ในสายตาของนักบ่มเพาะเช่นหลิงหยุนนั้นผืนดินแห่งนี้เปรียบเสมือนเส้นลมปราณมังกร ในขณะที่ในสายตาของผู้รู้เรื่องฮวงจุ้ยอย่างลึกซึ้งเช่นโม่วู๋เตานั้น ผืนดินแห่งนี้กลับเป็นหงส์ที่กำลังสยายปีกเคียงคู่มังกร มีแต่จะนำพาความเจริญรุ่งเรืองให้กับผู้ที่อยู่อาศัยอย่างไม่สิ้นสุด..
และแน่นอนว่า..หลิงหยุนย่อมต้องเลือกที่ดินผืนนี้ไว้สำหรับสร้างคฤหาสน์ตระกูลหลิงหลังใหม่อย่างแน่นอน!
เพราะไม่เเพียงสถานที่แห่งนี้จะมีฮวงจุ้ยที่ล้ำเลิศแต่หลิงหยุนยังสัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้มีปราณมังกรอยู่ค่อนข้างมาก และปราณมังกรที่ถูกปลดปล่อยจากผืนดินนี้ ก็ได้รวมตัวกันไหลไปในทางทิศใต้..
และในเมื่อผืนดินนี้เปรียบเสมือนเส้นลมปราณมังกรการได้พบเจอปราณมังกรจึงเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ปราณมังกรที่ปรากฏนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง และทรงพลังอย่างที่ไม่อาจพบเจอได้ง่ายๆ!
และตามความหมายในคำพูดของโม่วู๋เตาที่ว่า..ผืนดินนี้เสมือนหงส์สยายปีกเคียงคู่มังกรนั้น แท้จริงก็คือ..
จากตำแหน่งที่ทุกคนยืนอยู่ในเวลานี้หากมองไปทางทิศเหนือ ก็จะเห็นเทือกเขาเรียงรายกันเป็นแนวยาวซึ่งเปรียบเสมือนหัวของหงส์ ในขณะที่เทือกเขาซึ่งเรียงรายอยู่ทางทิศตะวันออก และตะวันตก ยาวจนจรดทิศใต้นั้น เปรียบเสมือนปีกทั้งสองข้างของมัน..
หากมองภาพจากมุมสูง..จะพบว่าเทือกเขาทั้งหมดที่อยู่ด้านล่างนั้น จะดูคล้ายกับหงส์ขนาดใหญ่มหึมา กำลังสยายปีกบินมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ของเมืองปักกิ่ง และภูเขาที่เชื่อมโยงกับน้ำก็เปรียบเสมือนเส้นเลือดมังกร หรือเส้นลมปราณมังกร
ทั้งหงส์และมังกรล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พูลสุขเปี่ยมไปด้วยความสำเร็จราบรื่น และความเจริญรุ่งเรือง! “หลิงหยุน..หลิงหยุน!”
หลังจากที่เห็นหลิงหยุนเอาแต่นิ่งไม่พูดไม่จาตั้งแต่ลงจากรถมาหลิงเฟิงจึงหยุดพูด และหันไปเรียกหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า
“หลิงหยุน..เจ้าเห็นว่าที่ดินผืนนี้เป็นเช่นใดบ้าง”
“ยอดเยี่ยม!ยอดเยี่ยมที่สุด! ลุงสองช่างสายตาแหลมคมนัก!”
หลังจากที่หายจากอาการตื่นเต้นหลิงหยุนก็พยักหน้า และตอบหลิงเฟิงกลับไปทันที และอดที่จะนึกชื่นชมหลิงเย่วไม่ได้..
หลิงเย่วนั้นเสมือนบุคคลล้ำค่าของตระกูลหลิงเลยก็ว่าได้..ไม่แน่ว่าหลิงเย่วอาจไม่มีความรู้เรื่องฮวงจุ้ย แต่ด้วยสายตาที่แหลมคม และความฉลาดหลักแหลมของหลิงเย่ว จึงทำให้เขาสามารถเลือกสถานที่ซึ่งมีฮวงจุ้ยล้ำเลิศเช่นนี้ได้!
หลิงหยุนไม่นึกแปลกใจที่หลิงเย่วดูเหมือนจะพยายามย้ำเรื่องที่ดินผืนนี้กับตนเอง..
“ไม่จำเป็นต้องไปดูที่อื่นอีกแล้ว..ข้าตัดสินใจเลือกที่นี่!”
หลิงหยุนกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้นจากนั้นจึงหันไปมองโม่วู๋เตาที่ยังคงเดินสำรวจดูไม่หยุด..
“ถูกต้อง..ไม่จำเป็นต้องไปดูที่อื่นอีกแล้ว ข้าเชื่อว่าคงจะไม่มีที่ใดอีกแล้ว ที่จะมีฮวงจุ้ยล้ำเลิศเช่นที่นี่!”
โม่วู๋เตาพยักหน้าเห็นด้วยกับหลิงหยุนและรีบพูดสนับสนุนทันที
และฮวงจุ้ยนั้นย่อมมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของพลังชี่ในร่างกายมนุษย์!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลิงหยุนและโม่วู๋เตา..ทั้คู่เพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่กลับสัมผัสได้ว่าพลังปราณภายในร่างกายของพวกตนทั้งคู่นั้น ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด และมันคือผลจากปราณมังกรในสถานที่แห่งนี้นั่นเอง.. “ห๊ะ!”
“พี่หลิงหยุน..นี่พี่ตัดสินใจเร็วเช่นนี้เลยรึ! จะไม่ไปดูที่อื่นก่อนจริงหรือนี่?!”
หลิงเลี่วยร้องถามขึ้นมาอย่างตกอกตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนมาดูที่ดินผืนนี้เพียงที่เดียว ก็จะตัดสินใจซื้อทันทีเช่นนี้!
“ไม่จำเป็นต้องไปดูที่อื่นอีกแล้ว..”
หลิงหยุนย้ำกับทุกคนอีกครั้งและอธิบายไปว่า “ที่ดินผืนนี้ตั้งอยู่ตีนเขา ด้านข้างก็เป็นแม่น้ำ อีกทั้งยังมีทัศนียภาพที่งดงามยิ่งนัก นับว่าเป็นผืนดินที่มีฮวงจุ้ยล้ำเลิศ และหาได้ยากยิ่งนักแล้ว! ”
“หนำซ้ำยังอยู่ห่างจากตัวเมืองปักกิ่งไปเพียงแค่สามสิบกิโลเมตรเท่านั้นนับว่าไม่ใกล้ และไม่ไกลจนเกินไป กำลังพอเหมาะพอดีทีเดียว..”
หลิงหยุนจงใจที่จะไม่บอกทุกคนว่าที่นี่คือเส้นลมปราณมังกรอีกทั้งยังมีปราณมังกรที่แข็งแกร่งด้วย หลิงหยุนได้แต่คิดว่าเขาจะต้องรีบจัดการซื้อที่ดินผืนนี้มาเป็นของตนเองให้ได้โดยเร็วที่สุด!
เวลานี้โม่วู๋เตาก็นับว่ารู้ใจหลิงหยุนไม่น้อยเช่นกันทันทีที่ได้ฟังคำอธิบายของหลิงหยุน เขาก็ปิดปากเงียบไม่แสดงความโอ้อวดในเรื่องฮวงจุ้ยของตนอีกเลย และได้แต่เก็บเกี่ยวทัศนียภาพที่งดงามตรงหน้านี้ไว้ในใจแทน..
หลิงซิ่วที่นิ่งเงียบมาตลอดได้เอ่ยปากถามขึ้นว่า“นี่เจ้าเด็กแสบ.. ในเมื่อเจ้าตัดสินใจเลือกที่นี่แน่นอนแล้ว ยังจะรออะไรอีกเล่า!”
หลิงหยุนพยักหน้าแล้วหยิบเครื่องมือสื่อสารที่ติดตัวไว้ออกมาและรีบติดต่อกลับไปหาหลิงเย่วทันที..
“ลุงสอง..ข้าตัดสินใจเลือกที่ดินซึ่งอยู่ระหว่างเขาเหมิงซานกับเขาหยางซาน ที่ท่านบอกกับข้าเมื่อเช้านี้ ท่านช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องซื้อที่ดินให้ข้าด้วย!”
เสียงหัวเราะของหลิงเย่วดังขึ้นจากปลายสายทันทีและรีบตอบหลิงหยุนกลับไปว่า “ได้.. ข้าจะจัดการกว้านซื้อที่ดินบริเวณนั้นให้เสร็จโดยเร็วที่สุด!”
น้ำเสียงของหลิงหยุนหนักแน่นไม่มีความลังเลใจ บ่งบอกถึงว่าได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว!
สถานที่ซึ่งมีฮวงจุ้ยล้ำเลิศเช่นนี้หลิงหยุนจะไม่ชื่นชอบได้อย่างไรกัน
“หลิงหยุนเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง..ลุงจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จภายในสามวัน!”
ที่ดินผืนใหญ่ซึ่งมีความยาวจากทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออกถึงเก้ากิโลเมตรและมีความยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ถึงสามกิโลเมตรเช่นนี้ แม้ว่าจะอยู่เลยวงแหวนที่หกไป อย่างน้อยมูลค่าของที่ดินทั้งหมดในบริเวณนี้ก็คงจะหลายหมื่นล้าน ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่มหาศาลเลยทีเดียว!
อีกทั้งการจะโยกย้ายชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบให้ออกจากพื้นที่นั้นก็ยังต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเช่นกัน!
แต่หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลเรื่องเงินทอง..เพราะเวลานี้เขานับว่าร่ำรวยมาก!
ไม่เพียงตัวหลิงหยุนเองที่ร่ำรวยแต่เวลานี้ตระกูลหลิงเองก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองดังเช่นแต่ก่อนอีก หนำซ้ำยังมีตระกูลเกา ตระกูลเสี่ยว และตระกูลฉินที่พร้อมจะช่วยเขา..
แต่การจะซื้อที่ดินผืนใหญ่ซึ่งมีฮวงจุ้ยล้ำเลิศเช่นนี้นั้นกลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจบารมีของผู้ที่จะซื้อเองด้วยว่ามีมากพอหรือไม่
แต่ในเวลานี้..หลิงหยุนเองก็ใช่ว่าจะขาดแคลนอำนาจบารมีเช่นกัน!
…..
ในระหว่างที่หลิงหยุนกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับหลิงเย่วนั้นเกาเฉินเฉินเองก็ได้ส่งข้อความแจ้งกับเกาจิ้นสงให้รับทราบเรื่องนี้เช่นกัน
–ท่านปู่..หลิงหยุนต้องการเงินเพื่อซื้อที่ดินสำหรับสร้างคฤหาสน์หลังใหม่ ท่านปู่จัดเตรียมเงินไว้ให้ด้วย!- เกาจิ้นสงเองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน–ต้องการเท่าไหร่-
–ยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!-
–ข้าได้ข่าวว่าหลิงหยุนกลับบ้านแล้วเจ้าบอกให้เขามาหาข้าที่บ้านตระกูลเกาด้วย ข้าต้องดื่มฉลองให้กับเขา!”
“ค่ะท่านปู่!”
หลังจากจัดการแจ้งเกางจิ้นสงไปแล้วเกาเฉินเฉินก็หันไปมองทัศนียภาพรอบตัว พร้อมกับยิ้มออกมา และแน่นอนว่าเกาเฉินเฉินเองก็ชื่นชอบสถานที่แห่งนี้อย่างมากเช่นกัน
“เอาล่ะ..พวกเรากลับบ้านกันได้แล้ว..”
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วหลิงหยุนจึงชักชวนทุกคนกลับบ้าน มีเพียงโม่วู๋เตาเท่านั้นที่ยังอิดออด และจะของชื่นชมทิวทัศน์ที่งดงามต่อ..
“นี่..ข้ายังมีธุระต้องไปจัดการอีกหลายเรื่อง หากเจ้าอยากจะอยู่ต่อก็อยู่ไปคนเดียว!”
หลิงหยุนส่งเสียงร้องบอกโม่วู๋เตาในระหว่างที่ตัวเขากำลังมุดเข้าไปในรถส่วนโม่วู๋เตาเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนก็รีบวิ่งตามขึ้นรถไปทันที
หลิงซิ่วทำหน้าที่เป็นคนขับรถเช่นเคยและในระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ได้รับโทรศัพท์จากหนิงหลิงยู่กับถังเมิ่ง แจ้งว่าทั้งคู่จะมาถึงปักกิ่งในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง..
หลังจากวางสายไปแล้วหลิงหยุนก็ได้บอกกับหลิงซิ่วและเกาเฉินเฉินว่า “พี่หลิงซิ่ว.. เฉินเฉิน.. พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงหลิงยู่กับถังเมิ่งจะมาถึงปักกิ่ง ข้าจะให้พวกเขาทั้งสองคนอยู่ที่บ้านตระกูลหลิงชั่วคราวก่อน พวกเจ้าสองคนช่วยข้าจัดการเรื่องห้องหับได้หรือไม่”
ทั้งหนิงหลิงยู่และถังเมิ่งล้วนเป็นเพื่อนสนิทของเกาเฉินเฉินและหลิงซิ่วเองก็ได้รู้จักทั้งสองคนเมื่อครั้งที่ไปจิงฉู หลิงซิ่วจึงได้ตอบกลับไปทันที
“เจ้าไม่ต้องห่วง..ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!”
ระหว่างทางกลับนั้นถนนหนทางเริ่มมีรถราหนาแน่นมากขึ้นและกว่าจะกลับไปถึงบ้านตระกูลหลิงก็ราวห้าโมงเย็นพอดี..
….
หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนและเกาเฉินเฉินจึงออกมาที่สวนหน้าบ้านตนเอง แล้วหลิงหยุนก็เริ่มถ่ายทอดวิชาให้กับนาง..
ในบรรดาธาตุทั้งห้าในร่างกายของเกาเฉินเฉินนั้นธาตุไฟนับว่าโดดเด่นที่สุด หลิงหยุนจึงเปลี่ยนมาสอนวิชาหงส์
ในบรรดาห้าธาตุนั้น..ร่างกายของเกาเฉินเฉินจัดอยู่ในธาตุไฟ หลิงหยุนจึงเปลี่ยนใจที่จะถ่ายทอดวิชาหงส์ ให้กับนางแทน
วิชามังกรคะนองวิชาพฤกษาขจี วิชาคลื่นคงคา วิชาหงส์เล่นไฟ และวิชาใต้ปฐพี..
วิชาทั้งห้าซึ่งยึดโยงกับธาตุทั้งห้า..อันได้แก่ธาตุทอง ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุดินนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาบ่มเพาะที่ทรงพลัง และแข็งแกร่งยิ่งนัก หากฝึกไปจนถึงขั้นสูงสุด คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าสู่ความเป็นเซียนได้..
หากผู้ใดสามารถฝึกฝนหนึ่งหรือสองจากทั้งห้าวิชาจนถึงระดับสูงสุดได้ ก็นับว่าเป็นเลิศ และหาได้ยากยิ่งแล้ว แต่จะหาสักคนที่สามารถฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดได้ทั้งห้าวิชานั้น นับว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งกว่ามากนัก..
และนอกเหนือจากหลิงหยุนแล้ว..ก็มีอีกเพียงหนึ่งคนเท่านั้นซึ่งก็คือหนิงหลิงยู่ผู้ซึ่งมีกายอัปสรที่พร้อมไปด้วยธาตุทั้งห้า จึงยากนักที่จะหาคนที่สามซึ่งจะสามารถทำได้เช่นสองพี่น้อง!
เพียงแต่หลิงหยุนต้องการให้ตนเองเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่เสียก่อนเขาจึงจะเริ่มฝึกวิชาทั้งห้า และด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ถ่ายทอดวิชาทั้งห้านี้ให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา หนิงหลิงยู่ เกาเฉินเฉิน เหยาลู่ และคนอื่นๆ ตามธาตุที่เด่นชัดของแต่ละคน
ส่วนวิชามังกรทองคะนองนั้นหลิงหยุนตั้งใจที่จะถ่ายทอดให้กับฉินตงเฉวี่ย ผู้ซึ่งมีธาตุทองในกายเด่นชัดที่สุด
หลังจากที่เข้าสู่ขั้นปฐมชี่แล้วและในที่สุดหลิงหยุนก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้ อีกทั้งยังเป็นวิชาที่เข้ากับธาตุไฟในกายของตนเองเช่นนี้ เกาเฉินเฉินจึงเริ่มฝึกฝนภายใต้การดูแลแนะนำของหลิงหยุนอย่างมีความสุข..
หลิงหยุนเองก็ตั้งอกตั้งใจสอนและคอยชี้แนะเกาเฉินเฉินอย่างละเอียดเช่นกัน ทำให้การฝึกวิชาของเกาเฉินเฉินเริ่มต้นได้อย่างรวดเร็ว
หลิงหยุนใช้เวลาถ่ายทอดวิชาให้กับเกาเฉินเฉินตลอดหนึ่งคืนเต็มจนกระทั่งรุ่งสางของวันใหม่.. หลิงหยุนจึงไปฝึกวิชาดาราคุ้มกาย แล้วจึงไปรับประทานอาหารเช้ากับทุกๆคน รวมทั้งโม่วู๋เตาด้วย..
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว..หลิงหยุนจึงได้พาโม่วู๋เตา เกาเฉินเฉิน หลิงซิ่ว หลิงเฟิง และหลิงเลี่วย ออกไปรับหนิงหลิงยู่ ถังเมิ่ง และคนอื่นๆที่สนามบินนานาชาติปักกิ่ง.. ……
ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิง..
หลังจากที่หลิงหยุนและคนอื่นๆออกไปจากบ้านกันหมดแล้ว หลิงลี่จึงได้เรียกหลิงเย่วให้มาพบตนเองที่บ้าน..
ทันทีที่เข้าไปในบ้านของหลิงลี่หลิงเย่วก็จัดการวางเครื่องมือสื่อสารของตนเองไว้บนโต๊ะแปดเหลี่ยม พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ท่านพ่อ..เมื่อวานหลิงหยุนได้เล่าเหตุการณ์ที่สนามประลองให้ข้าฟังอย่างละเอียด ทั้งน่าตื่นเต้น และน่าตกใจไปพร้อมๆกัน ท่านลองฟังดูดสิ!”
ระหว่างที่บอกหลิงลี่นั้น..หลิงเย่วก็เอื้อมมือไปเปิดปุ่นบนเครื่องมือสื่อสารของตนทันที หลิงเย่วนั้นรู้ว่าหลิงลี่เป็นห่วงเป็นใยหลิงหยุนมากเพียงใด เขาจึงได้แอบอัดเสียงสนทนาระหว่างตนเองกับหลิงหยุนไว้ เพื่อที่จะนำมาเปิดให้หลิงลี่ได้ฟังนั่นเอง..
ระหว่างที่ฟังนั้น..สีหน้าของหลิงลี่ก็มีแต่ความเคร่งเครียด และมีเสียงอื้ออ้าดังออกมาตลอดเวลา จนกระทั่งเสียงสนทนาจากเครื่องมือสื่อสารจบลง หลิงเย่วจึงเอื้อมมือไปปิด..
จากนั้นหลิงลี่กับหลิงเย่วต่างก็นั่งนิ่งไม่พูดไม่จากันไปครู่ใหญ่..
“มีเพียงเท่านี้รึ!”
ผ่านไปราวสามนาที..ในที่สุดหลิงลี่จึงเอ่ยปากถามหลิงเย่วออกมา..
“ขอรับท่านพ่อ!”
จากนั้นหลิงเย่วก็เก็บเครื่องมือสื่อสารของตนกลับไปและพูดกับหลิงลี่ด้วยท่าทางเคารพนบนอบ
“ความจริงเมื่อวานข้าเองก็พูดคุยกับหลิงหยุนมากมายหลายเรื่อง..”
หลิงลี่เงยหน้าขึ้นมองหลิงเย่วพร้อมกับถอนหายใจออกมาหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองหลิงเย่วด้วยแววตากระวนกระวายใจ แล้วจึงถามขึ้นว่า..
“ลูกสอง..หลิงหยุนกลับเข้าบ้านมาตั้งแต่เมื่อวาน แต่เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมมาพบหน้าข้าอีก”
หลิงเย่วมองหน้าหลิงลี่อย่างพินิจพิจารณาก่อนจะตอบไปว่า.. “ท่านพ่อ.. การที่หลิงหยุนเลือกที่จะไม่มาพบหน้าท่านในเวลาเช่นนี้ คงเพราะเกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อรู้สึกอึดอัด และกระอักกระอ่วนใจ..”
“ไม่เพียงแค่ท่านพ่อเท่านั้น..เท่าที่ข้ารู้มา ตั้งแต่กลับมาหลิงหยุนเองก็ยังไม่ได้ไปพบหน้าน้องสามเช่นกัน!”
หลิงลี่หลับตาลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆแล้วจึงถามขึ้นว่า “ไม่พบข้า.. ไม่พบพ่อของเขา.. แล้วหลิงหย่งล่ะ”
หลิงเย่วพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“เช่นเดียวกัน!”
“อืมม..”
หลิงลี่ทำเสียงรับรู้อยู่ในลำคอจากนั้นจึงถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อว่า “เพราะเรื่องของหลิงเจิ้นแท้ๆ ทำให้หลิงหยุนต้องเกิดความรู้สึกอึดอัดใจเช่นนี้ ช่างไม่เป็นธรรมกับหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย!”
หลิงเย่วเห็นพ่อของตนเป็นเช่นนี้ในใจก็รู้สึกหดหู่ตามไปด้วย แต่ก็ต้องฝืนยิ้มออกมา และปลอบประโลมหลิงลี่ไปว่า
“ท่านพ่อ..อย่าได้คิดมากไปเลย! คำพูดของหลิงหยุนที่พูดกับข้า.. ท่านพ่อเองก็ได้ยินชัดเจนแล้ว!”
“หลิงหยุนไม่เพียงเป็นเด็กเฉลียวฉลาดแต่ยังเป็นคนมีเหตุมีผลยิ่งนัก!”
“หึ!”
หลิงลี่จ้องหน้าหลิงเย่วพร้อมกับพูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก“ข้าเป็นปู่ของเขา.. เขาไม่กลับบ้านมานานหลายวัน แต่หลังจากกลับมาแล้ว ก็ไม่ยอมมาคาราวะข้าเช่นนี้ เจ้าว่ามันสมควรแล้วรึ!”
แม้หลิงเย่วจะนึกเห็นใจหลิงลี่แต่ก็ไม่อาจตำหนิหลิงหยุนในเรื่องนี้ได้ หลิงเย่วฝืนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ควรยิ่งนัก!แต่..”
“แต่ในเช้าที่หลิงหยุนกลับมาตระกูลหลิงเขาก็ได้ทักทายท่านพ่อแล้วไม่ใช่รึ! และหลังจากนั้นเข้าเองก็ไปปรึกษาหารือกับข้าตลอดทั้งวัน! ท่านพ่อเองก็น่าจะรู้ดี..”
จากนั้นหลิงเย่วก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรอีก..หลิงลี่เห็นหลิงเย่วเอาแต่นั่งนิ่งเช่นนั้น จึงร้องถามด้วยความโมโห
“ลูกสอง..เจ้าได้ชื่อว่าเป็นมันสมองของตระกูลหลิง ข้าเรียกเจ้ามาพบวันนี้ก็เพื่อจะให้เจ้าคิดอ่านว่าข้าควรต้องทำเช่นใด”
หลิงเย่วได้แต่หัวเราะและพูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ.. เรื่องของพี่ใหญ่นั้น..”
หลิงลี่ตวาดหลิงเย่วทันที“จากนี้ไปห้ามเจ้าเรียกมันว่าพี่ใหญ่ต่อหน้าข้าอีก! เรียกมันว่าหลิงเจิ้นก็พอ..!”
“ลูกน้อมรับคำสั่งท่านพ่อ..”
จากนั้นหลิงเย่วจึงพูดต่อว่า“เรื่องของหลิงเจิ้นนั้น.. ท่านพ่อเองก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว พวกเราทุกคนในตระกูลหลิงย่อมต้องปฏิบัติตาม..”
“ฉะนั้นแล้วเรื่องสำคัญในเวลานี้..จึงเป็นเรื่องระหว่างหลิงหยุนกับท่านพ่อ แล้วก็น้องสามเสียมากกว่า!”
“และตราบใดที่ปมเรื่องนี้ในใจของท่านพ่อกับน้องสามคลี่คลายลงสถานการณ์ที่อึดอัด และกระอักกระอ่วนใจในตระกูลหลิงของเรา ก็จะกลับสู่ความเป็นปกติทันที!”
“เรื่องเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว..ล้วนเป็นความผิดของหลิงเจิ้นเพียงผู้เดียว เพียงแต่ความผูกพันรักใคร่ของเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงที่มีให้กัน ทำให้ท่านพ่อกับน้องสามต่างก็แบกรับความผิดครั้งนั้นไว้เอง และเลือกที่จะโทษตัวเช่นนี้!
หลิงเย่วยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงอธิบายต่อ “หลิงหยุนนับเป็นเด็กที่มีจิตใจบริสุทธิ์อย่างแท้จริง! ความจริงใจที่หลิงหยุนมีให้ตระกูลหลิงนั้น ข้าเชื่อว่าทุกคนต่างก็รับรู้ และคิดเช่นเดียวกับข้า!”
หลิงลี่พยักหน้าที่เวลานี้เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม“ถูกต้อง!”
หลิงเย่วอธิบายต่อทันที“ท่านพ่ออย่าลืมว่าพวกเราตระกูลหลิงไม่เคยเลี้ยงดูหลิงหยุนมา จึงไม่ได้มีความสนิทสนมเป็นพื้นฐาน หากจะนับตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลิงหยุนช่วยข้ามาจากตระกูลเฉิน ก็น่าจะเพียงแค่สองหรือสามเดือนเท่านั้น..”
หลิงเย่วกำลังอธิบายให้หลิงลี่ฟังว่า..แม้หลิงหยุนจะมีสายเลือดตระกูลหลิง แต่ก็เติบโตอยู่นอกตระกูลมานานถึงสิบแปดปี เวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน.. คงยากที่จะทำให้หลิงหยุนรู้สึกสนิทสนม และผูกพันกับทุกคน
หลิงลี่นั่งฟังหลิงเจิ้นด้วยความสงบและค่อยๆครุ่นคิดไปตาม..
“ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน..แต่หลิงหยุนกลับปฏิบัติต่อตระกูลหลิงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว!” “แต่สำหรับหลิงหยุนนั้น..การที่หลิงห่าวกับหลิงเจิ้นตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเขาเช่นนั้น หลิงหยุนจึงมองทั้งคู่ไม่ต่างจากตระกูลซัน และตระกูลเฉิน!”
“ท่านพ่อเองก็รู้ดีว่า..คนอย่าหลิงหยุนไม่เคยปล่อยศัตรูของตนเองให้มีชีวิตรอดไปได้!”
หลิงเย่วพูดพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางคุกใต้ดินตระกูลหลิงทำให้หลิงลี่นึกถึงศัตรูมากมายของหลิงหยุนที่เคยถูกขัง และถูกเขาสังหารตาย
หลิงลี่พยักหน้าเห็นด้วย“เป็นเช่นนั้นจริงๆ”
“หลิงหยุนรู้ดีว่าในสายตาของท่านกับน้องสามหลิงห่าวกับหลิงเจิ้นคือครอบครัว.. แต่สำหรับหลิงหยุนทั้งคู่คือศัตรู..”
“และนี่คือสาเหตุที่ทำให้หลิงหยุนอึดอัดและรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะต้องพบเจอท่านพ่อกับน้องสาม เพราะสำหรับเขาแล้ว.. ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารหลิงเจิ้นใได้!” “เฮ้อ..”
หลิงลี่ถอนหายใจพร้อมกับเป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า“ด้วยเหตุนี้สินะ.. หลิงหยุนจึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงไม่มาพบข้า!”
หลิงเย่วหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. ความจริงท่านพ่อกับน้องสามก็รู้เหตุผลดีแล้ว เพียงแค่ต้องการให้ข้าเป็นผู้พูดออกมาแทนเท่านั้นเอง!”
“ท่านพ่อ..การที่เฉินจิ้งเทียนเลือกที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาก่อนตายนั้น ก็เพื่อที่จะสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในตระกูลหลิงของเรา”
“ฉะนั้นแล้ว..ท่านพ่อคงต้องรีบจัดการแก้ปัญหา อย่าปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาในใจ จนทำให้ความตั้งใจของเฉินจิ้งเทียนสำเร็จผลได้!”
หลิงลี่รีบสั่งหลิงเย่วทันที..“ถ้าเช่นนั้นในระหว่างที่หลิงหยุนยังไม่กลับมานี้ เจ้าก็ไปพูดกับลูกสามเช่นเดียวกับที่พูดกับข้า ให้เขาได้เข้าใจหลิงหยุน!”