ตอนที่ 5-1 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

จังหวะรัก นักบัลเลต์

ตอนที่ 5-1 กลิ่นแตงโมบนริมฝีปาก

 

 

 

 

อากาศที่เคยดีนั้นราวกับเรื่องโกหก ฝนที่เริ่มตกลงมาตั้งแต่หัวค่ำดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด ภายใต้สัมผัสที่ไม่สบายตัวจากอากาศเหนียวเหนอะที่ปะปนกับความชื้น พวกเด็กๆ ต่างพากันตากเสื้อผ้าเปียกๆ เอาไว้บนโต๊ะหนังสือ 

 

 

เพื่อที่จะหนีให้พ้นจากบรรยากาศอันเฉื่อยชานั้น ฉัน เซจิน และอีเซจึงมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของโรงเรียนที่ปกติแล้วไม่เคยย่างกรายเข้าไป 

 

 

เป็นเพราะหยดน้ำฝนที่ตกลงมา ทำให้ชุดนักเรียกเปียกเป็นรอยด่าง พอแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็พบว่าท้องฟ้าสีเหมือนเม็ดทรายอ่อนๆ ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆจนไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ พอได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้ทีไร ฉันก็จะรู้สึกหดหู่มากๆ ทุกที 

 

 

“ทำอะไรน่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน” 

 

 

“อ่อ ไปแล้วๆ” 

 

 

ภายในร้านค้าที่ฉันรีบเดินเข้าไปตามการเร่งเร้าของเซจินนั้น มีผู้คนมากมายทานของว่างอยู่ เซจินบอกว่าต้องควบคุมน้ำหนัก จึงซื้อเพียงแค่เครื่องดืมมาวางไว้ตรงหน้า ต่างจากอีเซที่ซื้อมาแม้กระทั่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาถูตะเกียบไม้อย่างสบายใจ พลางขยับปากด้วยความเบิกบานใจ 

 

 

“กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนนี่มันโชคดีชะมัด” 

 

 

เซจินทำปากจู๋ พร้อมทั้งเหลือบมองอีเซที่กำลังเปิดฝาถ้วยบะหมี่ออกด้วยสีหน้าไม่พอใจ แล้วจึงบ่นออกมายกใหญ่ ฉันหัวเราะเบาๆ พลางแกะซองขนมปังที่กำลังถืออยู่ ฉันล้วงเอาสติกเกอร์ออกมาเหมือนที่ทำเป็นประจำ แล้วก็ไม่ได้อะไรอีกเช่นเคย หรือว่านั่นจะเป็นเวทมนตร์ของรุ่นพี่จริงๆ งั้นเหรอ 

 

 

ฉันลองควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้ออย่างเบามือ สติกเกอร์ที่รุ่นพี่แปะให้ยังคงลงเหลือสัมผัสเอาไว้ที่ปลายนิ้ว 

 

 

“…นี่ คิมฮวีกยอม!” 

 

 

“อ๋อ อื้อ” 

 

 

“หมู่นี่ทำไมเธอเป็นแบบนี้ตลอดเลยนะ เอาแต่เหม่อลอย เรียกไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วก็ยังไม่ได้ยินเนี่ย” 

 

 

“อ่า โทษที คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ” 

 

 

ฉันจับใบหูที่รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ แล้วยิ้มแห้งๆ ออกมา ประจวบเหมาะกับที่ไอร้อนพุ่งขึ้นมาจากถ้วยบะหมี่พอดี ทันทีที่อีเซคีบมันเข้าปาก เซจินก็ทำท่าละล้าละลังพร้อมกับสีหน้าบูดบึ้งเหมือนกับกำลังไม่พอใจพลางกระดกเครื่องดื่มลงคอ 

 

 

“อ้า กลิ่นสุดยอดไปเลยเนอะ คิมเซจิน” 

 

 

“นี่ นี่มันทรมานกันชัดๆ ฉันบอกว่าฉันต้องงดคาร์โบไฮเดรตสักระยะไงล่ะ” 

 

 

“อยากนิดๆ ล่ะสิ อิจฉาใช่ไหม อิจฉาล่ะสิ” 

 

 

“หน็อย นายนี่มัน!” 

 

 

เซจินที่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวจึงชูกำปั้นขึ้นพร้อมกับคำรามออกมา แต่อีเซกลับแลบลิ้น แล้วแกล้งทำเป็นยกบะหมี่ขึ้น พร้อมทั้งเป่าฟู่ๆ ไปทางเซจิน ฉันหลุดขำออกมาเมื่อได้เห็นทั้งสองคนทะเลาะกัน 

 

 

เมื่อพูดถึงนักเรียนหญิงแผนกเต้นแล้ว เด็กที่อ่อนโยนแต่ก็แข็งแกร่งอย่างเซจินนั้น ถือว่าหาได้ยาก เพราะด้วยลักษณะพิเศษของศิลปะที่เรียกว่าการเต้น เลยทำให้คนส่วนใหญ่เป็นพวกเย็นชาและเงียบๆ แต่ก็นะ แม้ว่ามันจะเป็นแค่อคติประเภทหนึ่ง มันก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับรุ่นพี่โซยอนนั่นแหละ  

 

 

พอฉันคิดมาจนถึงตรงนี้ มันก็ทำให้ฉันนึกถึงท่วงท่าที่สง่างามและรูปร่างระหงของรุ่นพี่โซยอนที่แสดงเป็นเมโดรา ตั้งแต่รูปร่างไร้ที่ติดใดๆ กับใบหน้าที่ใสซื่อหมดจด ไปจนถึงภาพลักษณ์ที่ดูบอบบาง นี่คือลักษณะเฉพาะของบัลเลรินาที่คนทั่วไปจะสามารถนึกถึงได้ 

 

 

แล้วพอฉันคิดถึงรุ่นพี่โซยอน ก็พลอยทำให้นึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาด้วย อยู่ๆ ภายในปากของฉันก็รู้สึกสากๆ 

 

 

“Le Cosaire เป็นไปด้วยดีไหม” 

 

 

“ก็นะ เหลือแค่ฉันพยายามให้เต็มที่ก็พอแล้วล่ะ” 

 

 

“รุ่นพี่ตั้งเยอะ คงจะเครียดน่าดูเลยสินะ” 

 

 

ฉันยิ้มแห้งๆ พลางกัดขนมปังที่ถืออยู่ในมือเข้าปาก 

 

 

“ไม่หรอก ทุกคนใจดีกับฉันมากเลยล่ะ แล้วคนก็น้อยด้วย” 

 

 

“นั่นสินะ ส่วนทีมพวกเรามีแต่นักเรียนปีหนึ่งก็เลยเสียงดังเอะอะโวยวายกันใหญ่ ไม่มีสมาธิเลยสักนิด” 

 

 

“นี่เธอคืนดีกับซูฮยอนแล้วหรือยัง” 

 

 

ฉันถามออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เซจินที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อยกลับนิ่งเงียบ 

 

 

“อย่าให้พูด ตอนนี้กลายเป็นสงครามเย็นของจริงไปแล้วล่ะ ซ้อมปาเดอเดอก็ยังไม่ยอมซ้อมกันเลย” 

 

 

เซจินปรายตามองอย่างต่อว่าไปยังอีเซที่กำลังฟ้องฉันด้วยการกระซิบกระซาบ แล้วทันใดนั้น เธอก็หยิบถ้วยบะหมี่ขึ้นมาพร้อมกับดื่มน้ำซุปลงคอไปโดยไม่เป่าเลยสักนิด 

 

 

“นี่ นั่นมันโซเดียมทั้งก้อนเลยนะนั่นน่ะ ไหนบอกว่าจะไม่แตะคาร์โบไฮเดรตไง แล้วดื่มนั่นเข้าไปได้ยังไง” 

 

 

เมื่อฉันจับแขนเซจินด้วยสีหน้าตกใจ เซจินที่เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก็เริ่มพูดจาว่าร้ายซูฮยอนอีกครั้ง 

 

 

“ไอ้หมอนั่นเป็นบ้าอะไรกันแน่ ไอ้เจ้าคนประหลาด เป็นผู้ชายอกสามศอก แต่กลับขี้งอน ใจแคบ ไม่ยอมพูดยอมจาเนี่ยนะ หมอนั่นมันเฮงซวยจริงๆ” 

 

 

“ดูสิดู ก็เป็นซะแบบเนี่ย ฮวีกยอม ช่วยหยุดยัยนี่ทีเถอะ” 

 

 

“ฉันพูดอะไรผิดงั้นเหรอ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่มีทางคืนดีด้วยหรอก คืนดีงั้นเหรอ เรื่องบ้าอะไรกัน” 

 

 

“…นี่เธอไม่รู้สึกผิดกับเขาบ้างเลยเหรอ” 

 

 

อีเซถอนหายใจอย่างเอือมระอา ส่วนฉันก็ตบลงเบาๆ ที่บ่าของเซจิน พลางถามเหมือนเป็นการเกลี้ยกล่อม มันเป็นเรื่องจริงนะที่เธอพูดแรงเกินไปน่ะ พอฉันพูดคำนั้นเสริมเข้าไป เซจินก็ปิดปากเงียบ พร้อมกับเบ้ปาก 

 

 

ว่าแต่ ซูฮยอนเองก็สุดยอดเหมือนกันแฮะ ไหนบอกว่าชอบ ไอ้เราก็คิดว่าจะเป็นฝ่ายมาขอคืนดีก่อนซะอีก ไม่สิ เขาไม่น่าจะทำท่าทางเย็นชาแบบนั้นใส่เซจินได้ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ  

 

 

เพราะเอาแต่คิดไปมาเกี่ยวกับความคิดข้างในที่ไม่อาจรู้ได้ของซูฮยอน ฉันเลยกัดขนมปังเข้าไปเต็มปาก แล้วในตอนที่ค่อยๆ เคี้ยวอยู่สักพัก จู่ๆ ความรู้สึกเย็นวาบก็แตะลงบนใบหน้า 

 

 

“ฮวีกยอมนี่ไม่พ้นขนมปังอีกแล้วสินะ” 

 

 

“รุ่นพี่อีกง!” 

 

 

เซจินเรียกชื่อของรุ่นพี่ด้วยน้ำเสียงกังวาน พร้อมกับดีดตัวลุกออกจากที่นั่ง หน้าตาน่ากลัวที่เหมือนจะกลืนซูฮยอนเข้าไปทั้งตัวจนถึงเมื่อกี้หายไปไหนแล้วนะ กลายมาเป็นใบหน้าอิ่มเอิบที่อมเลือดฝาดหน่อยๆ พร้อมกับยิ้มแฉ่งที่ดูน่ารักแทน  

 

 

พออีเซส่งเสียงทัก พร้อมกับโบกมือ รุ่นพี่ก็ตอบรับการทักทายด้วยสายตาเบาๆ พร้อมกับวางนมที่ถือมาลงตรงหน้าฉัน อ้า นมรสสตรอว์เบอร์รีนี่ 

 

 

“ขอพี่นั่งตรงนี้ด้วยได้ไหม” 

 

 

“แน่นอนสิคะ รุ่นพี่มาทำอะไรที่ร้านค้างั้นเหรอคะ” 

 

 

“ก็จะมาพาตัวกัลแนร์ของพวกพี่ไปน่ะสิ” 

 

 

รุ่นพี่นั่งลงข้างๆ ฉัน พลางลูบหัวฉันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันที่เกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าตัวเองสายแล้วงั้นเหรอจึงชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือ นี่มันยังเหลือเวลาอีกตั้งสามสิบนาทีเลยนะ 

 

 

“รีบกินเร็วเข้าสิ รุ่นพี่รออยู่นะ” 

 

 

เป็นเพราะเซจินเอาข้อศอกมากระทุ้งเข้าที่สีข้างเพื่อเป็นการเร่ง ฉันเลยเผลอยัดขนมปังที่เหลือใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับรีบยืนขึ้น แต่นมรสสตรอว์เบอร์รีที่รุ่นพี่เอามาวางไว้ตรงหน้าของฉันยังคงถูกทิ้งอยู่บนโต๊ะ 

 

 

ทำอย่างไรดีนะ รุ่นพี่เอามาให้ฉันหรือเปล่า ถ้าเกิดไม่ใช่มันจะต้องน่าขายหน้ามากแน่เลย ฉันจึงมองไปที่ตาของรุ่นพี่ ซึ่งเป็นตอนเดียวกับที่รุ่นพี่หันกลับมาสบตากับฉันพอดี ในตอนที่ฉันคิดสงสัยว่าดวงตานั้นที่เหมือนกับเม็ดหมากล้อมสีดำสนิทไร้ก้นบึ้งกำลังสั่นไหวอยู่หรือเปล่า อยู่ดีๆ รุ่นพี่ก็หยิบนมรสสตรอว์เบอร์รีที่วางอยู่ข้างหน้าฉันขึ้นมาเจาะหลอดอย่างไม่ลังเล แล้วยื่นมาข้างหน้าฉัน 

 

 

“รีบดื่ม แล้วไปกันเถอะ” 

 

 

ฉันรับมาถือไว้โดยไม่ทันรู้ตัว แล้วก็กลืนมันลงคอไป ในไม่ช้า ทันทีที่ฉันวางกล่องนมที่ว่างเปล่าลง รุ่นพี่ก็มาดึงมือฉันไป 

 

 

“งั้นพวกเราไปก่อนนะ! พวกเธอเองก็ตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ” 

 

 

“ค่ะ รุ่นพี่ สู้ๆ นะคะ!” 

 

 

เซจินยิ้มหน้าบาน พร้อมกับทำท่าสู้ๆ ส่วนฉันก็เริ่มหายใจหนักขึ้นจากการพยายามปรับก้าวเดินให้เข้ากับการเดินอย่างเนิบๆ ของรุ่นพี่ พวกเราเดินไปตามทางเดินแคบๆ ทะลุไปยังข้างหลังอาคารโรงเรียน หยาดฝนที่ยังคงตกลงมากระทบลงที่ไหล่ เสื้อบางๆ ของรุ่นพี่เองก็เริ่มจะกลายเป็นรอยด่างเพราะฝนนั้น 

 

 

“เอ่อ รุ่นพี่คะ!” 

 

 

“หือ” 

 

 

“พวกเรายังมีเวลาอีกตั้งเยอะนะคะ” 

 

 

“พี่รู้” 

 

 

“…” 

 

 

“แต่มีเรื่องที่พวกเราต้องทำด้วยกันแค่สองคนอยู่น่ะ” 

 

 

รุ่นพี่หันกลับมามองฉัน พลางยิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นคงส่งผลให้หัวใจของฉันเต้นรัวอีกครั้ง ฉันจึงได้แต่ยืนนิ่ง ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ทำได้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น รุ่นพี่ที่กุมมือฉันเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิมเริ่มเดินเร็วขึ้น นั่นเลยทำให้ฉันแทบจะต้องวิ่งอยู่แล้วเพื่อตามรุ่นพี่เข้าไปยังห้องซ้อมเต้นที่สาม 

 

 

รุ่นพี่แย่งกระเป๋าของฉันไป พร้อมกับผลักมันไปที่มุมห้อง ก่อนที่เขาจะหันกลับมาพร้อมกับจับหมับเข้าที่ไหล่ของฉัน ฉันได้แต่ตกใจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของรุ่นพี่ จึงกลั้นหายใจแล้วกลืนมันกลับลงคอไป พร้อมกับที่เงยหน้ามองไปยังรุ่นพี่ รุ่นพี่ยังคงทำสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย 

 

 

“ใส่เสื้อลีโอตาร์ดอยู่หรือเปล่า” 

 

 

“ค่ะ” 

 

 

“งั้นตอนนี้ก็ถอดชุดนักเรียนซะสิ” 

 

 

“…คะ” 

 

 

เสี้ยววินาทีนั้น ฉันรู้สึกตกใจเสียจนเกือบจะทรุดตัวลงไป ใบหน้าของฉันที่สะท้อนอยู่ในแววตาของรุ่นพี่ มันแดงขึ้นมาจนเหมือนกับจะระเบิดให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

รุ่นพี่ยังคงหัวเราะคิกคัก พลางจับกระโปรงตูตู[1]ที่ใส่ให้ฉัน พร้อมกับลองขยับไปมา ใบหน้าที่แดงเพราะความเขินเหมือนกับจะส่งผลให้ทั่วทั้งร่างกลายเป็นสีแดงไปด้วย ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองลงไปที่ศีรษะของรุ่นพี่ที่นั่งงอเข่าอยู่ข้างหน้าฉัน 

 

 

“เวอร์สุดๆ สีหน้าของเธอน่ะ” 

 

 

“รุ่นพี่คะ! อย่าล้อสิคะ จริงๆ เลย…” 

 

 

“โทษที แต่ก็มันน่ารักจริงๆ นี่นา” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่เต็มไปด้วยรอยบูดเบี้ยวเพราะกำลังพยายามอดกลั้นรอยยิ้มที่คอยแต่จะพุ่งออกมา ก่อนที่ในไม่ช้าเขาจะระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาอีกครั้ง ฉันที่ไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรดีจึงทำได้แค่เพียงยืนเลิ่กลั่กอยู่อย่างนั้น 

 

 

“ว่าแต่เจ้านี้น่ะ เอามาใส่เล่นตามใจชอบแบบนี้ได้เหรอคะ” 

 

 

“ก็ต้องมาวัดไซซ์นี่นา แล้วพี่เองก็อยากจะเห็นเป็นคนแรกด้วย” 

 

 

รุ่นพี่ยังเสริมด้วยคำว่า เหมาะมาก เข้าไปอีก พร้อมกับส่งยิ้มกว้างๆ มาที่ฉัน 

 

 

“ลองยกแขนขึ้นสิ” 

 

 

ฉันค่อยๆ ยกแขนขึ้น รุ่นพี่ที่เกี่ยวเสื้อซึ่งแยกออกจากกระโปรงตูตูด้วยเข็มกลัดพยายามลุกขึ้นทั้งที่ฉันยังลองชุดอยู่ แล้วจู่ๆ เขาก็คว้าเอวของฉันไว้  

 

 

สัมผัสที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันตกใจเสียจนเกือบจะหลุดสะอึกออกมา เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับว่ามีกระแสไฟฟ้าแล่นมาจากปลายเท้า โชคดีที่รุ่นพี่กำลังก้มหน้าอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะจับได้ว่าฉันเผลอทำสีหน้าประหลาดออกมา 

 

 

ฉันพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้เขาได้ยินเสียงของหัวใจที่เต้นรัวจนเหมือนกับจะระเบิด ส่วนรุ่นพี่ก็เงยหน้าขึ้นมานิ่งๆ ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามด้วยเสียงเบาๆ 

 

 

“กินข้าวเยอะๆ สิ ทำไมถึงได้ผอมขนาดนี้ล่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ถ้าเธอบอกว่าควบคุมน้ำหนักเลยอดข้าวล่ะก็ เธอได้โดนพี่ดุแน่ เกิดไม่มีเรี่ยวแรงขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ” 

 

 

สัมผัสของรุ่นพี่ยังคงหลงเหลืออยู่ แม้ว่ามือนั้นจะผละออกจากเอวของฉันไปแล้ว ฉันหยิบเสื้อนักเรียนที่ถอดวางไว้ขึ้นมาใส่อีกครั้งพลางนั่งลง ก้มตัวพร้อมกับยืดมือออกไปจนสุด แล้วก็ชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างๆ ของรุ่นพี่ที่กำลังเก็บกล่องเข็มกลัดเข้ากระเป๋า มันรู้สึกจั๊กจี้ไปทั่วทั้งร่างกาย หัวใจก็สั่นระรัว แม้แต่น้ำลายก็ยังกลืนลงไปได้อย่างยากลำบาก 

 

 

“ฮวีกยอม” 

 

 

“คะ” 

 

 

“เสาร์อาทิตย์นี้ทำอะไรงั้นเหรอ” 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] Tutu กระโปรงที่มีลักษณะฟูฟ่อง ส่วนใหญ่จะใช้ผ้าตาข่าย