หลังจากที่หลินหว่านคืนดีกับแม่แล้ว ก็คลายปมในใจลงได้ในที่สุด
หลังอาหารเย็น เซียวจิ่งสือวางมือจากงาน ไปเดินเล่นกับหลินหว่านในสวน
“เซียวจิ่งสือ ขอบคุณนะคะที่ให้กำลังใจฉันขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ของฉันกับแม่คงยังยุ่งเหยิงอยู่เลย”
“ขอบคุณผมทำไมกัน เรื่องของคุณก็เป็นเรื่องของผมเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว นอกจากนี้…” เซียวจิ่งสือหันมาทางหลินหว่าน สองมือวางบนบ่าของหลินหว่าน “คุณยังไม่รู้ว่าผมคิดยังไงอีกหรือ” ดวงตาสดใสเป็นประกายของเซียวจิ่งสือบอกความรู้สึกแน่วแน่
หลินหว่านสบตาเขา ดวงตาของคนบอกความรู้สึกได้ไม่พลาด อันที่จริงเธอรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเธอก็ยินดีเช่นกัน “เอาเถอะๆ ฉันรู้แล้วค่ะ ไปกันเถอะ”
“ใช่แล้ว ทางกองถ่ายนั่นคุณก็ไม่กลับไปแล้ว คุณสนใจจะมาช่วยงานที่บริษัทผมไหม จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” เซียวจิ่งสือพูดพลางเดินไปด้วย
“อันที่จริง ตอนนี้ฉันอยากเป็นผู้กำกับมากกว่านักแสดง ฉันอยากจะลองใช้กำลังตัวเอง โดยที่คุณไม่ต้องช่วยปูทางให้ฉันค่ะ” หลินหว่านพูดเสียงจริงจัง เธอไม่อยากให้เซียวจิ่งสือต้องมาเหนื่อยใจเพราะเธออีก
“ก็ได้ ถ้าคุณต้องการอะไรก็บอกผมได้เลย ผมจะช่วยคุณเอง”
“ค่ะ ขอบคุณนะ”
ค่ำคืนหนึ่งผ่านไป
วันรุ่งขึ้น หลินหว่านขี้เกียจลุกจากเตียงอยู่บ้าง เธอมองดูเวลาแล้วลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว เมื่อคืนนี้หลินหว่านโทรหาท่านประธานหลี่หลี่อวิ๋นกังที่เป็นนายทุนที่เธอรู้จักมานานแล้วคนหนึ่ง หนังหลายเรื่องที่ท่านประธานหลี่นี้เคยลงทุนมาก่อนส่วนใหญ่ล้วนแต่ดังเปรี้ยงปร้างกันทั้งนั้น หลินหว่านจึงอยากจะนัดเขาออกมาทานข้าวกัน จะได้คุยเรื่องลงทุนกับเธอไปด้วย
เที่ยง โรงแรมชิงอวิ้น คนดังจากวงการต่างๆ พากันมาที่นี่เพื่อทานข้าวและเจรจาการลงทุน
ตอนที่หลินหว่านมาถึงพอดีว่าท่านประธานหลี่ก็มาถึงพอดี
“ท่านประธานหลี่คะ เชิญค่ะ” จากนั้นทั้งสองก็มาที่ห้องทานอาหารด้วยกัน ไม่นานนัก อาหารก็ทยอยขึ้นโต๊ะจนครบ
ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน ระหว่างที่อาหารกำลังเสริฟขึ้นโต๊ะ หลินหว่านก็พบว่าท่านประธานหลี่คนนี้ดูเหมือนจะมีความคิดบางอย่างกับเธอ เพียงชั่วพริบตาที่หลี่อวิ๋นกังหรี่ตาลงคิดในใจว่า เด็กนี่ สวยไม่เบาเลย
หลินหว่านเป็นคนเริ่มเปิดบทสนทนาก่อน เธอไม่อยากอยู่นี่นานเกินไป เป้าหมายของเธอคือ เงินทุน
“อะแฮ่ม” หลินหว่านกระแอม แล้วมองสบตาหลี่อวิ๋นกัง ที่เปลือกนอกยิ้มแย้มราวกับไม่มีจิตคิดร้ายอะไร ขณะที่สายตากลับรุกรานเต็มที่ ประธานหลี่รู้สึกตัว พูดว่า “เสี่ยวหลิน หนังของคุณมันยากอยู่สักหน่อยนะ คุณเองก็ยังไม่มีประสบการณ์ ผมเกรงว่าเงินลงทุนให้คุณจะสูญเปล่านะสิ”
“ท่านประธานหลี่คะ ฉันอาจจะขาดประสบการณ์ไปบ้าน แต่ฉันเชื่อว่าตัวเองจะทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดีค่ะ” สายตาหลินหว่านเป็นประกายคมปลาบ หนังเรื่องนี้ เธอต้องได้ตำแหน่งผู้กำกับ
หลี่อวิ๋นกังกลับแอบหัวเราะเยาะเธอ ขณะที่ปั้นสีหน้าว่าอับจนปัญญา
“งั้นก็ได้ ผมลงทุนให้ก็ได้ หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ผมผิดหวังนะ” เขาคิดในใจว่า ขอแค่หลินหว่านทำมันพังแล้วมาวิงวอนขอร้องเขาก็พอ
กฎเกณฑ์ประเภทนี้ของวงการบันเทิง ความคิดแบบนี้ของนักลงทุน ทำไมเธอจะไม่รู้เล่า ขณะที่ในใจนึกดูแคลนแต่เปลือกนอกยังรักษารอยยิ้มต่อไป หลินหว่านยื่นหนังสือสัญญาให้ท่านประธานหลี่ เจ้านั่นลูบหลังมือหลินหว่านก่อนแล้วรับเอาหนังสือสัญญาไป
“เสี่ยวหลิน คุณต้องพยายามหน่อยนะ” หลี่อวิ๋นกังเซ็นหนังสือสัญญาแล้วยื่นให้เธอ
“ฉันยังมีธุระอีกต้องขอตัวก่อนค่ะ” หลินหว่านหยิบหนังสือสัญญาขึ้นมา ยิ้มบางๆ ที่ไม่บอกความรู้สึกใดๆ แล้วเดินออกจากห้องไป ขณะที่คนทั้งสองที่อยู่ในและนอกห้องต่างก็คิดกันไปคนละทาง
“ฮึ หลินหว่านเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม จะทำงานดีๆ อะไรขึ้นมาได้ พวกคนหนุ่มสาวนี่น๊า ชอบจะคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ซะเหลือเกิน” หลี่อวิ๋นกังพึมพำเสียงเบา
หลินหว่านพอออกจากห้องมาได้ก็แอบถอนใจด้วยความโล่งอก “ประธานหลี่นี่ ดูท่าก็ร้ายไม่เบาเหมือนกัน ต่อไปคงต้องระวังตัวหน่อยแล้ว” หมดปัญหาเรื่องเงินทุนแล้ว ต่อไปก็เรื่องของพวกตัวแสดงนำ กับทีมงานโปรดิวเซอร์ทั้งหลายแล้ว
ยังดีที่หลินหว่านหาโปรดิวเซอร์ที่ตัวเองเชื่อมือมาได้คนหนึ่งชื่ออันหนิง และเธอคิดเอาไว้แล้วด้วยว่าเธอต้องการให้หนังเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้าง “เป็นหนังหักเล่ห์ชิงเหลี่ยมกันภายในหวัง นางเอกไม่เพียงต้องฉลาดเก่งกาจรอบตัว รู้จักจิตใจคน มีความคิดเป็นของตัวเอง แถมยังต้องมีเทคนิคและความสามารถทางการแสดงที่โดดเด่นไม่เหมือนใครอีกด้วย แบบนี้จึงจะอยู่รอดได้ในวงการบันเทิง”
พอเธอคิดได้แล้วหลินหว่านก็ติดต่ออันหนิงให้พรุ่งนี้มาคัดเลือกคนกับเธอที่ห้องทำงาน อันหนิงย่อมจะรู้ว่าหลินหว่านมองคนไม่พลาด เธอเชื่อว่าหลินหว่านจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง
ตกลง อันหนิงตอบรับหลินหว่าน
จากนั้น หลินหว่านก็เปิดสมุดรายนามในโทรศัพท์ หาเบอร์ของเซียวจิ่งสือ
“ตู๊ดๆๆ …”
“หว่านหว่าน? มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“เซียวจิ่งสือ คือว่า…คุณช่วยฉันแจ้งให้พวกนักแสดงหญิงมาเทสต์หน้ากล้องที่สตูดิโอของฉันพรุ่งนี้ได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันยังไม่มีเส้นสายรู้จักคนไม่เยอะเท่าไหร่ คงติดต่อคนมาได้มากนัก”
“ได้เลย ไม่มีปัญหาครับ” เซียวจิ่งสือพูดจบ ก็พิสูจน์ประสิทธิภาพของตัวเองด้วยการกระทำ
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินหว่านกับอันหนิงมาถึงแต่เช้า ทั้งสองเตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ จดเงื่อนไขที่นักแสดงควรจะต้องมีเอาไว้ และยังมีฉากบางฉากที่ต้องเข้าถึงอารมณ์ ซึ่งล้วนเป็นตัวกำหนดเบื้องต้นว่าคุณสามารถเป็นนักแสดงคนหนึ่งได้หรือไม่
ราวเก้าโมงเช้า ทุกคนดูจะมากันครบแล้ว คนที่มาส่วนใหญ่เป็นเด็กใหม่จำนวนหนึ่ง และยังมีคนไม่มากนักที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนังที่หลินหว่านกำกับเป็นเรื่องแรก ไม่มีดาราดังมาเป็นเรื่องปกติ แต่เธอก็ไม่ได้ท้อใจเลย
หลินหว่านแจ้งผู้ช่วยให้พวกเขาจับสลากเพื่อเรียงตามลำดับ สิบนาทีให้หลัง คนแรกก็เข้ามา
หญิงสาวที่เข้ามาแต่งหน้าเข้มจัด รองพื้นหนาเตอะราวสามซม.ได้! หลินหว่านเกือบจะไล่เธอออกไปแล้ว เห็นที่นี่เป็นอะไร? โรงละครรึไง?
“เอาล่ะ เธอแสดงฉากนี้นะ เป็นตอนที่นางเอกพบว่าพระเอกทิ้งเธอไปแล้ว อยู่ในอารมณ์เศร้าเสียใจสุดๆ เริ่มแสดงได้”
พอบอกให้เริ่มก็แสดง “จวินมั่ว ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้! คุณจะทิ้งฉันไปเพราะนางจิ้งจอกนั่นรึไง…” หญิงสาวร้องไห้โฮราวกับดอกไม้ต้องฝน แต่ก็ยังไม่ใช่แบบที่หลินหว่านต้องการ
“เอาล่ะ ขอบคุณ คนต่อไป”
คนที่สอง แสดงฉากถูกทิ้งเหมือนกัน “ถ้าคุณกล้าทิ้งฉัน ฉันจะไปโดดน้ำฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เลย! ถึงต้องตายเป็นผีฉันก็ไม่ปล่อยคุณแน่” หลินหว่านกุมขมับ นักแสดงรุ่นใหม่พวกนี้คงดูละครน้ำเน่ามากไปหน่อยกระมัง เหลือเกินจริงๆ
“คนต่อไป”
คนที่สาม ที่สี่…จนถึงคนที่สามสิบ ดูเหมือนจะแสดงออกมาเหมือนกันไปหมด ไม่มีอะไรให้ลุ้นเลยสักนิด “นี่จะไม่มีสักคนที่เข้าตาฉันบ้างรึไงนะ?” หลินหว่านพูดพลางถอนใจเฮือก
“เอาเถอะ คนสุดท้าย” “คุณช่วยแสดงตอนที่นางเอกเศร้าเสียใจสุดซึ้งเพราะถูกพระเอกทอดทิ้ง”
“ค่ะ” จากนั้น ดวงตาทั้งคู่ของเธอก็มองตรงไปข้างหน้าด้วยสายตาเวิ้งว้างว่างเปล่า น้ำตาสองหยดหลั่งออกมา แล้วเธอก็พุ่งเข้าไปดึงแขนนักแสดงฝ่ายชายที่ร่วมแสดงด้วย พูดแค่ว่า “จวินมั่ว ชาตินี้เราไม่ต้องเจอกันอีก” จากนั้นก็หมุนตัวจากไปโดยไม่เหลียวกลับมาอีก
หลินหว่านประทับใจมาก “ใช่ๆ ใช่เลย นี่แหละที่ฉันต้องการ!” หลินอันหรัน ฉันจำเธอได้แล้ว
พวกเขามองดูกันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากถกเถียงกันสักพัก ก็เลือกได้ตัวประกอบหญิงที่ฝีมือแสดงค่อนข้างโดดเด่นกว่าคนอื่นออกมาอีกหลายคน
“โอเค เด็กใหม่ทุกคนเข้ามาได้” ผู้ช่วยกวักมือเรียกพวกเขา
ตอนต่อไป →