสียงของรุ่นพี่ รุ่นพี่ยังคงเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมืออย่างต่อเนื่องด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ ก่อนจะเร่งเร้ารุ่นพี่โซยอนด้วยคำพูดที่เย็นชาไม่สมกับที่เป็นตัวเอง ต่อจากนั้นรุ่นพี่โซยอนที่ลังเลอยู่สักพักจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ฉันค่อยๆ เอามือกดลงที่หน้าอกที่เต้นรัวเกินเหตุมาตั้งแต่เมื่อครู่ ขณะเดียวกันก็ก้าวเดินไปทางทั้งสองคนนั้นอย่างระมัดระวัง แต่ก่อนที่ฉันเกือบจะข้ามทางข้ามรถไฟมาจนเรียบร้อย ฉันก็ต้องรีบร้อนซ่อนตัวอีกครั้ง
“ฉันชอบรุ่นพี่ค่ะ!”
หัวใจเต้นตึกตัก ไม่สิ มันเต้นเสียงดังโครมครามอย่างกับจะหลุดออกมา ฉันซ่อนตัวอยู่ข้างหลังต้นไม้อย่างเงอะงะ พร้อมกับทรุดฮวบลงไปนั่งเหมือนกับคนที่เข่าอ่อน
ชอบ คำที่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยมันออกมาจากปาก
ฉันใช้หลังมือปิดริมฝีปากที่แห้งผากซึ่งเกือบจะเผลอถอนหายใจยาวออกมา พร้อมกับจ้องมองปฏิกิริยาของรุ่นพี่อย่างตั้งอกตั้งใจ รุ่นพี่อีกงไม่พูดอะไรอยู่นานมาก เห็นได้ชัดว่ารุ่นพี่ที่ยืนเกาหัวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน กำลังกัดริมฝีปากล่าง พลางส่ายหัว
“ขอโทษนะคะ ที่จู่ๆ ก็พูดแบบนี้ออกมา”
อ่า ฉันอุทานออกมาสั้นๆ รุ่นพี่โซยอนกำลังร้องไห้อยู่ ไหล่บางๆ นั่นกำลังสั่นเครือจนแม้แต่ฉันก็ยังมองเห็น
มือของรุ่นพี่ที่ปล่อยเคว้งอยู่กลางอากาศอย่างไม่มีที่ไปค่อยๆ เอื้อมไปจับไหล่ของรุ่นพี่โซยอนที่กำลังสั่นอยู่ วินาทีที่ริมฝีปากของรุ่นพี่อีกงที่เคยเม้มแน่นเริ่มขยับเหมือนจะพูดอะไรออกมา ฉันก็กลืนน้ำลายพลางหลับตาลง
“ขอโทษนะ โซยอน”
“…”
“ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ”
ขอโทษจริงๆ นะ รุ่นพี่อีกงพึมพำต่อ แล้วจึงแสยะยิ้มที่ดูแล้วแปลกพิลึกออกมา ภาพด้านหลังของรุ่นพี่โซยอนที่ก้มหน้าลงเหมือนคนที่ทำความผิดอะไรมาสักอย่างนั่น ดูแล้วน่าเป็นห่วงจนแม้แต่ใจของฉันก็ยังรู้สึกเหมือนถูกทิ่มแทงไปด้วย
‘มีคนที่ชอบอยู่แล้ว’
เสียงของรุ่นพี่อีกงยังคงวนเวียนอยู่ในหูของฉัน เฮ้อ รุ่นพี่มีคนที่ชอบอยู่แล้วเหรอเนี่ย หรือจะเป็นเซจินกันนะ ตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงภาพยนตร์ได้ผุดขึ้นมาในหัว หรืออาจจะเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ สักคนที่ฉันไม่รู้จักก็ได้ ก็รุ่นพี่น่ะ ทั้งมีชื่อเสียง แล้วก็หน้าตาดีด้วยนี่นา
เมื่อฉันคิดมาจนถึงตรงนี้ ความรู้สึกที่จมดิ่งลงไปอย่างไม่มีจุดสิ้นสุดก็ยิ่งถูกดูดเข้าไปสู่ทะเลที่ลึกสุดใจ
ฉันที่ตะเกียกตะกายอยู่ในนั้น จู่ๆ ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานก็แวบขึ้นมา ไฟถนนที่กะพริบอย่างน่ากลัว การเต้นของรุ่นพี่ที่เปล่งประกาย และไฟเย็นที่ตกลงมาที่หลังเท้าของฉัน อาการเจ็บแสบที่กลายมาเป็นสว่านแหลมคมคอยทิ่มแทงหัวใจของฉัน อ่า จิตใจของฉันโดนดอกไม้ไฟเล็กๆ นั่นลวกเข้าแล้วจริงๆ หรือเปล่านะ
“ไม่เป็นไรค่ะ อย่าไปใส่ใจเลย จริงๆ นะคะ”
“…”
“แต่พวกเรายังคงสนิทกันเหมือนตอนนี้เหมือนเดิมใช่ไหมคะ”
เสียงของรุ่นพี่โซยอนที่กำลังร้องไห้ แม้ว่ารุ่นพี่อีกงจะทำสีหน้าลำบากใจ แต่เขาก็พยักหน้ารับทันที เพราะรุ่นพี่เป็นคนอ่อนโยน เขาจึงไม่กล้าที่จะทำเป็นไม่สนใจรุ่นพี่โซยอนได้
ถ้าฉันสารภาพออกไปว่าชอบรุ่นพี่ เขาจะยังคงปฏิบัติตัวกับฉันเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ ไม่สิ ฉันคงจะไม่กล้าสู้หน้ารุ่นพี่อีกเลย
เสียงของฉันจมดิ่งลงไปสู่ปลายสุดของลำคอ ก่อนจะพึมพำคำนั้นที่วนเวียนอยู่ที่ริมฝีปากของฉันอยู่ทุกวินาทีซ้ำๆ
“ฉันชอบรุ่นพี่ค่ะ”
ฉันชอบรุ่นพี่จริงๆ นะคะ
“ขอโทษจริงๆ โซยอน”
ฉันชอบรุ่นพี่อีกงมากเหลือเกิน
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอให้รุ่นพี่ได้คบกับคนที่ชอบนะคะ”
ได้โปรดชอบฉันด้วยเถอะนะคะ
ฉันจ้องเขม็งไปทางรุ่นพี่อีกงที่พยักหน้าพลางยิ้มบางๆ และรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลง น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวจนระเบิดออกมานั้นช่างเย็นเฉียบ อากาศในวันนี้ดีเสียจนหน้าโมโหจริงๆ
* * *
นอกจากจะมาสายกว่าเวลานัดแล้ว ฉันยังปรากฎตัวพร้อมกับตาบวมแดงที่เหมือนจะโฆษณาให้รู้ว่า ‘เพิ่งร้องไห้มาจนถึงเมื่อกี้’ แต่รุ่นพี่กลับยิ้มให้ฉันอย่างหมดแรง และไม่ได้ถามอะไร
ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ร้องไห้ออกมาขนาดนั้น รุ่นพี่จ้องหน้าฉันที่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีด้วยความรู้สึกอายและความรู้สึกผิดอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาแค่คำเดียวว่า ไปกันเถอะ
เหมือนว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาอีก ฉันจึงกัดริมฝีปากไว้แน่น ทั้งที่อากาศดีขนาดนี้แท้ๆ แต่หัวใจของฉันที่ดำดิ่งลงสู่ก้นทะเลลึกก็ยังคงไม่ดีขึ้นเลย
“ฮวีกยอม”
ความเงียบที่ต่อเนื่องมาสักระยะถูกทำลายลงไป ชื่อของฉันที่รุ่นพี่เรียก ฟังแล้วไม่คุ้นเคยแปลกๆ ฉันไม่กล้าจ้องหน้ารุ่นพี่กลับไปได้จึงได้แต่พยักหน้าตอบกลับไปแทน
“คือว่า…”
เสียงของรุ่นพี่ที่เหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างขาดหายไปในตอนท้ายของประโยค อากาศเริ่มหนักอึ้ง ความเงียบงัน ฉันกลืนน้ำลายพร้อมกับรวบรวมความกล้าแล้วจ้องหน้ารุ่นพี่กลับช้าๆ ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่ถูกกัดแรงจนเลือดไหลออกมาเป็นสีแดงนั่น มันเหมือนกับใบหน้าของฉันตอนนี้
[1] Attitude คือการที่ยืนอยู่บนขาข้างหนึ่ง(ขาที่รับน้ำหนัก)ระหว่างที่ขาอีกข้างยกขึ้นและงอเข่าพองามโดยขานี้สามารถอยู่ด้านหน้า ข้างหลัง หรือด้านข้างได้