บทที่ 788 มอบหมายความไว้วางใจและแผนร้าย

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

“เลื่อนระดับพลังขึ้นสู่สถานะมนุษย์ครึ่งเทพน่ะหรือขอรับ” ยามนี้ ลูเซียนประหลาดใจมากจริงๆ เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งปีนิดๆ แต่ท่านประธานพร้อมแล้วอย่างนั้นน่ะหรือ

ดักลาสกล่าวยิ้มๆ “ตอนที่เจ้าค้นพบดวงอาทิตย์ การเตรียมการของข้าก็ใกล้จะเรียบร้อยแล้วล่ะ ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาไปกับการยืนยันการมีอยู่ของดวงอาทิตย์และหลอมรวมการตอบสนองจากความจริงของโลกเข้ากับผลการวิจัยของข้าเพื่อจะได้ใช้วงแหวนเวทเสริม จริงๆ แล้วการเปิดประตูสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพนั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้วัตถุดิบชั้นตำนานอะไรเป็นพิเศษ สิ่งที่สะสมรวบรวมมาในอดีตต่างหากเล่าที่สำคัญ อย่างเช่น โลกแห่งปัญญาที่รวมตัวเป็นปึกแผ่น การเชื่อมโยงกับดาวหลักแห่งเทวลิขิตอย่างแท้จริง และอีกมากมาย”

“ดังนั้นแล้ว ตราบใดที่ธรรมชาติและกุญแจสำคัญของวงแหวนเวทเสริมถูกค้นพบ การใช้งานมันก็จะค่อนข้างง่ายเลยทีเดียว ข้าคาดการณ์ว่ามันคงใช้เวลาสามถึงสี่ปี แต่มันกลับเร็วกว่าที่คิดไว้มากนัก”

มันเป็นวงแหวนเวทที่คล้ายคลึงกับวงแหวนเลื่อนขั้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพของธานอสและไวเค็น มันไม่ต้องใช้วัตถุดิบชั้นตำนานชนิดพิเศษ ตราบใดที่พวกเขาแปรสภาพตนเองได้สำเร็จและรวบรวมพลังแห่งความรู้สึกและศรัทธาได้มากพอ การบรรลุสิ่งที่เตรียมมาย่อมทำได้อย่างง่ายดาย ยิ่งหากใช้เวลาเก็บรวบรวมพลังแห่งศรัทธาและความรู้สึกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเก็บได้มากขึ้นเท่านั้น

ขณะกล่าว ดักลาสก็ยิ้มแย้มนุ่มนวลดูสงบนิ่ง มิได้มีท่าทางตื่นเต้นและเป็นกังวลอย่างผู้ที่กำลังจะลองทะลวงผ่านขึ้นไปยังระดับมนุษย์ครึ่งเทพ เขาดูไม่ได้ตื่นเต้นดีใจเท่ากับตอนที่รับรู้ถึงการค้นพบดวงอาทิตย์ของลูเซียนเมื่อปีก่อนด้วยซ้ำ

“แต่ว่ามันจะไม่เป็นการเร่งร้อนจนเกินไปหรือขอรับ” แม้ลูเซียนจะภาคภูมิใจในความคิดเป็นเหตุเป็นผลและความเด็ดขาดในยามวิกฤติของตน เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะลังเลในช่วงเวลาเช่นนี้

ดักลาสส่ายหน้ายิ้มๆ “การเตรียมการที่ควรทำก็ทำไปหมดแล้ว การลองพยายามในตอนนี้หรือในอีกสิบปีให้หลังก็ไม่แตกต่างกันนัก เจ้าควรจะจำไว้ว่าข้าเลื่อนขั้นมาถึงชั้นตำนานระดับสูงสุดได้เกือบสามร้อยปีแล้ว ที่ข้ามาหาเจ้าก็เพราะว่าข้าไม่ได้มั่นใจเสียทั้งหมด บรูกเป็นคนฉลาด รอบคอบ และใจกว้างเปิดรับสิ่งใหม่ แต่เขาก็ชอบการอุทิศตนให้แก่งานศึกษาวิจัยของตัวเองมากกว่า เขาไม่ค่อยเหมาะจะเป็นผู้นำสภาเสียเท่าไหร่ ส่วนเฟอร์นันโดกับแฮทธาเวย์นั้นมีข้อพกพร่องในเรื่องบุคลิกลักษณะนิสัย จึงยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่ ดังนั้น หากว่าความพยายามในครั้งนี้ล้มเหลวและข้าไม่รอด ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำของสภาได้ ลูเซียน”

เขาวิเคราะห์ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดอีกสามคนโดยคร่าวและมองมาทางลูเซียนด้วยสายตาจริงจัง

“ท่านประธาน…ท่านจะไม่เป็นไรอย่างแน่นอนขอรับ” ลูเซียนกล่าวตอบโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงใจ “สภาไม่มีทางสูญสิ้นตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ขอรับ”

ดักลาสยิ้มกว้างด้วยความพอใจพลางตบบ่าลูเซียน “เช่นนั้น ข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าทุกคนคุ้มครองข้าในระหว่างนั้นด้วย”

“คุ้มครองท่าน? ไม่มีปัญหาเลยขอรับ ท่านประธานจะลองทำในต่างมิติหรือขอรับ” แม้ว่าจะไม่มีบันทึกเกี่ยวกับปรากฏการณ์แปลกประหลาดในยามที่ใครสักคนทะลวงผ่านขึ้นสู่ระดับมนุษย์ครึ่งเทพ ลูเซียนก็ไม่สงสัยเลยว่ามันคงจะอึกทึกมากทีเดียว เมื่อดูจากการเลื่อนระดับพลังชั้นสูงๆ ในอดีต นอกจากนี้ เขายังสรุปเอาไว้ว่าธานอสคงจะเลื่อนระดับได้สำเร็จขณะอยู่ต่างมิติหรือในมิติพิเศษของตนเอง

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เหล่าผู้มีพลังชั้นตำนานในจักรวรรดิเวทมนตร์ไม่สัมผัสถึงอะไรเลย เบื้องหลังประตูทุกบานของทวารานาจักรนั้นเป็นมิติที่แยกเป็นอิสระ ไวเค็นคงจะหลอกมาสเกลีนและคนที่เหลือด้วยวิธีนี้

ทว่า การเลื่อนขั้นพลังของดักลาสนั้นแตกต่างจากทั้งสองคนนั้น เขาจำเป็นต้องใช้ทั้งโลกแห่งปัญญา มิติพิเศษ และสภาพแวดล้อมจริงที่จะทำงานสอดคล้องไปกับโลกแห่งปัญญาของเขา จึงเป็นเรื่องชัดเจนที่เขาไม่สามารถทะลวงขั้นได้ภายในมิติพิเศษของตน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงเลือกไปต่างมิติหรือสถานที่อย่างโลกแห่งวิญญาณ นอกจากนี้แล้ว หากว่ามันเกิดปรากฏการณ์ที่เด่นเกินไปหรือใช้เวลานานเกินไป พระสันตะปาปาไวเค็น มัลติมุส และพระสังฆราชย่อมมุ่งหน้ามาหยุดยั้งเขา

ดักลาสเอ่ยด้วยท่าทีช่วยอะไรไม่ได้ “การเลื่อนขั้นพลังของข้านั้นยึดหลักจากโลกแห่งปัญญาและมิติพิเศษของข้าเอง และข้าก็ต้องเข้าถึงดาวหลักแห่งเทวลิขิตเพื่อหลอมรวมภาพมายาสะท้อนในดวงจิตเข้ากับดวงจิต โลกแห่งปัญญา และมิติพิเศษให้ได้โดยสมบูรณ์ กระบวนการนี้จะยิ่งยากขึ้นหากทำที่ต่างมิติและโลกแห่งวิญญาณ ฉะนั้น ข้าจึงจำต้องเลือกโลกหลักและพึ่งพาอาศัยปราการป้องกันของอัลลิน”

“จะใช้เวลานานแค่ไหนขอรับ หากไม่นานนัก คงไม่มีเวลามากพอที่ไวเค็นจะมา และเราก็เพียงต้องรับมือกับเจ้าแห่งนรก ผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดสามคนก็หยุดเขาพร้อมกับปราการป้องกันของอัลลินได้ขอรับ” ลูเซียนพลันเคร่งเครียด ยามเผชิญหน้ากับเหล่ามนุษย์ครึ่งเทพ สภาเวทมนตร์มิได้มีปัญหาในการป้องกันตนเอง แต่มันไม่สามารถตอบโต้ได้เลยนี่สิ

ดักลาสถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันตนเอง “ในฐานะชั้นตำนานที่จะลองทำตามหนทางนี้เป็นครั้งแรก ข้าสามารถกะได้เพียงคร่าวๆ ว่ามันอาจใช้เวลาสิบถึงสี่สิบนาที ข้าคาดเดาได้ยากมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละช่วงตอน”

สภาเวทมนตร์ยังไม่มีงานวิจัยอย่างเป็นระบบในเรื่องปรากฏการณ์แปลกพิสดาร

“เราทำได้เพียงสมมติว่ามันจะใช้เวลาสี่สิบนาที…ข้าเชื่อว่าจันทราสีเงินจะต้องดีใจที่จะมีพันธมิตรที่เชื่อถือได้เพิ่มมาอีกคน อย่างไรเสีย ไวเค็นก็มีคทาทองคำขาวและกุญแจสำคัญที่จะใช้พลังจาก ‘หุบเขาวิมาน’ ได้อย่างเชี่ยวชาญ ไว้ข้าจะไปเยี่ยมเยือนเทือกเขาไร้แสงอีกครั้งขอรับ” ลูเซียนวิเคราะห์สถานการณ์ “แต่ว่า เราจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อว่าจะมีคนไปปลดปล่อยเจตจำนงแห่งอเวจีในช่วงชุลมุน…”

อัลเทอร์นาจะเป็นผู้หยุดยั้งไวเค็น และผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดทั้งสามก็จะหยุดยั้งเจ้าแห่งนรก มันน่าจะเพียงพอต่อการรับมือหากว่าไม่เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้น

ดักลาสพลันมีท่าทีเคร่งเครียด “ข้าจะไปเทือกเขาไร้แสงกับเจ้าด้วยและพูดคุยกับจันทราสีเงินแบบตัวต่อตัว”

ด้วยต้องแบกรับดูแลสภาเวทมนตร์ให้เดินหน้าต่อไปได้มานานหลายร้อยปี เขาจึงมิใช่คนที่จะคิดว่าศักดิ์ศรีสำคัญเหนือทุกสิ่ง และเขาก็รู้ว่าเขาจำเป็นต้องแสดงความจริงใจ หากต้องการขอความช่วยเหลือจากคนอื่น

“ได้ขอรับ” ลูเซียนพยักหน้าแต่กลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แม้ว่ามันจะผ่านมาเพียงห้าปีนับจากที่ไวเค็นหลายเป็น ‘เบเนดิกต์ที่สาม’ และเขาก็ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ แต่เราต่างรู้ดีว่าเหตุผลที่แท้จริงที่เขาแทบไม่ใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ นั้นเป็นเพราะความอ่อนล้าทางกายที่ไม่มีทางรักษาให้หายดีได้และความกลัวที่มีต่อสัตว์ประหลาดไวเค็น หากเกิดสถานการณ์ขั้นวิกฤติขึ้น เขาย่อมไม่ลังเลที่จะใช้วิธีการใดก็ตาม ฉะนั้น เราควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ด้วยนะขอรับ”

“เราต้องหาวิธีดึงความสนใจของไวเค็นเพื่อที่เขาจะมาที่นี่เพื่อหยุดเราไม่ทันหรือไม่” ด้วยความปราดเปรื่องของดักลาส เขาย่อมมีแผนการมากมาย เช่น การโจมตีต่างมิติที่อยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักร และแสดงให้เห็นราวกับพวกเขาสามารถช่วยเหลือสัตว์ประหลาดไวเค็นออกมาได้

ลูเซียนครุ่นคิดด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “บางทีอาจมีวิธีที่ดีกว่านั้นนะขอรับ…”

ภายในห้องสวดภาวนาของคริสตจักรนักบุญจีโน…

‘นักบุญ’ เคลเมนต์นั่งสำนึกผิดอยู่หน้าไม้กางเขนเงียบๆ คราก่อน เขาไปที่มิติจักรวาลวายป่วงเพื่อนำแผ่นกาลเวลามาตามคำสั่งของเมแคนทรอน เพียงเพื่อจะเผชิญหน้ากับลูเซียนและเกือบจะถูกพายุพลังงานเข้มข้นสูงที่สร้างขึ้นโดยเวทปืนใหญ่โพซิตรอนกลืนกิน โชคยังดีที่เจ้าแห่งนรกที่ร่วมมือกับเขา ช่วยเหลือเขาจากความหายนะ เขาหวาดกลัวเป็นเวลานานหลังได้รู้จากเจ้าแห่งนรกว่าแม้แต่เมแคนทรอนยังเกือบถูกสังหารสิ้น

เขาไม่เหมือนกับเมแคนทรอน ‘ราชาทูตสวรรค์’ ที่เป็นภาชนะที่ธานอส ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ สร้างเตรียมไว้ให้ตนเองและจะกลับมาเกิดใหม่ท่ามกลางพระสิริของพระองค์ ตราบใดที่หุบเขาวิมานยังคงมีอยู่ ตัวเขาคงจะดับสูญไปเป็นแน่หากโดนเวทมนตร์ชั้นตำนานที่แสนน่ากลัวของลูเซียนเข้า!

เขาได้ล่วงรู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องการฟื้นคืนชีพของเมแคนทรอนจากเจ้าแห่งนรก

“ข้าใกล้จะรวบรวม ‘พลังแห่งศีลธรรม’ มาได้มากพอแล้ว แต่ข้ายังขาด ‘ภาชนะ’…” คัมภีร์แห่งศีลธรรม ที่เคลเมนต์ได้มาจากราชาทูตสวรรค์นั้นจะแทนที่พลังแห่งความรู้สึกด้านลบด้วยสัญลักษณ์เชิงบวก เช่น ความซื่อสัตย์ มันจึงมิได้มีปัญหามากมายตามมา เขาไม่จำเป็นต้องจับผู้มีพลังชั้นตำนานมาอีกคนเพื่อเป็นภาชนะให้กับเขาและสามารถใช้เครื่องมือที่สร้างจากวัตถุดิบพิเศษ

นั่นคือสองกิ่งก้านสาขาที่ธานอสกับไวเค็นสร้างขึ้นในระหว่างที่พวกเขาสร้างเส้นทางสู่การเป็นมนุษย์ครึ่งเทพให้สมบูรณ์แบบ ความแตกต่างเดียวก็คือ เพราะธานอสต้องเริ่มต้นจากศูนย์ จึงไม่ถูกความรู้สึกแง่ลบและเหล่าปีศาจแห่งบรรพกาลเข้าครอบงำเหนี่ยวรั้ง

“แต่วัตถุดิบที่ข้าต้องใช้นั้นยากจะหามาได้” เคลเมนต์คิดด้วยความเสียดาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ข้าอาจใช้ร่างของจีโน่เป็น ‘ภาชนะ’ ไปแล้ว หากว่าเขามิได้ตกตายไปตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว และทิ้งไว้เพียงพลังกับเทวภาพไว้เบื้องหลังเท่านั้น…เหตุใดข้าจึงต้องสืบทอดพลังของจีโน่ แทนที่จะเป็นนักบุญอีวานหรือนักบุญเฟลิกซ์กันนะ”

ในตอนที่เขากำลังรู้สึกสังเวชใจกับตนเอง ที่ชานเมืองของซาน อีวานเบิร์กก็ถูกความมืดเข้าครอบงำ

ซาน อีวานเบิร์กในช่วงท้ายฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีอากาศหนาวเย็นดั่งฤดูหนาวของอัลลิน และยิ่งเหน็บหนาวเป็นพิเศษในยามค่ำคืน

บนเนินกว้างแต่ไม่สูงชันนัก เกลียนเล่มหนึ่งกำลังแล่นตรงไปยังคฤหาสร์ที่อยู่ตีนเนิน

คนขับเกวียนร่างผอมบาง ปลายจมูกแดงก่ำและสวมเสื้อโค้ตที่ดูไม่หนามากนัก เขากระตุ้นม้าพลางกรอกเหล้าดีกรีแรงลงปาก ราวกับว่ามันคือสิ่งเดียวที่จะปัดเป่าความหนาวเหน็บให้กับเขาได้

ทันใดนั้น คนขับเกวียนก็พลันตัวสั่นสะท้าน แม้แต่เหล้าแรงๆ ก็ดูจะไม่เพียงพอต่อการหยุดยั้งความหนาวเหน็บที่เพิ่มพูนขึ้นในใจเขา

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เห็นว่าจันทราสีเงินถูกเมฆบดบังและทุกสรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความมืด เขารู้สึกโดดเดี่ยวและขนลุกขนพอง เขาจึงสะบัดแส้เร่งความเร็วของเกวียน

ม้าควบฝีเท้าอย่างรวดเร็วอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันกลับลื่นไถลช่วงเลี้ยวโค้ง ส่งผลให้เกวียนพลิกคว่ำ และพลัดตกเนินที่มิได้สูงชันนัก

“เวรตะไล ข้าจะบอกนายท่านอย่างไรดีเล่า…” คนขับเกวียนมิได้บาดเจ็บหนักอะไร เขายืนขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม พลางโทษตนเองที่ควบคุมม้าได้ไม่ดีพอ

เขากำลังจะเข้าไปตรวจดูบาดแผลบนตัวม้า เป็นตอนที่เขาเหลือบไปเห็นถ้ำ ซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของเนินที่จะไม่มีทางมองเห็นได้หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ที่หน้าทางเข้าถ้ำนั้นมีเหรียญเปล่งประกายระยิบระยับอยู่เหรียญหนึ่ง

“เหรียญ…” ดวงตาของคนขับเกวียนพลันเปี่ยมด้วยแรงปรารถนา เขามองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวังก่อนจะเดินไปทางถ้ำนั้น พลางตั้งข้อสงสัยด้วยความตื่นเต้นว่าภายในนั้นจะมีขุมสมบัติอยู่หรือไม่

เขามึนเมาเกินกว่าจะพิจารณาถึงภัยอันตรายภายในถ้ำ เขาเพียงเดินตรงเข้าไปและหยิบเหรียญขึ้นมา หาได้รู้ตัวว่าตนได้เดินผ่านปราการแสงโปร่งใสที่กำลังจะเลือนหายไป

เขากำลังจะตรวจสอบเหรียญ แต่แล้วนัยน์ตาเขาก็พลันเบิดโพลง เพราะภายในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยสัญลักษณ์พิสดารที่แสดงถึงความเจ็บปวด สิ้นหวัง และความเกลียดขัง

คนขับเกวียนตัวแข็งทื่อและยืนอยู่กับที่ขณะเฝ้ามองสัญลักษณ์เหล่านั้นสลายตัวหายไปภายในไม่กี่นาทีพร้อมกับปราการแสงที่เขามิได้สังเกตเห็น

จากนั้นเขาจึงส่ายศีรษะและเรอเอิ้ก “นี่ข้า…นี่ข้าผล็อยหลับไปตอนไหนกัน”

ในตอนที่คนขับเกวียนเดินเข้าไปในถ้ำ เคลเมนต์ที่ยังคงอยู่ในคริสตจักรนักบุญจีโน่ก็พลันสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง เขาหยุด ‘การสำนึกผิด’ แล้วหลับตาลง จากนั้นเขาก็มองเห็นดวงเนตรสีแดงฉายแววเยาะหยันลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิด

“ใครบางคนเปลี่ยนสถาะเป็นปีศาจแห่งบรรพกาลภายในซาน อีวานเบิร์กผ่านพลังแห่งความรู้สึกแง่ลบ ข้าสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด สิ้นหวัง และเกลียดชังอันเข้มข้น…” มัลติมุสกล่าวอย่างมั่นใจ “จงค้นหาว่ามันคือผู้ใดให้เร็วที่สุด”

เคลเมนต์หรี่ตา ‘ในซาน อีวานเบิร์กยังมีผู้อื่นที่ล่วงรู้วิธีการแปรสภาพอยู่อีกหรือ’