เคลเมนต์ลอยตัวอยู่ท่ามกลางความมืดที่ด้านนอกถ้ำและจับตาดูสถานการณ์ภายในด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ทั้งลวดลายแสนพิสดารและความเกลียดชังกับความสิ้นหวังอันเข้มข้นได้หายไปแล้ว หากมิใช่เพราะกลิ่นไอเหนือธรรมชาติที่ยังหลงเหลืออยู่ในสถานที่แห่งนี้ คงมิมีผู้ใดคาดเดาได้ว่าที่นี่เพิ่งจะมีการทำพิธีกรรมเวทมนตร์ขนาดเล็กขึ้น ถึงกระนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงเนื้อหาใจความของพิธีกรรมและไม่รู้เลยว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่กว่านี้หรือไม่

เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่กลิ่นไอเหนือธรรมชาติเลือนหายไปกับบริเวณโดยรอบ ทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นย่อมถูกกลบฝังไว้ในสายธารแห่งประวัติศาสตร์

เคลเมนต์ใช้เวทพยากรณ์ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหวังว่าจะพระผู้เป็นเจ้าจะมอบสิ่งดลใจให้ ทว่า เขากลับได้รับแต่สิ่งที่รู้อยู่แล้ว

“คนผู้นี้แข็งแกร่งพอๆ กันกับข้า และเขาก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ข้าจะทำลายถึงสถานการณ์ที่แท้จริง แม้แต่เจ้าแห่งนรกยังทำเช่นนั้นมิได้…” เคลเมนต์ขมวดคิ้วมุ่น หากว่าเจ้าแห่งนรกอยู่ที่นี่ยามที่มันเกิดขึ้น เขาคงจะต้องล่วงรู้ถึงความจริงเป็นแน่ แต่เขาอยู่ไกลถึงมหาสมุทรไร้พรมแดนและนรกขุมที่เก้าก็ไกลเสียยิ่งกว่า ตอนที่เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความรู้สึกอันผิดแปลก โอกาสนั้นก็หายไปเสียแล้ว

เคลเมนต์หยุดใช้พลังศักดิ์สิทธิ์แล้ววิเคาะห์กับตนเองถึงตัวผู้ต้องสงสัย “เขาแข็งแกร่งพอกันกับข้า…ในซาน อีวานเบิร์กมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่จะตรงกับคุณสมบัตินี้ เว้นแต่ว่าอีกฝ่ายจะมาจากภายนอก แต่ในกรณีเช่นนั้น พวกเขาย่อมไม่มีทางเตรียมการภายในซาน อีวานเบิร์กที่อยู่ในการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดของเราได้อย่างเต็มที่เป็นแน่…ใช่แล้ว พลังแห่งความรู้สึกแง่ลบจำต้องมี ‘ภาชนะ’ ที่มีระดับพลังต่ำกว่าเพียงหนึ่งขั้นเท่านั้น ข้าต้องไปตรวจดูว่าผู้ใดหายตัวไป…”

ในเมื่อตอนนี้ผู้ต้องสงสัยได้กระทำการแปรสภาพไปเรียบร้อยแล้ว เคลเมนต์จึงไม่รีบร้อนหาคำตอบว่าพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ในคริสตจักรใหญ่ๆ นั้นเป็นตายร้ายดีเช่นไร เขากลับรั้งรออย่างใจเย็นจนถึงเช้าวันต่อมา ก่อนจะไปเยี่ยมเยือนพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญทีละคนๆ

“ความเห็นของเจ้าสำคัญมาก ข้าจะพิจารณาดู…” ที่นอกคริสจักรนักบุญเฟลิกซ์ เคลเมนต์บอกลาพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญอีกคนที่ได้รับสืบทอดพลังมาจากนักบุญเฟลิกซ์ ขณะที่เขารู้สึกสับสนมึนงงอย่างยิ่ง

ไม่มีพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญคนใด รวมถึงตัวเขา หายตัวไป หากพวกเขาไม่อยู่ในอารามหลักทั้งหลายในคริสตจักรนักบุญอีวาน ก็จะอยู่บริเวณสำคัญที่พวกเขาคอยให้การคุ้มกัน หลังจากที่เขาติดต่อหาคนเหล่านั้น เขายังยืนยันด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนอีกด้วย มันเป็นเช่นเดียวกันนี้กับพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญคนอื่นๆ อัศวินศักดิ์สิทธิ์ และอัศวินชั้นตำนานในจักรวรรดิ มีเพียงบางคนที่ออกไปทำภารกิจลับเท่านั้นที่ติดต่อมิได้ แต่มันหาได้มีสัญญาณใดที่บ่งบอกว่าพวกเขาสิ้นชีพแล้ว

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็หมายความว่ามันหาได้มี ‘ภาชนะ’ ที่ใช้การได้ หรือว่าผู้ต้องสงสัยที่แปรสถานภาพสำเร็จจะจับตัวผู้มีพลังชั้นตำนานจากที่อื่น หรือผู้ที่อยู่อย่างสันโดษมากันนะ ก่อนที่จะทันรู้ตัว เขาก็พบว่าตนเองได้มาหยุดอยู่หน้าคริสตจักรนักบุญอีวานเสียแล้ว

‘พระสังฆราชคงไม่ถูกใช้ป็นภาชนะหรอกกระมัง’ ความคิดนั้นพลันผุดขึ้นในหัวเคลเมนต์ คนปกติทั่วไปคงไม่อาจหาญถึงเพียงนั้น แต่หากว่าผู้ลงมือทำคือคนวิปลาสเล่า

ด้วยความคิดนั้น เคลเมนต์จึงเดินเข้าไปในคริสจักรนักบุญอีวานและขอเข้าพบพระสังฆราชเบลคอฟสกี

หลายนาทีให้หลัง เขาก็ได้พบกับเบลคอฟสกีที่มีรูปลักษณ์สูงใหญ่กำยำเหมือนหมีในห้องสมุด เสียงของเขายังคงดังก้องเช่นเดิม ดวงตาเขาเป็นสีเหลือง และจมูกเชิดสูง

“เคลเมนต์ เจ้ามีความคิดเช่นไรรึ” เบลคอฟสกีเอ่ยเป็นนัยๆ ว่าเขาทราบแล้วว่าวันนี้เคลเมนต์ได้ไปเยี่ยมเยือนพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญและอัศวินชั้นตำนานในจักรวรรดิเป็นจำนวนมาก

เคลเมนต์ตื่นตะลึงมากทีเดียว เขาเอาแต่วิตกกังวลจนเกินไป แท้จริงแล้วเขาควรจะทำเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นในสองสามวัน หากมิใช่เพราะการหยั่งรู้ถึงปีศาจแห่งบรรพกาลและพลังแห่งความรู้สึกของเจ้าแห่งนรก เขาคงจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น และการไปเยี่ยมเยือนคนจำนวนก็อาจส่งผลร้ายต่อเขาได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตอบด้วยอาการลนลาน “เหล่าสัตว์ประหลาดในสภามืดได้กลืนพื้นที่หลายอาณาจักรทางตอนเหนือของเทือกเขาไร้แสงแล้ว และยังคุกคามพระแม่แห่งปฐพี ข้าเกรงว่าพระแม่แห่งปฐพีจะไปเข้าร่วมกับพวกนั้นจึงได้ลอบพยายามหยุดยั้งมันมาโดยตลอด ข้าไปพูดคุยกับเหล่าพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญกับอัศวินชั้นตำนาน ด้วยคิดจะเสนอคำแนะนำหลังจากที่เราได้ความเห็นส่วนใหญ่ที่ตรงกันแล้วขอรับ”

“เจ้าควรจะมาพูดคุยกับข้าเสียก่อนหากเจ้ามีคำถามอะไร” เบลคอฟสกีไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะพวกเขาคือศาสนจักรฝ่ายเหนือ พวกเขาแตกต่างจากศาสนจักรฝ่ายใต้ที่อำนาจสูงสุดอยู่ในมือของพระสันตะปาปา และการติดต่อกันเป็นการส่วนตัวในระดับใหญ่เช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการไม่ให้ความเคารพผู้แทนพระเจ้าบนแดนดิน

ในศาสนจักรฝ่ายเหนือ อำนาจเป็นของพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญทุกคน และพระสังฆราชมีอำนาจเพียงเรียกชุมนุม เพียงแต่เสียงของเขาจะมีผู้รับฟังมากกว่าคนอื่นๆ เพราะว่าเขาแข็งแกร่งกว่าก็เท่านั้น

แน่นอนว่า ในยามปกติ ย่อมไม่มีพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญคนใดกล้าท้าทายอำนาจของพระสังฆราช

เคลเมนต์โล่งใจ ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางนบนอบ “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อขอคำแนะนำจากท่านขอรับ”

หลังจากปรึกษาหารือถึงสถานการณ์ปัจจุบันเสร็จ เคลเมนต์ก็กลับมายังคริสตจักรนักบุญจีโน่และครุ่นคิดหาจุดที่ตนมองข้ามไป ทว่า เขากลับไม่อาจหาคำตอบได้ว่าการแปรสถานภาพแสนลี้ลับนี้ใช้อะไรเป็น ‘ภาชนะ’ กันแน่ ในเมื่อมีผู้มีพลังชั้นตำนานเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!

จากนั้นเขาก็คิดกับตนเอง ‘ข้ายังต้องใช้วัตถุดิบพิเศษอีกหลายอย่างเพื่อสร้างภาชนะของข้า หรือข้าควรจะยืมบางส่วนมาจากเจ้าแห่งนรกดีนะ…ไม่สิ เขาไม่รู้ว่าข้าหาได้ใช้พลังแห่งความรู้สึกแง่ลบแต่พึ่งพาพลังจากคัมภีร์แห่งศีลธรรม…หากเพียงแต่ร่างของนักบุญจีโน่จะใช้ได้ล่ะก็นะ ร่างอันศักดิ์สิทธิ์และพลังที่สั่งสมมานานหลายร้อยปีย่อมเพียงพอให้ข้าเลื่อนขั้นพลังไปถึงชั้นตำนานระดับสูงสุดและทะลวงผ่านขึ้นไปอีก ร่าง! ร่างของเหล่านักบุญ!’

เคลเมนต์พลันนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่ง กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขากระตุกยิกด้วยความตกตะลึง ‘เป็นหนึ่งในพวกเขาจริงๆ หรือ’

เขาคุกเข่าลงกับพื้นและทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนแนวนอนบนอก หลังจากหลับตาลง แสงสว่างเจิดจ้าของเทวภาพก็พลันปรากฏขึ้นบนร่างเขา แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มแสง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเทวทูตแห่งแสงที่มีดวงตาสีทอง จากนั้น สีดำ ขาว และเทาอันทึบทึมนิ่งเงียบก็เข้าครอบงำพื้นที่

ภายในอารามแห่งวิญญาณ ในโลกแห่งวิญญาณ…

โลงศพเหล็กสีดำทั้งห้าตั้งอยู่ โดยมีกลุ่มบอลแสงแห่งเทวภาพที่ดูผิดปกติและไม่อาจจับต้องได้ลอยอยู่เบื้องหน้าหรือด้านบน ฉับพลันนั้น บางอย่างก็คล้ายจะบินโฉบเข้าไปในบอลลูกหนึ่ง ทำให้มันเปล่งแสงสว่างขึ้นและใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเทวทูตแห่งแสงที่มีปีกหกปีกอยู่บนแผ่นหลัง

สติสำนึกรู้ของเคลเมนต์ยึดเข้ากับรัศมีแห่งเทวภาพ แล้วเขาก็มองไปรอบห้องแห่งพระจิต ซึ่งเงียบเชียบดั่งสุสาน พลางสัมผัสถึงกระแสเวลาในนั้น

“เป็นผู้ใดกัน” เคลเมนต์มองไปทางโลงศพทั้งสี่โลงด้วยความลังเลใจ หากว่าเขาเปิดผิดโลง พระคาร์ดินัลชั้นนักบุญที่เกี่ยวข้องย่อมสัมผัสถึงมันได้ และเขาคงจะหาคำมาอธิบายได้ยากมากว่าทำเช่นนี้เพราะเหตุใด แม้ว่าเขาจะไม่ถูกตัดสินโทษประหาร แต่เขาย่อมถูกมองว่าเป็นผู้วางแผนการร้ายที่แสนทเยอทะยานในสายตาสหายและถูกเนรเทศ

เขาใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ ด้วยหวังว่ามันจะบอกใบ้เขาสักนิด แต่ผลจากเวทพยากรณ์กลับมีหลากหลายและบ่งชี้ไปที่โลงศพทุกโลง

เคลเมนต์ส่ายศีรษะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเจ้าแห่งนรกคือผู้อยู่เบื้องหลังเขา เขาจึงตัดสินใจได้ และพร้อมจะตรวจสอบเป้าหมายที่เขาสงสัยมากที่สุด!

เขาเดินตรงไปข้างหน้าจนหยุดอยู่หน้าโลงศพของนักบุญอีวาน ซึ่งวางในแนวตั้ง เขายื่นมือขวาออกไปพร้อมกับที่ปีกเทวทูตโบกสะบัด และเคลื่อนฝาโลงให้เปิดออก

แอ๊ด

เสียงเอียดอาดแสบหูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องแห่งพระจิต ภายในโลงเบื้องหลังฝานั้นว่างเปล่า มิมีสิ่งใดอยู่นอกเหนือไปจากเงาสะท้อนอันเยียบเย็นของเหล็ก

ดวงตาสีทองของเคลเมนต์พลันแข็งค้าง มันว่างเปล่าจริงๆ!

นักบุญอีวาน ผู้ทรยศหักหลังนครศักดิ์สิทธิ์และสร้างศาสนจักรฝ่ายเหนือขึ้นมา หายไปแล้ว! ร่างอันสูงส่งของเขาและพลังที่สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนหายไปหมดแล้ว!

“เป็นเบลคอฟสกีจริงๆ ด้วย เขาแปรสภาพเรียบร้อยแล้ว!” เคลเมนต์แทบสะกดกลั้นโทสะไม่อยู่ เขาโกรธที่เบลคอฟสกีทำผิดอุดมการณ์ของพวกเขา

จนถึงช่วงเวลานี้เองที่เขาตระหนักขึ้นได้ในที่สุดว่าเพราะเหตุใดพระสันตะปาปาไวเค็นจึงไม่เคยคิดพิจารณาเหล่าพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญในศาสนจักรฝ่ายเหนือเลยในตอนที่เขาลอบปล่อยข่าวเรื่องวิธีการเลื่อนขั้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ เพราะเขาคงจะรู้ดีว่า ด้วยร่างอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญที่มีเพียงไม่กี่ร่างกับพลังที่พวกเขาสั่งสมมา ทั้งหมดที่พวกเขาต้องใช้สำหรับการแปรสถานภาพก็คือการเก็บสะสมพลังแห่งความรู้สึก ซึ่งค่อนข้างง่ายทีเดียว เมื่อรวมกับพลังศรัทธาที่ทางศาสนจักรฝ่ายเหนือขโมยมา การเตรียมการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพก็เสร็จสิ้นแล้ว ทรัพยากรทั้งหลายมีเพียงพอที่จะสนับสนุนคนผู้หนึ่งให้เป็นมนุษย์ครึ่งเทพได้

‘หากว่าเส้นทางนี้ไม่ต้องใช้ความเข้าใจในความเป็นพระเจ้าและศรัทธา และโอกาสในการล้มเหลวมิได้สูงนัก เบลคอฟสกีคงจะลองเลื่อนขั้นไปแล้ว…’ เคลเมนต์ครุ่นคิดด้วยความโกรธเกรี้ยวและริษยา เขายังทันได้แปรสภาพเลยด้วยซ้ำ แต่เขาไม่รู้เลยว่าเบลคอฟสกีมิได้ตระหนักถึงความลับในการผนวกรวมเพื่อทะลวงขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพ

ทันใดนั้น เขาก็มุ่นคิ้วเข้าหากัน “เบลคอฟสกีไม่มีทางหลอกทุกคนได้ในขณะสะสมพลังแห่งความรู้สึกยามอยู่ในซาน อีวานเบิร์ก ข้าไม่รู้นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่มันค่อนข้างแปลกที่ไม่มีพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญคนใดจับสัมผัสได้เลย เขามีวิธีการพิเศษอะไรหรือเปล่านะ”

เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็พลันได้ข้อสรุปที่แสนเลวร้าย ซึ่งบีบบังคับให้เขาต้องหันหลังกลับมาเปิดโลงศพอีกโลงโดยไม่กังวลถึงเรื่องใดอีก

หลังจากเกิดเสียงเอียดอาด ฝาโลงก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นโลงว่างเปล่า ร่างศักดิ์สิทธิ์ของเฟลิกซ์เองก็หายไปเช่นกัน!

โลงศพที่เหลือถูกเปิดออกทีละโลงๆ ร่างศักดิ์สิทธิ์ของยูริเอลและอเล็กเซย์ต่างก็หายไป!

เบลคอฟสกีมิใช่คนผู้เดียวที่ทำการแปรสถานภาพเสร็จสมบูรณ์!

“สรุปแล้ว ข้าคือคนเพียงคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องนี้สินะ…” เคลเมนต์หัวเราะด้วยโทสะที่ลุกโหมอย่างที่สุด กลับกลายเป็นว่าเขาถูกกีดกันจากวงในมานานมากแล้ว

หลังจากเก็บกวาดห้องแห่งพระจิตเสร็จ สติสำนึกรู้ของเขาก็กลับมายังคริสตจักรนักบุญจีโน่ และติดต่อหามัลติมุส

“เบลคอฟสกีกับพระคาร์ดินัลชั้นนักบุญอีกสามคนต่างแปรสภาพเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยใช้ร่างศักดิ์สิทธิ์เป็น ‘ภาชนะ’…พวกเขาล่วงรู้ถึงความลี้ลับของความรู้สึกแง่ลบกับปีศาจแห่งบรรพกาลได้อย่างไรกัน ไวเค็นไม่มีทางปล่อยข่าวนี้ให้เล็ดลอดออกมาถึงพวกเขาแน่ ผู้มีพลังชั้นตำนานคนอื่นๆ ที่รู้เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางเผยแพร่มันเช่นกัน…” มัลติมุสกล่าวอย่างครุ่นคิด

เขาเคยวางแผนว่าจะเปิดเผยความลับให้เบลคอฟสกีทราบในช่วงเวลาสำคัญเพื่อขัดขวางสถานการณ์ แต่เขาก็ทิ้งแผนการนั้นไปหลังจากที่เขามาเยือนโลกหลักได้สำเร็จ

ก่อนที่เคลเมนต์จะเสนอความเห็นอะไร มัลติมุสก็พลันหัวเราะเสียงเยาะหยัน “ข้าเกรงว่ามันคงจะเป็นสิ่งที่พวกคนในสภาเวทมนตร์ลงมือทำ พวกเขามีเพียงความลับเกี่ยวกับความรู้สึกแง่ลบและปีศาจแห่งบรรพกาล และพวกเขาก็ต้องการวิธีฉกฉวยกับการใช้ประโยชน์จากพลังศรัทธาที่เจ้ารู้ พวกเจ้าคือพันธมิตรที่สมบูรณ์แบบ เฮะๆ ทั้งๆ ที่ดักลาสกับลูเซียน อีวานส์ ยังคงยืนกรานที่จะเดินไปบนเส้นทางของอาร์คานา…”

“เราจะทำอย่างไรต่อไปดี” เคลเมนต์ถามด้วยสีหน้าครุ่นคิดหนัก

มัลติมุสหัวเราะขัน “ปล่อยข่าวนี้ออกไป ทำให้แน่ใจว่าไวเค็นได้รับรู้ข่าวนี้”

สองสามวันต่อมา นครศักดิ์สิทธิ์…

เบเนดิกต์ที่สามดูท่าทางย่ำแย่กว่าปกติขณะอ่านข่าวกรองที่อยู่ตรงหน้า เขาขบฟันแน่นพลางเอ่ยลอดไรฟัน “ลูเซียน อีวานส์…”

…………………………………..