การที่หลิงหยุนตั้งใจมาพบหลิงเสี่ยวที่บ้านเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อมารับประทานอาหารร่วมกับพ่อของเขาเพียงลำพัง และปล่อยให้ต่งยั่วหลานต้องวุ่นอยู่ในครัวเช่นนี้
และถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของครอบครัวนี้ซึ่งหลิงซวี่เองก็ทำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ แต่หลิงหยุนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ และไม่ต้องการที่จะทำเช่นนั้นด้วย!
“ถ้าเช่นนั้น..ก็รอให้ป้าต่งทำอาหารให้เสร็จ แล้วพวกเราค่อยนั่งทานพร้อมหน้ากัน!”
หลิงเสี่ยวเห็นหลิงหยุนยืนกรานที่จะรอรับประทานอาหารพร้อมกับต่งยั่วหลานเช่นนี้ก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย แต่หลังจากนิ่งเงียบไป ก็เพียงแค่พยักหน้า..
ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงหยุนก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นเดินไปที่ครัว เพื่อที่จะไปเรียกต่งยั่วหลานให้มารับประทานอาหารร่วมกัน “หลิงหยุน..เธอกับพ่อทานกันก่อนได้เลย! ไม่ต้องรอป้าหรอก.. เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด!”
ต่งยั่วหลานที่ทำอาหารอยู่ในครัวนั้นได้ยินคำพูดของหลิงหยุนทั้งหมด และรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก จึงบอกกับหลิงหยุนไปเช่นนั้น..
การที่หลิงหยุนแสดงออกว่าเคารพและให้เกียรติต่งยั่วหลานเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ต่งยั่วหลานซาบซึ้ง และประทับใจในตัวหลิงหยุนอย่างมาก..
“ป้าต่ง..ข้าไม่ได้รีบร้อน จะรอท่านป้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับข้าและท่านพ่อ ตอนนี้กับข้าวก็เต็มโต๊ะแล้ว ท่านป้าไม่ต้องทำเพิ่มอีกแล้ว เดี๋ยวจะกินกันไม่หมด..”
หลิงหยุนร้องบอกต่งยั่วหลานด้วยน้ำเสียงและท่าทีสบายๆ ไม่มีอาการอึดอัดใจออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย และที่เขามาพบกับหลิงเสี่ยวในวันนี้ ก็เพื่อที่จะมาแก้ปัญหาซึ่งสะสมมานานหลายปี.. หลิงหยุนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามหลิงเสี่ยวพ่อลูกต่างก็นั่งจ้องหน้ากันนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ครู่ใหญ่ และในที่สุดหลิงเสี่ยวก็เป็นฝ่ายพูดทำลายความเงียบขึ้นมา
“หลิงหยุน..เราสองคนต่างก็เป็นพ่อลูกกัน! เจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้า ก็พูดออกมาเถิด ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มากมายนัก!”
หลิงหยุนพยักหน้าให้หลิงเสี่ยวแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ที่ผ่านมาข้าคิดเสมอว่าความคับแค้นในใจของท่านมีเพียงแค่ซือกงถูเท่านั้น ข้าจึงได้จับตัวมันมาให้ท่านพ่อได้ลงมือสังหารมันด้วยตัวเอง เพื่อที่ความคับแค้นในใจของท่านพ่อจะได้มลายหายไป!”
หลิงเสี่ยวได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนสีหน้าถึงกับเปลี่ยนไปทันที เพราะหลิงเสี่ยวคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพูดเรื่องนี้ และเขาเองก็ยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ..
หลิงหยุนพูดต่อทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้หลิงเสี่ยวได้บ่ายเบี่ยง“แต่ข้าเพิ่งจะรู้ว่า.. แท้จริงแล้วความคับแค้นในใจของท่านพ่อ ไม่ได้มีเพียงซือกงถูคนเดียวเท่านั้น แต่ยังมีหลิงเจิ้นพี่ชายของท่านอีกด้วย!”
และเมื่อหลิงหยุนยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดหลิงเสี่ยวก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตา นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน และดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มแดงก่ำ..
และการที่หลิงหยุนเรียกชื่อหลิงเจิ้นแทนการเรียกว่าลุงใหญ่ย่อมเป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่า เขาไม่เห็นหลิงเจิ้นเป็นลุงของตัวเองอีกต่อไป!
และคำพูดที่ว่า‘หลิงเจิ้นพี่ชายของท่าน’ นั้น ก็เป็นเสมือนมีดคมกริบที่กรีดลึกลงไปในใจของหลิงเสี่ยว ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจอย่างที่สุด!
หลิงเสี่ยวได้เก็บงำความลับที่เจ็บปวดสาหัสนี้ไว้กับตนเองและฝังมันไว้ในก้นบึ้งของหัวใจมานานถึงสิบแปดปี แต่กลับถูกเฉินจิ้งเทียนขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เขาต้องอยู่อย่างกล้ำกลืนมานานถึงหกวันเต็มๆ กว่าที่จะสามารถกลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง.. “ท่านพ่อ..จิตใจที่อ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อพี่น้องของท่านนั้น ข้าซึ่งเป็นลูกยังอดที่จะชื่นชมไม่ได้!”
“แต่ถึงอย่างนั้น..ท่านก็ไม่ควรที่จะถือเอาความผิดของผู้อื่น มาลงโทษตัวเองเช่นนี้!”
หลิงหยุนจ้องมองหลิงเสี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังและพูดกับหลิงเสี่ยวไปตามตรง ชี้ให้หลิงเสี่ยวเห็นถึงข้อผิดพลาดซึ่งทำให้ตนเองต้องจมอยู่กับความทุกข์สาหัสมานานตลอดกลายปี..
และคำพูดเพียงประโยคสั้นๆของหลิงหยุนก็สามารถอธิบายข้อผิดพลาดของหลิงเสี่ยวได้แหลมคม และชัดเจน!
ไม่จำเป็นต้องลงโทษตัวเองเพราะความผิดของผู้อื่น!
ต่อให้เป็นพี่ชายที่รักใคร่กันมากเพียงใดก็ตามพี่ชายก็ไม่ใช่ตัวเรา จึงเสมือนเป็นคนอื่นเช่นกัน!
หลังจากพูดออกไป..หลิงหยุนก็นั่งนิ่งและจ้องมองหลิงเสี่ยวที่ยังคงไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงเสี่ยวแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเขากำมือทั้งสองข้างแน่น จนเล็บทั้งสิบจิกเข้าไปในฝ่ามือเป็นแผล แต่หลิงเสี่ยวกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย และร่างกายก็เริ่มสั่นสะท้าน..
เสียงพูดของหลิงหยุนนั้นไม่ได้เบาเลยทำให้ต่งยั่วหลานซึ่งอยู่ในครัวพลอยได้ยินทุกอย่างไปด้วย นางหยุดนิ่งและกำลังรอฟังว่าหลิงเสี่ยวจะพูดอะไรออกมา..
ทั้งคู่อยู่กินกันมานานถึงสิบแปดปีแม้ต่งยั่วหลานจะไม่เคยเอ่ยปากถาม แต่มีหรือที่นางจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่อยู่ในจิตใจของสามีมานานหลายปี!
ภายในห้องรับประทานอาหาร..พ่อและลูกชายยังคงนั่งเงียบ บาดแผลในใจของหลิงเสี่ยวซึ่งตัวเขาเองได้ซุกซ่อนไว้นานถึงสิบแปดปีนั้น ในที่สุดก็ถูกลูกชายของตนล่วงรู้เช่นนี้ จึงยากที่จะอธิบายความรู้สึกของหลิงเสี่ยวออกมาเป็นคำพูดได้..
หลิงหยุนกำลังรอคอยให้หลิงเสี่ยวพูด..ต่งยั่วหลานเองก็กำลังรอฟังเช่นกัน.. เวลานี้บ้านทั้งบ้านจึงมีเพียงความเงียบสงัด
“เฮ้อ…”
ในที่สุดหลิงเสี่ยวก็ถอนหายใจออกมาเสียงดังหลังจากที่สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อให้ร่างกายที่สั่นเทิ้มอยู่นั้นค่อยๆสงบนิ่งลง และให้ฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆผ่อนคลายลง แม้จะยังมีเลือดไหลอยู่บ้างก็ตาม..
หลิงเสี่ยวเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
“หลิงหยุน..ที่ผ่านมาล้วนเป็นความผิดของข้าเอง! ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า และแม่ของเจ้านัก!”
หลังจากพูดออกมาแล้วหลิงเสี่ยวก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง..
“ท่านพ่อ..ท่านผิดแล้ว!”
“ท่านไม่ควรต้องรู้สึกผิดต่อข้ากับท่านแม่และไม่ควรต้องรู้สึกผิดต่อผู้ใดเลย! เพราะความจริงแล้ว.. ท่านคือเหยื่อของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีก่อน..”
หลิงหยุนไม่ปล่อยให้หลิงเสี่ยวพูดต่อและรีบแสดงความเห็นของตนแทรกขึ้นมาทันที แม้ท่าทางของหลิงหยุนจะยังคงสงบนิ่ง แต่คำพูดของเขานั้นทั้งหนักแน่น และจริงจัง!
หลิงหยุนรู้ว่า..ความคิดเช่นนี้ของหลิงเสี่ยวเป็นความคิดที่ผิด และเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของเขา!
การที่คนคนหนึ่งต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายที่ผู้อื่นเป็นคนก่อขึ้นแต่กลับเฝ้าตอกย้ำว่าเป็นความผิดของตนเอง และรู้สึกผิดต่อผู้อื่นอยู่เช่นนี้ สำหรับหลิงหยุนแล้ว.. นี่คือความคิดที่ไม่ถูกต้องอย่างมาก!
หลิงเสี่ยวเป็นคนใจกว้างและรักพี่น้อง.. แต่ความดีของเขากลับถูกคนในครอบครัวใช้เป็นเครื่องมือเช่นนี้ หากยังไม่สามารถกำจัดความรู้สึกผิดนี้ออกจากใจของหลิงเสี่ยวได้ ก็ยากที่จะทำให้หลิงเสี่ยวหลุดพ้นจากความทุกข์ที่สะสมมานานได้..
และพี่น้องก็ใช่ว่าจะดีไปเสียทั้งหมดทุกคน!
หากเปลี่ยนจากหลิงเสี่ยวเป็นหลิงหยุน..ต่อให้เป็นพี่น้องคลานตามกันมา หลิงหยุนก็จะไม่มีทางคิดเช่นเดียวกับหลิงเสี่ยวแน่
“ท่านพ่อ..ท่านกับท่านแม่รักกัน จะเป็นความผิดได้อย่างไร!”
“ท่านกับท่านแม่ให้กำเนิดข้าอะไรคือความผิด!”
“หลิงเจิ้นต่างหากที่ผิด!เพียงแค่ต้องการจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลหลิง ถึงกับกล้าทำร้ายท่าน..”
“ท่านพ่อ..เช่นนี้แล้วท่านช่วยตอบข้าทีว่าท่านผิดต่อข้ากับท่านแม่อย่างไร”
“และเพื่อต้องการปกป้องตระกูลหลิงท่านถึงกับยอมทำลายวรยุทธของตัวเอง ยอมรับปากจะไม่พบท่านแม่ตลอดชีวิต ยอมแยกจากข้าซึ่งเป็นลูก..” “ท่านพ่อ..ท่านตอบข้าที ท่านทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”
“หลังจากท่านแม่ให้กำเนิดข้านางเองก็รู้ดีว่าหากปล่อยข้าให้อยู่ในพรรคมารต่อไป ยากนักที่ข้าจะมีชีวิตรอดจนเติบใหญ่ได้ นางจึงได้ให้ท่านน้าจินเหยียวนำตัวข้าออกมาจากพรรคมาร เรื่องนี้จะเป็นความผิดของท่านได้อย่างไรกัน”
“ท่านพ่อ..ในเมื่อท่านไม่ได้ทำผิด.. เหตุใดยังต้องรู้สึกผิดด้วยเล่า”
น้ำเสียงของหลิงหยุนนั้นหนักแน่นและมีพลัง จนสามารถแทงทะลุเข้าไปถึงจิตใจของหลิงเสี่ยวได้..
หลังจากนิ่งไปนาน..ในที่สุดหลิงหยุนก็พูดต่อว่า “ท่านพ่อ.. ข้าเองก็ไม่รู้ว่าท่านแม่จะคิดเช่นเดียวกับท่านหรือไม่”
“แต่ต่อให้ท่านแม่คิดเช่นเดียวกับท่านข้าก็ไม่เห็นด้วยอยู่ดี!”
“พวกเราต่างก็เป็นเพียงแค่มนุษย์และไม่มีมนุษย์คนใดที่ดีพร้อมไปเสียทุกด้าน!”
“การที่มนุษย์เรามีชีวิตเกิดมานั้น..สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักมีความสุข มนุษย์เราไม่ควรเกิดมาเพื่อเศร้าเสียใจ..”
ทั้งคำพูดและน้ำเสียงของหลิงหยุนนั้น ล้วนเสียดแทงเข้าไปในใจของหลิงเสี่ยว..
“หลิงหยุน..ทำไมถึงพูดจากับพ่อแบบนี้ เรื่องบางเรื่อง.. ก็ไม่ควรพูดถึง..”
ไม่รู้ว่าต่งยั่วหลานเดินออกมาจากครัวตั้งแต่เมื่อใดเมื่อเห็นว่าคำพูดของหลิงหยุนเสมือนใบมีดที่กรีดลงไปบนจิตใจของหลิงเสี่ยว นางก็รีบออกมาห้ามด้วยความเป็นห่วงทันที..
“ท่านป้าต่ง..ท่านพ่อทุกข์มานานถึงสิบแปดปีแล้ว ยังไม่เพียงพออีกงั้นรึ”
“วันนี้ข้าในฐานะลูกชาย..ไม่อาจทนเห็นท่านพ่อของข้าต้องทุกข์ใจเช่นนี้อีกต่อไปได้!”
หลิงหยุนหันไปตอบต่งยั่วหลานและต่งยั่วหลานก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะคำพูดของหลิงหยุนนั้นล้วนมีเหตุมีผล แม้แต่คนธรรมดาทั่วไปหากได้ฟัง ก็ย่อมเข้าใจได้ง่ายๆ..
ระหว่างที่หลิงเสี่ยวกำลังจะอ้าปากพูดออกมานั้นจู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าเลือดภายในกายของตนนั้นเริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว และมากระจุกอยู่ที่ลำคอ หลิงเสี่ยวจึงรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น..
แล้วเลือดสีแดงคล้ำก็พุ่งกระฉูดออกจากปากของหลิงเสี่ยวกระจายอยู่เต็มพื้นทันที!
“ห๊ะ!”
ต่งยั่วหลานร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นหลิงเสี่ยวกระอักเลือดออกมาเช่นนั้นนางวิ่งตรงไปด้านหลังของหลิงเสี่ยว และเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลังให้กับเขาอย่างรวดเร็ว!
“ท่านพี่..ท่านเป็นยังไงบ้าง อย่าโมโหโทโสไปเลย หลิงหยุนเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้เอง..” จากนั้นต่งยั่วหลานก็เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนสายตาของนางที่จ้องมองหลิงหยุนนั้น คล้ายจะบอกว่าให้หลิงหยุนรีบขอโทษหลิงเสี่ยวผู้เป็นพ่อ แต่กลับพบว่าหลิงหยุนกำลังนั่งยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข..
หลิงเสี่ยวแบกรับความทุกข์ใจแสนสาหัสนี้มานานถึงสิบแปดปีการที่เขากระอักเลือดออกมาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าความเจ็บปวด ความอัดอั้นตันใจ และความหนักหน่วงในใจตลอดหลายปีนั้น ได้ถูกกำจัดออกไปพร้อมกับกองเลือดกองนี้แล้ว!
“หลิงหยุน..นี่เธอ..”
ต่งยั่วหลานเป็นเพียงหญิงธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องวรยุทธจึงไม่เข้าใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เธอรู้เพียงแค่ว่าการที่หลิงเสี่ยวกระอักออกมาเป็นเลือดนั้น เพราะโมโหหลิงหยุนมาก เมื่อได้เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของหลิงหยุนเช่นนั้น สีหน้าของต่งยั่วหลานจึงเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงขึ้นมาทันที..
“ข้าไม่เป็นอะไร..” หลังจากกระอักเลือดออกมา..หลิงเสี่ยวกลับดูผ่อนคลายขึ้นมาก เขาจ้องมองกองเลือดสีแดงคล้ำนั้นอยู่นาน จากนั้นจึงหันไปพูดกับต่งยั่วหลานที่กำลังตกใจว่า..
“ยั่วหลาน..ที่หลิงหยุนพูดกับข้าเช่นนั้น ก็เพื่อช่วยให้ข้าสามารถขจัดความทุกข์ทรมานใจแสนสาหัสตลอดหลายปีออกจากจิตใจต่างหาก เจ้าอย่าได้ตกอกตกใจไป..”
“ห๊ะ!”
ต่งยั่วหลานร้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อได้รู้ความจริงและสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนใจด้วยความรู้สึกผิด..
แต่หลิงหยุนกลับขยิบตาให้กับต่งยั่วหลานพร้อมกับยิ้มให้อย่างไม่รู้สึกอะไร ความรักและความเป็นห่วงเป็นใยที่ต่งยั่วหลานมีหให้กับพ่อของเขานั้น ทำให้หลิงหยุนรู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก จึงได้พูดกระเซ้าเย้าแหย่ไปว่า..
“ท่านพ่อ..ท่านเห็นหรือไม่ว่าท่านป้าต่งเป็นห่วงเป็นใยท่านมากเพียงใด! นี่ถ้าข้าไม่ใช่ลูกของท่านพ่อ ท่านป้าต่งคงไล่ข้าออกจากบ้านไปแล้ว”
“เอ่อ..”ต่งยั่วหลานถึงกับหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
“เจ้าเด็กคนนี้นี่!”หลิงเสี่ยวทำเสียงดุหลิงหยุน..
หลังจากที่หลิงเสี่ยวกระอักเลือดออกมาแล้วเขากลับรู้สึกโล่ง และดูเหมือนเลือดลมในกายจะไหลเวียนได้ราบรื่นกว่าก่อนมาก สภาพจิตใจก็แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง การพูดการจาจึงค่อนข้างผ่อนคลายขึ้นมาก..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยจากนั้นจึงเรียกยันต์บำบัดออกมาสองแผ่นยื่นให้กับหลิงเสี่ยว เพราะเวลานี้ฝ่ามือทั้งสองข้างของเขายังคงมีเลือดไหลไม่หยุด
หลิงเสี่ยวตอบอย่างลังเลใจ“น่าเสียดายยันต์ของเจ้า แผลเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ข้าทายาทำแผลก็เพียงพอแล้ว”
“ท่านพ่อ..ท่านใช้ยันต์นี่รักษาบาดแผลจะดีกว่า เห็นหรือไม่ว่าท่านป้าต่งดูร้อนใจมากแล้ว!”
หลิงหยุนกระเซ้าเย้าแหย่หลิงเสี่ยวกับต่งยั่วหลานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม..
“เจ้าเด็กคนนี้นี่..”
ต่งยั่วหลานถูกหลิงหยุนเย้าแหย่เช่นนั้นก็ถึงกับใบหน้าแดงก่ำและกำลังจะหนีเข้าครัวต่อ แต่ก็เหลือบไปมองกองเลือดที่พื้นอย่างลังเลใจ หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบร้องบอกต่งยั่วหลานทันที
“ท่านป้าต่ง..ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!”
******
ในบทที่1184 ผู้แปลได้พิมพ์คำว่า ‘ไม่’ ตกไป ทำให้ความหมายผิดไปคนละเรื่อง จึงขอแก้ไขใหม่ดังนี้..
“ส่วนซือกงวู่ฉิงนั้น..เจ้าช่วยข้าสืบดูว่าเวลานี้มันซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่ เพราะมันคือศัตรูที่อันตรายมากของข้า และเวลานี้ข้าก็เชื่อว่ามันยังไม่รู้ว่าซือกงถูพ่อของมันยังไม่ได้ถูกข้าสังหารตาย!”