รถวิ่งไปบนถนนด้วยความเร็วระดับกลาง หลินหว่านฝ่ามือชื้นเหงื่อ กำสายคาดบนตัวไว้แน่น ถึงแม้เธอตัดสินใจไปแล้ว่าจะถามอันจี๋ถิง ทำให้เธอยังตื่นเต้นกระวนกระวายใจอยู่บ้าง “จิ่งสือคะ ร…เราไม่ไปได้ไหมคะ? ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” ท่าทางหลินหว่านที่ตื่นเต้นทั้งเปราะบางขนาดนี้ กับยามปกติที่สงบเย็นชานั้นออกจากแตกต่างไปบ้าง ซึ่งในสายตาของเซียวจิ่งสือแล้ว มันน่ารักสุดๆ ไปเลย
“คุณว่าผมจะยอมปล่อยคุณกลับบ้านไหม? มาตั้งครึ่งทางแล้ว คุณจะหนีไปแบบนี้ได้ที่ไหนกัน ตอนนี้ นอกจากคุณจะไปหาคุณหลาง ด้วยกันกับผมแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่น” พูดจบ เซียวจิ่งสือก็กระแทกเท้ากับคันเร่งบึ่งรถให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณอย่าดึงสายคาดนิรภัยฉันสิ ถ้าเสียคุณต้องชดใช้ให้ด้วย!” พอเห็นว่าหลินหว่านตื่นเต้น เซียวจิ่งสือก็เริ่มหาเรื่องหยอกเย้าให้เธอหัวเราะ
“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมเซียวจิ่งสือสามารถปั้นคุณให้เป็นผู้กำกับที่มีชื่อได้แน่ ถ้าหากวันนี้คุณถามความจริงทั้งหมดกับคุณหลางแล้ว ยังไม่ยอมให้อภัยเธออีก ผมก็จะสนับสนุนคุณเอง ถ้าหากคุณให้อภัยเธอได้ ผมก็ดีใจไปกับพวกคุณด้วย สำหรับผม ความสุขของคุณสำคัญที่สุด”
ไม่เสียทีที่เป็นนักเขียนบทใหญ่ การตกแต่งภายในห้องทำงานจัดว่าอยู่ชั้นหนึ่ง ถ้าหากโยนบุญคุณความแค้นของเธอกับอันจี๋ถิงทิ้งไป หลินหว่านเองก็อยากจะมีห้องทำงานส่วนตัวแบบนี้บ้างเหมือนกัน มันดูเรียบง่ายแต่ก็ดูโอ่อ่าเลยทีเดียว “ท่านประธานเซียว? คุณหลางกำลังเข้าประชุมอยู่ เชิญท่านประธานเซียวกับคุณหลินทางด้านนี้ค่ะ” ช่างสมกับที่เป็นนักเขียนใหญ่ แม้แต่ผู้ช่วยยังรู้จักดูแลต้อนรับไม่บกพร่องหลินหว่านมองไปรอบๆ ห้องทำงานนี้จัดแต่งเรียบง่ายมาก ผนังสีขาวล้วน โต๊ะ โซฟา เก้าอี้ สีเทาดำ ให้ความรู้สึกภูมิฐาน เป็นระเบียบเรียบกริบ ดูเหมือนว่าความมีระเบียบเรียบร้อย ที่เป็นคุณสมบัติของคนเป็นภรรยาและแม่ที่ดี รวมถึงผู้หญิงที่มาจากครอบครัวที่ดีมาตลอด พอมาใช้กับสไตล์การตกแต่งห้องกลับดูโดดเด่นสะดุดตาขึ้นมา
อันจี๋ถิงเพิ่งเลิกประชุมออกมา ผู้ช่วยก็มาแจ้งกับเธอว่าเซียวจิ่งสือกับหลินหว่านรอเธออยู่ในห้องทำงาน พอได้ฟังเช่นนั้นอันจี๋ถิงก็รู้สึกปั่นป่วนใจขึ้นมา “คุณช่วยดูฉันหน่อยสิ ดูโอเคไหมคะ? ไม่มีอะไรไม่เรียบร้อยใช่ไหมคะ? หรือว่าเลอะอะไรหรือเปล่า?” อันจี๋ถิงรีบจัดระเบียบตัวเองจนแน่ใจแล้วว่าตัวเองเรียบร้อยดี จึงเปิดประตูเข้าห้องทำงาน
“จิ่งสือ ส…เสี่ยวหว่าน ทำไมพวกคุณมานี่ได้ล่ะ?” พอเห็นลูกสาว อันจี๋ถิงก็ลนลานปั่นป่วนขึ้นมาอยู่บ้าง
หลินหว่านมองเธอนิ่ง ไม่พูดอะไรเลย อันจี๋ถิงพอเห็นว่าหลินหว่านไม่พูด ก็ตื่นเต้นจนถูมือไปมา สีหน้าบอกชัดว่าว้าวุ่นปั่นป่วนใจ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเซียวจิ่งสือ “คืออย่างนี้ครับ คุณน้าหลาง เสี่ยวหว่านมีเรื่องอยากจะถามคุณครับ” เซียวจิ่งสือเอ่ยปากขึ้นในเวลาเหมาะเหม็ง เพื่อคลี่คลายบรรยากาศอึดอัดขัดข้องนี้ และช่วยละลายความเย็นเฉียบที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในอากาศ
“จริงเหรอคะ? เสี่ยวหว่าน ลูกมีอะไรจะถามแม่? แม่จะบอกลูกทั้งหมดเลย” พอฟังว่าตัวเองสามารถช่วยลูกสาวได้ อันจี๋ถิงก็อดดีใจบ้างไม่ได้
“ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณช่วยอะไรมาก ฉันแค่อยากให้เราคุยกันให้รู้เรื่องว่า ทำไมคุณทิ้งฉันไป ทำไมไม่รับฉันไปด้วย ต่อให้ไม่พาฉันไปด้วย ทำไมถึงต้องโกหกฉันว่าคุณตายไปแล้ว?” หลินหว่านพูดความในใจออกมาในที่สุด แล้วถอนใจอย่างโล่งอก
คราวนี้ถึงทีอันจี๋ถิงตึงเครียดบ้าง เธอกลัวว่าความจริงที่ตัวเองพูดออกมาลูกสาวจะไม่เชื่อ หรือไม่ลูกก็เชื่อแต่ไม่ยอมให้อภัยเธออยู่ดี
แต่ในเมื่อได้ฟังคำถามของลูกแล้ว นอกจากบอกความจริงออกไปแล้ว เธอไม่มีทางอื่นอีก “อันที่จริง ตอนนั้นแม่ไม่ได้คิดจะทิ้งลูกไว้คนเดียว แม่อุ้มท้องลูกมาตั้งสิบเดือน ต่อให้ใจร้ายแค่ไหน แม่ก็ทิ้งลูกที่ยังเล็กไว้แล้วหนีไปคนเดียวไม่ได้หรอก แต่พ่อของแม่ คุณตาของลูกอันโฮ่วสยง เขาคิดแต่จะส่งตัวแม่ไปแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์ทางธุรกิจ”
“ถึงแม่จะคลอดลูกออกมาแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความคิดนั้น แม่กลัวว่าเขาจะทำร้ายลูก จึงจำใจต้องทิ้งลูกไป ส่วนพ่อของลูก…เฉิงหมิง แม่ต้องการหลบหน้าเขา จึงไม่ได้บอกเรื่องของลูกให้เขารู้ ส่วนบ้านตระกูลอันนั้น เข้าใจมาตลอดว่าแม่หลบซ่อนตัวเพราะกลัวว่าต้องเจอกับเรื่องขายหน้าแบบนั้น แต่ว่าเสี่ยวหว่าน แม่ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ตอนนั้นแม่ตกหลุมพรางที่เขาดักไว้ ถูกทำร้ายจนเสียโฉม จึงหายตัวไปตั้งนานขนาดนี้”
“ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้น ลูกก็พอจะรู้อยู่แล้ว…” อันจี๋ถิงน้ำตาไหลพราก เธอทั้งร้อนใจ เป็นกังวลและละอายแก่ใจไปด้วยกัน
หลินหว่านก็ร้องไห้ด้วยเหมือนกัน เธอมีชีวิตอยู่ในหลายปีมานี้ เข้าใจมาตลอดว่าแม่ตายไปแล้ว จู่ๆ ก็มีอันจี๋ถิงโผล่มาว่าเป็นแม่ แน่นอนว่าตอนแรกเธอยอมรับไม่ได้ แต่พอได้ฟังคำพูดของอันจี๋ถิง รู้ว่าแม่ก็ผ่านความยากลำบากมาเช่นกัน หลินหว่านลุกขึ้นเดินเข้าไปกอดอันจี่ถิงเอาไว้ “อย่าร้องไห้เลยนะคะ ตอนคุณทำงานดูสวยกว่าอีก”
“ดีเลย ผมหิวแล้ว พวกเราไปทานข้าวกันเถอะ?” พอเห็นสองสาวร้องไห้กันระงม เซียวจิ่งสือก็อยากหาโอกาสให้พวกเธอได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน จึงเริ่มทำตัวเป็นยาประสานใจ
“ใช่ๆๆ เสี่ยวหว่าน ลูกหิวแล้วใช่ไหม? แม่จะพาพวกเธอไปทานข้าวนะ” อันจี๋ถิงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าดวงตาของลูกเพิ่งจะหายดีได้ไม่นาน ยังร้องไห้มากไม่ได้
เซียวจิ่งสืออยู่บนรถ ตลอดทางเขาพูดน้อยมาก นอกจากคุยกับอันจี๋ถิงเรื่องบทหนัง กับถามหลินหว่านว่าอยากกินอะไรแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอื่นอีก เดิมทีเส้นทางก็ไม่ใกล้อยู่แล้ว พอบวกกับเป็นเวลาเลิกงานเข้าอีก บรรยากาศความเงียบงันในรถทำเอาเซียวจิ่งสือแทบจะเป็นบ้า อุตส่าห์ทนจนมาถึงร้านอาหาร หลินหว่านเปิดประตูรถลงมาเอง แล้วยืนรอเซียวจิ่งสือกับอันจี๋ถิงที่หน้าร้าน ปรากฏว่าเซียวจิ่งสือเจ้าเด็กผีนั่น รีบวิ่งลงจากรถมาเปิดประตูที่นั่งด้านหลัง แล้วพูดว่า “คุณแม่ครับ ระวังศีรษะด้วยครับ”
อันจี๋ถิงฟังแล้วก็ยิ้มไม่พูดอะไร แต่หลินหว่านพอได้ยินเข้าเท่านั้นก็ได้เรื่อง “เซียวจิ่งสือ ใครอนุญาตให้คุณเรียกแม่ฉันว่าแม่ หา?” อันจี๋ถิงนิ่งงันไป เมื่อกี้ ลูกยอมรับเธอเป็นแม่แล้วอย่างนั้นเหรอ? ส่วนเซียวจิ่งสือนั้น ยังแลบลิ้นให้หลินหว่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “ผมอนุญาตตัวเองไง!”
หลินหว่านเห็นเซียวจิ่งสือทำท่าเป็นเด็กโข่งแล้วก็ได้แต่โมโหกับขันไปเท่านั้น แต่พอรู้สึกตัวว่ามีสายตาเปี่ยมความรู้สึกมากมายจ้องมาที่ตัวเอง เธอก็รู้สึกตัวว่าเมื่อครู่ดูเหมือนตัวเองจะยอมรับไปแล้วว่าอันจี๋ถิงเป็นแม่ เฮ้อ ช่างเถอะๆ ไม่สนแล้ว!
หลังอาหาร เซียวจิ่งสือก็เรียกร้องว่าจะพาสองแม่ลูกไปเดินซื้อของกัน หลินหว่านถึงยังไงก็เป็นดารา เสื้อผ้าสวมนานนักไม่ได้ ชุดออกงานยังต้องเตรียมไว้สิบกว่าชุด เมื่อก่อนเขาเคยเห็นห้องแต่งตัวของหลินหว่าน ดูเหมือนต้องซื้อหามาตุนบ้างแล้ว ดังนั้นเสื้อผ้าที่หลินหว่านสนใจมองหน่อยก็จะถูกเซียวจิ่งสือเรียกให้พนักงานเอามาให้เธอลองสวม
จากนั้น สภาพในร้านจึงกลายเป็นแบบนี้
หลินหว่าน “ตัวนี้ดูสวยไหม? ดูผอมไปหน่อย…”
เซียวจิ่งสือ “ไม่หรอกไม่ผอมเลย สวยดีออก! คุณแม่ครับ คุณแม่ว่าสวยไหม?”
อันจี๋ถิง “สวยออก! เสี่ยวหว่านใส่อะไรก็ดูสวยทั้งนั้น!”
หลินหว่าน “…”
ตกค่ำ เซียวจิ่งสือส่งอันจี๋ถิงกับหลินหว่านกลับบ้าน อันจี๋ถิงลงจากรถ หันมาบอกลาเซียวจิ่งสือกับหลินหว่าน “จิ่งสือ ขับรถระวังด้วยนะ เสี่ยวหว่านกลับบ้านแล้วก็เข้านอนเร็วหน่อยล่ะ อย่าอยู่ดึกนัก”
“ราตรีสวัสดิ์ครับ คุณแม่!” วันนี้เซียวจิ่งสือเรียกอันจี๋ถิงมาทั้งวันว่า ‘คุณแม่’ โดยไม่สนเลยว่าหลินหว่านจะคัดค้านหรือไม่
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ แม่” หลินหว่านพอเห็นอันจี๋ถิงหันไปแล้ว ก็บอกลาขึ้นมาเบาๆ อันจี๋ถิงไม่รู้ว่าเกิดหูไวขึ้นมาได้ยังไง หันกลับมาพูดว่า “เสี่ยวหว่าน เมื่อกี้ลูกว่าไงนะ?”
“อืม แม่คะ พักผ่อนเถอะค่ะ” พูดจบก็ปิดหน้าต่างรถ