สนามบินนานาชาติปักกิ่ง..
หลังจากที่หลิงหยุนและทุกคนไปถึงสนามบินปักกิ่งนั้น ก็ได้นำรถคันใหญ่ทั้งสองคันไปจอดที่ลานจอดรถ แล้วจึงพาทุกคนเข้าไปที่อาคารผู้โดยสาร..
“หลิงหยุนทางนี้!”
ทันทีที่เข้าไปในอาคารผู้โดยสารฉินตงเฉวี่ยก็ร้องตะโกนเรียกหลิงหยุน
“น้าหญิง..”
หลิงหยุนรีบตรงเข้าไปทักทายฉินตงเฉี่วยทันทีเกาเฉินเฉิน และคนอื่นๆ ต่างก็ทักทายฉินตงเฉี่วยด้วยเช่นกัน
“เจ้าเด็กดื้อ..คิดไม่ถึงว่าเจ้าผู้เดียวจะสามารถสังหารยอดฝีมือตระกูลซันกับตระกูลเฉินได้หมด!”
หลังจากที่ฉินตงเฉวี่ยพยักหน้ารับคำทักทายจากทุกคนแล้วนางก็หันไปชื่นชมหลิงหยุนทันที
“ฮ่า..ฮ่า..”
“น้าหญิง..ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าจะจัดการสังหารพวกมันให้หมดยังไงเล่า”
หลิงหยุนทำสีหน้าภูมิอกภูมิใจจนทุกคนถึงกับหัวเราะออกมาจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกันจับกลุ่มคุยกัน..
ระหว่างนั้นหลิงหยุนเองก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกครอบคลุมทั่วอาคารผู้โดยสารไว้และคอยจับตามองกระดานที่แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับไฟลท์ต่างๆ รวมถึงผู้โดยสารทั้งหมดที่เดินออกมาจากสนามบิน..
‘เทคโนโลยีของมนุษย์ในโลกนี้ช่างน่าทึ่งนัก!’
จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนครอบคลุมไปถึงลานบินซึ่งมีเครื่องบินลำใหญ่ร่อนขึ้นร่อนลงมากมายทำให้หลิงหยุนอดที่จะนึกชื่นชมอยู่ในใจเงียบๆไม่ได้
เวลานี้หลิงหยุนสามารถยอมรับและปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโลกใบนี้ได้มากขึ้นกว่าก่อน แต่ก็แอบคิดว่า.. หากไม่ใช้หยดเสินหยวนช่วย เขาก็สามารถบังคับกระบี่เหินเงาธนูให้พาบินไปได้ไกลถึงห้าสิบกิโลเมตร..
แต่ด้วยเครื่องบิน..คนธรรมดาสามัญก็สามารถบินจากจิงฉูมาปักกิ่งได้ อีกทั้งยังบินได้นานร่วมสามชั่วโมงเลยทีเดียว!
การบินของหลิงหยุนต้องอาศัยการฝึกฝนที่จริงจังและต่อเนื่อง ในขณะที่คนธรรมดาบนโลกใบนี้ไม่ต้องฝึกฝนก็บินได้ เพียงแค่ต้องมีตั๋วเครื่องบินเท่านั้น!
การสื่อสารก็เช่นกัน..สำหรับผู้บ่มเพาะพลังนั้น หากแข็งแกร่งมากพอก็จะสามารถสื่อสารได้ไกลเป็นพันๆไมล์เลยทีเดียว แต่มนุษย์โลกก็มีโทรศัพท์!
ความแตกต่างระหว่างการบ่มเพาะพลังกับเทคโนโลยีบนโลกนี้ก็คือ..ผู้บ่มเพาะพลังไม่จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยภายนอก แต่คนธรรมดาที่ทำได้เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะพลังนั้นต้องอาศัยเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีที่ผ่านการพัฒนาแล้ว..
‘จะเป็นอย่างไร..หากเทคโนโลยีบนโลกใบนี้ พัฒนาไปไกลถึงขั้นที่มนุษย์โลกสามารถเพิ่มขีดจำกัดในศักยภาพ และความสามารถของตนได้ด้วยเครื่องมือบางชนิด’
หลิงหยุนนั่งครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งฉินตงเฉี่วยเข้ามาสะกิดไหล่ และร้องเรียก “นี่.. เครื่องของหนิงหลิงยู่มาถึงแล้ว พวกเราไปรับนางที่ช่องวีไอพีกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนไม่ได้พบหน้าหนิงหลิงยู่มานานเป็นเดือนเขาเองเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้ว จึงอยากจะรู้ว่าหนิงหลิงยู่ก้าวหน้าไปมากเพียงใดเช่นกัน
จากนั้นทั้งหมดก็ย้ายไปรอรับหนิงหลิงยู่ที่ช่องวีไอพี..หลิงหยุนเองก็เปิดจิตหยั่งรู้สำรวจเครื่องบินทุกลำที่บินลงมา เพื่อที่จะได้เห็นหนิงหลิงยู่ก่อนใคร
ราวห้าถึงหกนาที..เครื่องบินลำหนึ่งที่เพิ่งจะร่อนลง ก็เข้ามาอยู่ในรัศมีจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน และหนิงหลิงยู่ก็อยู่ในห้องโดยสารของเครื่องบินลำนั้น
หนิงหลิงยู่นั่งอยู่ในห้องโดยสารชั้นเฟริสท์คลาสและกำลังจ้องมองออกไปทางหน้าต่าง นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงหลิงยู่เดินทางมาปักกิ่ง..
แสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างมากระทบกับใบหน้างดงามของหนิงหลิงยู่นั้นทำให้ใบหน้างดงามชวนฝันของนางดูราวกับนางฟ้า..
‘ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่งั้นรึ!’
หลิงหยุนถึงกับร้องอุทานด้วยความตื่นเต้นอยู่ในใจหากไม่ใช่ผู้ที่มีกายอัปสรเช่นหนิงหลิงยู่ สูงสุดก็น่าจะขั้นเอ้อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-2)
–หลิงยู่..-
หลิงหยุนไม่รอให้หนิงหลิงยู่ลงจากเครื่องเขาร้องเรียกนางผ่านทางกระแสจิตทันที หนิงหลิงยู่ถึงกับตกใจ และรีบเปิดจิตหยั่งรู้ของตนออกสำรวจดูเช่นกัน และพบว่าหลิงหยุน ฉินตงเฉวี่ยและคนอื่นๆ ได้มายืนรอรับอยู่ที่ช่องวีไอพีแล้ว
–พี่ใหญ่..นี่พี่จริงๆด้วย!-
สำหรับผู้บ่มเพาะตนนั้นหากมีกระแสจิตที่ทรงพลัง และแข็งแกร่ง ก็จะสามารถสื่อสารกันได้ไกลเป็นกิโลเมตรเลยทีเดียว และความชัดเจนนั้นก็ไม่ต่างจากการพูดคุยกันตรงหน้า..
–ฮ่า..ฮ่า.. หลิงยู่ อีกไม่นานคงจะก้าวหน้าไปไกลกว่าพี่เป็นแน่!-
หลิงหยุนบอกหนิงหลิงยู่ที่เวลานี้กำลังลุกขึ้นยืน..
–พี่ใหญ่..รอฉันก่อนนะ! ฉันกับป้าเม่ยกำลังจะลงเครื่องแล้ว!-
ครั้งนี้นอกเหนือจากหนิงหลิงยู่กับป้าเม่ยแล้วก็ยังมีนักรบตระกูลฉินซึ่งอยู่ในชุดสีดำอีกนับสิบคนตามมาด้วย..
หลิงหยุนถอนจิตหยั่งรู้ของตนเองกลับพร้อมกับหันไปบอกทุกคนว่า “เครื่องของหลิงยี่ลงจอดแล้ว อีกไม่นานนางก็จะออกมาแล้ว!” “นี่เจ้าเด็กดื้อ..เจ้าอยู่ขั้นใดกันแน่ เหตุใดจิตหยั่งรู้จึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?”
ฉินตงเฉี่วยรู้ว่าหลิงหยุนคงจะเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจทั่วทั้งสนามบินจึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้..
“ระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่..”
“น้าหญิง..แต่ข้าสามารถบังคับกระบี่เหินพาเหาะขึ้นฟ้าได้แล้วนะ!” หลิงหยุนพูดด้วยความภูมิอกภูมิใจ
“…”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไป..เพราะเมื่อครั้งที่นางพบกับหลิงหยุนครั้งแรกที่บ้านตระกูลเฉิงนั้น นางยังต้องคอยปกป้องหลิงหยุนอยู่เลย แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับสามารถใช้กระบี่เหินได้แล้ว
เพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น..
“พี่ใหญ่..น้าหญิง..”
สิบนาทีต่อมา..หนิงหลิงยู่ก็เดินออกมาจากช่องทางวีไอพี และวิ่งตรงเข้าหาหลิงหยุนทันที หนิงหลิงยู่โอบแขนหลิงหยุนไว้แน่น ส่วนหลิงหยุนก็ตบหลังของเธอเบาๆ
“พี่ใหญ่..พี่เป็นยังไงบ้าง”
หนิงหลิงยู่ร้องถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและดวงตาแดงก่ำ..
หลิงหยุนลูบไล้ฝ่ามือหนิงหลิงยู่เป็นการปลอบประโลมและพาไปพบกับทุกคน
“หลิงยู่..นี่พี่หลิงเฟิง ส่วนนี่ก็น้องหลิงเลี่วย ทั้งคู่ล้วนเป็นน้องของพี่หลิงซิ่ว..”
“โอ้โห..พี่หลิงยู่งดงามมากจริงๆ!”
หลิงเลี่วยร้องอุทานออกมาทันทีที่เห็นหนิงหลิงยู่จากนั้นจึงหันไปทักทายป้าเม่ยที่เดินตามมา..
ส่วนที่ตามมาหลังสุดก็คือนักรบตระกูลฉินที่เดินถือกระเป๋าเดินทางตามออกมา และหลิงหยุนก็พยักหน้าให้กับพวกเขาเป็นการทักทาย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา..เครื่องของถังเมิ่งก็ลงจอด และทันทีที่เดินออกมาก็มีเสียงร้องตะโกนเรียกหลิงหยุนเสียงดัง
“พี่หยุน..”
“พี่หยุน..”
ตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งวิ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนทันทีหลิงหยุนเองก็หัวเราะเสียงดังด้วยความดีอกดีใจ
“ฉันไม่อยู่แค่สามอาทิตย์พวกนายคิดถึงฉันมากขนาดนี้เลยรึ!”
“หลิงหยุน..หลิงยู่.. เฉินเฉิน.. ว้าว! ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันหมดเลย!”
และหญิงสาวอีกสองคนที่ตามออกมาก็คือฉางหลิงกับฉีเสี่ยวชิงนั่นเอง..
“ฉางหลิง..ฉีเสี่ยวชิง.. ฉันคิดถึงพวกเธอสองคนแทบแย่!”
เกาเฉินเฉินกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ..
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ทักทายฉางหลิงและฉีเสี่ยวชิงพร้อมกับพาแนะนำหญิงสาวทั้งสองให้กับพี่ๆน้องๆของตนเอง ส่วนเด็กหนุ่มวัยรุ่นทั้งเจ็ดสิบสองคนที่ตี้เสี่ยวอู๋พามาด้วยนั้นต่างก็เดินลากกระเป๋าเดินทางออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ออกมาพบกับโลกภายนอกที่กว้างใหญ่กว่าเดิม
และนี่คือผู้ที่หลิงหยุนได้เลือกให้เป็น72 ศิษย์เอกแห่งสำนักหมดสวรรค์!
เพียงแค่มองผ่านๆหลิงหยุนก็รู้แล้วว่าทั้งเจ็ดสิบสองคนนั้น เวลานี้อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-4 ขึ้นไปแล้วทั้งสิ้น เวลานี้ก็เพียงแค่รอคอยให้หลิงหยุนชำระล้างไขกระดูกเท่านั้น จากนั้นจึงถ่ายทอดวิชาให้ เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าสู่โลกยุทธภพจริงๆเสียที!
ส่วนลูกศิษย์สองคนสุดท้ายของเขานั้นไม่ได้ลากกระเป๋าเดินทาง แต่จูงสุนัขสีดำตัวใหญ่สองตัวออกมาแทน และมันก็คือสุนัขที่หลิงหยุนเลี้ยงไว้ในบ้านเลขที่-1 นั่นเอง
หลิงหยุนเห็นพวกมันสองตัวก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเวลานี้สุนัขสีดำสองตัวโตมากแล้ว และเมื่อมันเห็นหลิงหยุนก็ส่ายหน้าไปมาด้วยความดีอกดีใจ..
“ถังเมิ่ง..นายพาเจ้าสองตัวนี่มาด้วยทำไมกัน!”
สุนัขทั้งสองตัวนั้นอาบพลังชีวิตภายในบ้านเลขที่-1มานานมากแล้ว สภาพของจิตใจ และไอคิวของมันนั้น จึงเทียบเท่ากับเด็กอายุห้าขวบทีเดียว..
“พี่หยุน..เหมี่ยวเสี่ยวเหมาให้ฉันพาพวกมันมาด้วย เพราะเวลาที่เธอไปที่คลินิก จะไม่มีใครคอยดูแลพวกมัน!”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้จากนั้นจึงร้องบอกทุกคนว่า “เอาล่ะ.. ในเมื่อมากันครบแล้ว พวกเรารีบออกจากที่นี่กันดีกว่า!”
เวลานี้หากรวมศิษย์เอกสำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคนแล้วกลุ่มของหลิงหยุนก็เกือบจะร่วมร้อยคนทีเดียว จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในสนามบินมาก หลิงหยุนจึงรีบพาทุกคนไปขึ้นรถบัสหรูทั้งสองคัน และออกจากสนามบินนานาชาติปักกิ่งทันที.. …..
หลังจากขับเข้าไปในตัวเมืองได้ระยะหนึ่ง..ฉินตงเฉี่วยก็สั่งให้นักรบตระกูลฉิงลงระหว่างทางเพื่อไปที่พัก ทุกคนต่างก็เป็นนักรบตระกูลฉิน จึงไม่เหมาะที่จะให้เข้าบ้านตระกูลหลิงด้วย..
หลังจากขับไปอีกสักครู่ฉินตงเฉี่วยกับป้าเม่ยก็ลงจากรถบัส แต่ก็ไม่ลืมที่จะสั่งหลิงหยุน “เด็กดื้อ.. หลังจากเจ้าเสร็จภารกิจและพอมีเวลาว่าง อย่าลืมมาพบข้าด้วย ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องบอกกับเข้า!”
“น้าหญิง..อีกสองสามวันข้าจะไปพบท่าน!”
หลิงหยุนคาดเดาว่าเรื่องที่ฉินตงเฉี่วยต้องการจะบอกกับเขานั้นคงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนางฉินจิวยื่อเป็นแน่ หรือไม่ก็คงเกี่ยวกับเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธ เขาจึงรีบรับปากทันที!
“ดูแลหลิงยู่ให้ดีด้วย!” จากนั้น..หลิงหยุนและคนอื่นๆ ก็นั่งรถบัสมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลิงทันที!
“โอ้โห..บ้านหลังใหญ่โตมโหฬารจังเลย!”
ทันทีที่รถบัสทั้งสองคันแล่นเข้าไปภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงศิษย์เอกสำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคน รวมทั้งถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ ต่างก็ร้องอุทานออกมาเสียงดัง..
หลิงหยุนมองออกไปนอกรถก็พบว่า..หลิงลี่ หลิงเสี่ยว และหลิงเย่ว ต่างก็พากันออกมายืนรออยู่ที่สวนด้านหน้า..
และในที่สุด..ทุกคนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว!
“ท่านปู่..ท่านพ่อ..”
หลิงหยุนอุทานออกมาด้วยความซาบซึ้งใจดีใจและเมื่อก้าวลงจากรถบัสหลิงหยุนก็รีบพาหนิงหลิงยู่ไปแนะนำให้ทุกคนรู้จักทันที..
“หลิงยู่..นั่นคือท่านปู่กับท่านพ่อของข้า ส่วนนี่ก็ลุงสอง..” หนิงหลิงยู่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ทุกคนจากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปถามหลิงลี่กับหลิงเสี่ยวด้วยความตื่นเต้น
“ท่านปู่..ท่านพ่อ.. พวกท่านดีขึ้นแล้วรึ!”
หลิงลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบไปว่า“หลิงหยุน.. ยังไม่รีบแนะนำเพื่อนหนุ่มสาวของเจ้าให้ข้ารู้จักอีกรึ”
แม้หลิงหยุนจะรู้สึกงุนงงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของคนทั้งคู่แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะมาถามถึงสาเหตุ จึงรีบแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน..
จากนั้นจึงหันไปบอกกับหลิงลี่ว่า“ท่านปู่.. ทั้งเจ็ดสิบสองคนนี้เป็นคนที่ข้าคัดเลือกมาจากจิงฉู!”
“ดี..ดี..”
หลิงลี่สังเกตเห็นว่าทั้งเจ็ดสิบสองคนที่หลิงหยุนพามานั้นล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และตราบใดที่คนเหล่านี้เก่งกาจขึ้นมา ก็จะเป็นกองกำลังที่น่ากลัวของตระกูลหลิงเลยทีเดียว!
เนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงพอดีหลิงเย่วจึงได้จองภัตตาคารในโรงแรมไว้แล้ว และทั้งหมดเกือบร้อยคนนั้นก็พากันไปรับประทานอาหารมื้อใหญ่ที่หลิงเย่วจัดการไว้ให้ และกว่าจะเสร็จสิ้นก็ราวบ่ายสอง..
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับนั้นหลิงหยุนก็ได้ขอให้หลิงเย่วช่วยให้คนไปส่งศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้งเจ็ดสิบสองคนที่สำนักฝึกวรยุทธที่หลิงเย่วซื้อไว้..
ส่วนถังเมิ่งตี้เสี่ยวอู๋ และหนิงหลิงยู่นั้นก็ให้อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงไปชั่วคราวก่อน สำหรับฉางหลิงกับฉีเสี่ยวชิงนั้น ยังต้องถามความสมัครใจของหญิงสาวทั้งสองอีกที
….
และเมื่อกลับไปถึงบ้านตระกูลหลิงหลิงซิ่วก็ได้จัดให้หนิงหลิงยู่ ฉีเสี่ยวชิง และฉางหลิงไปอยู่ที่บ้านของตัวเอง
ส่วนถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ก็ให้อยู่ที่บ้านในสวนชั้นที่เจ็ดกับโม่วู๋เตา และสุนัขสีดำตัวใหญ่สองตัว ก็ให้อยู่ในสวนชั้นที่หก
หลังจากเรื่องวุ่นๆจบลง..หลิงหยุนก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านของตัวเอง เกาเฉินเฉินไปรินน้ำมาให้กับหลิงหยุนดื่มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ดื่มน้ำดื่มท่าก่อน..หลายวันนี้นายคงต้องยุ่งมากทีเดียว!”
หลังจากหลิงหยุนดื่มน้ำแล้วเกาเฉินเฉินจึงถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. อีกตั้งสองสามสี่วันจะถึงวันมอบตัว ระหว่างนี้นายมีแผนการยังไงบ้าง”
หลิงหยุนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ที่ผมให้ทุกคนมาก่อนล่วงหน้า ก็เพราะตั้งใจไว้ว่าจะพาทุกคนเที่ยวให้ทั่วปักกิ่งก่อนน่ะสิ!”
จากนั้นเกาเฉินเฉินก็ถามขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย..“แล้วฉางหลิงล่ะ”
“เอ่อ..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆและแสร้งทำเป็นโง่ “ฉางหลิงเป็นเพื่อนสนิทของคุณนี่.. สองสามวันนี้คุณก็ดูแลเธอไปสิ!”
“ไม่รู้ว่าถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋อยู่กับโม่วู๋เตาจะเป็นยังไงบ้างผมไปดูพวกเขาหน่อยดีกว่า..”
แล้วหลิงหยุนก็รีบพุ่งออกไปจากบ้านทันที..
……
ภายในห้องของโม่วู๋เตาสวนชั้นที่เจ็ดของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าบ้านของพี่หยุนจะใหญ่โตขนาดนี้นี่ถ้าขายคงได้เงินไม่น้อยเชียว!”
โม่วู๋เตาได้ฟังจึงได้แต่พูดออกไปอย่างไม่พอใจนัก“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นใดกันแน่ เพิ่งจะเข้ามาในบ้าน แต่ก็พูดเรื่องจะขายบ้านตระกูลหลิงเสียแล้ว!”
ถังเมิ่งย้อนกลับไปอย่างไม่พอใจ“ใครบอกว่าฉันจะขาย.. ฉันกำลังพูดถึงมูลค่าของบ้านหลังนี้ต่างหาก!”
โม่วู๋เตาคร้านที่จะตอบโต้จึงนิ่งเงียบไปในขณะที่ตี้เสี่ยวอู๋ก็พูดขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย….
“พลังชีวิตในบ้านหลังนี้มากกว่าที่บ้านเลขที่-1ถึงสิบเท่า ถ้าได้ฝึกวิชาที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อย..”
และทันทีที่หลิงหยุนมาถึงเขาก็ถามเรื่องบริษัท เทียนตี้คอร์ปอเรชั่นทันที ถังเมิ่งตอบกลับมาอย่างหนักใจ
“ฉันกลัวว่าตัวเองจะทำไม่ได้..”
“นายไม่ต้องกังวลใจ..ค่อยๆเรียนรู้ไป!”
จากนั้นก็บอกให้ถังเมิ่งไปเรียนรู้จากหลิงเย่วหรือปรึกษาหารือกับเขาเมื่อมีปัญหา หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ไม่พูดถึงเรื่องธุรกิจอีกเลย และไม่ถามแม้แต่เรื่องการฝึกฝนของตี้เสี่ยวอู๋ แต่เพียงแค่พูดคุยกันในเรื่องสัพเพเหระ..
หลังจากที่หลงหยุนกลับออกไปแล้ว..ถังเมิ่งก็ได้แต่ยกมือเกาศรีษะด้วยความงุนงง พร้อมกับถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เสี่ยวอู๋..นายรู้สึกว่าพี่หยุนเปลี่ยนไปมั๊ย”
ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้มๆและตอบไปว่า “พี่หยุนน่าจะมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปทำ!”
……
หลิงหยุนมีธุระสำคัญต้องไปทำดังที่ตี้เสี่ยวอู๋พูดจริงๆทันทีที่ออกจากห้องของโม่วู๋เตามา เขาก็ตรงไปหาหลิงเสี่ยวที่บ้านในสวนชั้นที่สี่ทันที!
“ท่านพ่อ..”
หลิงเสี่ยวกำลังนั่งเล่นอยู่บนโซฟาเมื่อเห็นหลิงหยุนเข้ามา จึงรีบชวนให้เข้ามานั่งข้างในทันที
“หลิงหยุน..เข้ามานั่งข้างในเร็วเข้า! มานั่งกินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
“หลิงหยุน..นั่งลงเร็วเข้า!”
ต่งยั่วหลานรีบเข้าไปในครัวเตรียมถ้วยชามให้หลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นดีใจแต่หลิงหยุนรีบร้องทักทายต่งยั่วหลาน พร้อมกับเดินตามเข้าไปช่วยนางหยิบถ้วยชาม “ขอบคุณท่านป้าต่ง..ให้ข้าช่วย!”
หลังจากนั้นต่งยั่วหลานก็ขอตัวกลับเข้าไปในครัวปล่อยให้หลิงเสี่ยวกับหลิงหยุนได้อยู่กันตามลำพัง
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจเห็นต่งยั่วหลานเอาแต่หมกตัวอยู่ในครัวเช่นนั้น ก็ได้แต่แอบถอนหายใจ แล้วจึงถามขึ้นว่า
“ท่านพ่อ..น้องหลิงซวี่ล่ะ”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถามขึ้นทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเวลานี้หลิงซวี่กำลังคุยอยู่กับหลิงซิ่วและหนิงหลิงยู่อยู่ที่บ้าน
“อ่อ..หลิงซวี่ไปคุยกับพี่ๆ เจ้าพาเพื่อนมาบ้านมากมายเช่นนี้ หลิงซวี่ดูมีความสุขมากทีเดียว คงกำลังไปทำความสนิทสนมกับทุกคนอยู่!”
หลิงเสี่ยวที่นั่งตรงข้ามหลิงหยุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..แต่ภายในใจนั้นมีความสุขอย่างมาก เพราะการที่หลิงหยุนเข้ามาในบ้าน และทำตัวตามสบายเช่นนี้ ย่อมแสดงว่าหลิงหยุนไม่ได้เห็นเขาเป็นคนนอก
“ดีมากทีเดียว..”
หลิงหยุนรู้สึกโล่งใจเพราะถึงแม้ท่าทีของหลิงซวี่ที่มีต่อเขานั้นจะดีขึ้นมาก แต่หลิงหยุนก็รู้สึกว่านางเองก็พยายามที่จะหลบหน้าหลบตา และไม่ยอมเผชิญหน้ากับเขา
แต่การที่หลิงซวี่เป็นฝ่ายเข้าไปทำความรู้จักกับเพื่อนๆของเขาเช่นนี้ย่อมหมายความว่านางเองก็เริ่มรู้สึกดีต่อมากขึ้นเช่นกัน!
หลิงเสี่ยวพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุน.. ชิมฝีมือทำกับข้าวของป้าต่งก่อนสิ!”
แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า“ไม่ดีกว่าท่านพ่อ! รอป้าต่งออกมาแล้วพวกเราค่อยทานพร้อมหน้ากัน..”